แม้ชื่อ "ปู-วิทยา ปานศรีงาม" อาจไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในบ้านเรา
แต่รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก "เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติธริล สปาย" ในวอชิงตัน ดี.ซี. ปี 2553, เสียงปรบมือเกรียวกราวใน "เทศกาลหนังเมืองคานส์ ครั้งที่ 66" จากหนัง "Only God Forgives" รวมถึงบทบาทในหนังฮอลลีวู้ดอีกหลายเรื่องที่ช่วยการันตีความสามารถจึงไม่แปลกใจกับตำแหน่ง "คนไทยขวัญใจชาวต่างชาติ"
ล่าสุดใน "เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม เฟสติวัล ครั้งที่ 17" เขาก็คว้ารางวัล Golden Goblet Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง "เพชฌฆาต (The Last Executioner)" ที่กำลังเข้าฉายในบ้านเรา
"ผมรับบทเป็นคุณเชาวเรศน์ จารุบุณย์ ซึ่งเป็นเพชฌฆาตคนสุดท้ายของเรือนจำบางขวางที่ใช้ปืนกลในการประหารชีวิต" นักแสดงวัย 56 บอกถึงบทบาทในหนัง ซึ่งเล่าจากประสบการณ์จริงของอดีตนักดนตรี ผู้ก้าวเข้าสู่เส้นทางเพชฌฆาตเพื่อความมั่นคงของครอบครัว
ซึ่ง "ต้องทำการบ้านมากกว่าเรื่องอื่นๆ"
"ที่ผ่านมาไม่ว่าหนังไทยหรือหนังต่างประเทศมันจะเป็นนิยาย พอได้คาแร็กเตอร์มา เราสามารถปรุงหรือสร้างคาแร็กเตอร์นั้นได้เอง แต่เนื่องจากคุณเชาวเรศน์มีตัวตนจริงๆ ก็ต้องอ่านหนังสือที่ท่านเขียน รู้จักชีวประวัติส่วนตัว คุยกับครอบครัวท่าน แล้วก็เอามาปรับให้เป็นตัวเรา ซึ่งใกล้เคียงกับท่านมากที่สุด เพื่อให้คนเชื่อ"
อย่างไรก็ดี "ไม่ยากครับ ถ้าคุณเตรียมตัว" เจ้าของโรงเรียนบัลเลต์ "ไรซิ่ง สตาร์ แดนซ์ สตูดิโอ" ที่หันมาทำอาชีพนักแสดงเสริมเมื่อ 6 ปีก่อน ตอนอายุ 50 บอก
ดังนั้นทุกครั้งเขาจึงเตรียมตัวเต็มที่ ทั้งอ่านข้อมูล ทั้งทำ "คาแร็กเตอร์ สตัดดี้" เพื่อเจาะเข้าไปในตัวละครให้มากขึ้น
"อย่างคุณเชาวเรศน์ มีคุณพ่อเป็นมุสลิม คุณแม่เป็นพุทธ เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาโตมาจากมิกซ์คัลเจอร์ รู้ว่าเขาโตแถวราชวัตร เป็นนักร้องอยู่ที่อุบลฯ อุดรฯ มีลูกคนแรกชื่ออะไร เป็นโรคอะไรเสียชีวิต ซึ่งมันอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องไปใช้ในหนัง แต่ก็ทำให้เรารู้ตัวตนของเขาจริงๆ"
"สำหรับผมมันมีสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้กับสิ่งที่ควรรู้ คือไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราเอามาใช้กับการแสดงได้"
ขณะเดียวกัน "เรื่องทุ่มเทนี่ผมให้ความสำคัญมาก"
ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างซึ่งผู้กำกับสามารถสั่งได้ดั่งใจ เช่นใน "Only God Forgives" ที่ต้องลดน้ำหนักลง 23 กิโลกรัม หรือเรื่องนี้ที่ต้องไปฝึกเล่นกีตาร์ ให้สมฐานะอดีตนักดนตรี ซึ่งทั้งหมดนี้ที่ยอมทำ ก็เพื่อแลกกับผลงานดีๆ สักเรื่อง
"เหมือนเราทำอาหารใช้เวลาแป๊บเดียว ผัดแค่ 5 นาที แต่เวลาเตรียม ไม่ต้องรวมถึงการไปตลาดแต่เช้า ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง"
ปู วิทยา ยังบอกอีกว่า เขาเองแม้ไม่ได้เรียนการแสดง แต่ 50 ปีที่ใช้ชีวิตมาก็ถือเป็นบทเรียนอย่างดี
"การแสดงก็เหมือนขายของอย่างหนึ่ง" เขาบอก
"คุณขายการแสดง ก็คือคุณขายของจริง ถ้ารู้สึกเศร้า ก็เศร้าจริงๆ ไม่ต้องไปแกล้ง ถ้ารู้สึกรักก็รักจริงๆ ต้องบอกตัวเองให้ได้ แล้วดึงความรู้สึกตรงนั้นมา"
บอกอีกว่า "ผมอาจไม่มีคำแนะนำให้ดารารุ่นใหม่ แต่มีคำแนะนำให้คนที่จะปลดเกษียณ ว่ามาเล่นหนังกันเถอะครับ" หนุ่มใหญ่ว่าพลางหัวเราะ
"ผมชอบคำแนะนำที่ดีมากของ "ไจมอน ฮุนซู" ที่เล่นเรื่อง "Blood Diamond" คือเจอครั้งแรกเขากอดเรา แล้วก็บอก go with the flow ความหมายคือให้ปล่อย"
ปล่อยใจไปกับบทบาทที่เล่น ผู้กำกับสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น ไม่ต้องคิดว่าจะเล่นยังไง ใช้เทคนิคแบบไหน
ส่วนเรื่องประสบความสำเร็จ "เราไม่เคยคิดตรงนี้"
"คิดว่าโอกาสมันมา ทำไงให้ดีที่สุด โอกาสเล็กๆ ก็ทำให้ดี ทำการบ้านให้เยอะ เหนื่อยมากกว่าคนอื่นเขา"
และการที่มาถึงตรงนี้ได้ "อาจเป็นจังหวะดีที่มาเริ่มช้า เพราะมันเป็นของแปลก" ว่าแล้วเขาก็หัวเราะอีก
"ตอนนี้อาจมีอยู่วิทยาเดียว ก็เลยเป็นโอกาสของเรา คือคนอายุ 50 กว่า พูดภาษาอังกฤษได้ มีคาแร็กเตอร์ดิบๆ"
เขายังบอกด้วยว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องผ่านเสียงวิจารณ์มามาก
โดยเฉพาะในหนังเปลี่ยนชีวิต "Only God Forgives" ที่ถูกตำหนิว่าไม่เหมาะสม ควรให้คนอื่นเล่นมากกว่า
ซึ่ง "เป็นคนอื่นอาจโกรธ แต่ผมบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู"
"ไม่ได้บอกว่าเราเก่ง แต่ไม่ใช่เก่งไม่ได้"
"ผมมาเล่นหนัง เพราะค้นพบว่าเราสามารถทำอะไรได้ดีขึ้น หมายถึงพัฒนาไปแล้วคนพอใจ เป็นที่ยอมรับ"
เรื่องรายได้หรือความนิยมไม่เกี่ยว
แต่ไม่ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่ง เป็นเพราะความอยากให้ครอบครัวตื่นเต้นกับรูปแบบชีวิตใหม่ และอยากให้ลูกชายวัย 12 ภูมิใจในผลงานของพ่อ
ที่สำคัญคนเรียนมาด้านกราฟิกดีไซน์ยังว่า "หนังเรื่องหนึ่งมันเหมือนงานศิลปะ ชิ้นหนึ่งอยู่เป็นร้อยปี วันหนึ่งอาจจะไปอยู่ในหอศิลป์หรือหอภาพยนตร์ได้"
"แน่นอนมันเป็นศิลปะธุรกิจ แต่ไม่ได้มากมายกับนักแสดงหรอก เพราะได้ค่าตัวไปแล้ว แต่ถ้าหนังนี้มีคนจดจำว่าเรื่องเพชฌฆาต วิทยาเล่นนะ คุณค่ามันอยู่ตรงนั้น"
หลังจากนี้เขาจึงตั้งใจทำผลงานต่อไปเรื่อยๆ แต่อาจเลือกบทมากขึ้น
"ไม่ใช่หยิ่ง" เขารีบออกตัว
"แต่เพื่อให้เราได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดมากกว่า ให้มันเหมาะกับเรา"
"เราไม่พยายามมูมมามกับมัน เพราะเราก็มีธุรกิจส่วนตัว มีครอบครัวให้ดูแล พยายามบริหารเวลาให้พอดี ไม่ต้องมากเรื่องต่อปี เอาให้ออกมาแล้วมีผู้ชมติดตาม ก็โอเค"
โดยตอนนี้ที่จะเล่นแล้วแน่ๆ คือ "สมุย ซอง" ของ "เป็นเอก รัตนเรือง" กับหนังต่างประเทศ 2 เรื่อง และละครซีรีส์ "7 วันจองเวร" ของ "เวิร์คพอยท์"
"อยากให้คนไทยได้ดู ไม่อยากให้พูดว่าคนไทยขวัญใจต่างชาติ ไม่เอา อยากเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วทำผลงานดีๆ ให้กับคนไทย"
หน้า 22 ,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2557
ลึกๆในใจ"ปู วิทยา" นักแสดงคนไทย"ขวัญใจต่างชาติ"
แต่รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก "เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติธริล สปาย" ในวอชิงตัน ดี.ซี. ปี 2553, เสียงปรบมือเกรียวกราวใน "เทศกาลหนังเมืองคานส์ ครั้งที่ 66" จากหนัง "Only God Forgives" รวมถึงบทบาทในหนังฮอลลีวู้ดอีกหลายเรื่องที่ช่วยการันตีความสามารถจึงไม่แปลกใจกับตำแหน่ง "คนไทยขวัญใจชาวต่างชาติ"
ล่าสุดใน "เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม เฟสติวัล ครั้งที่ 17" เขาก็คว้ารางวัล Golden Goblet Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง "เพชฌฆาต (The Last Executioner)" ที่กำลังเข้าฉายในบ้านเรา
"ผมรับบทเป็นคุณเชาวเรศน์ จารุบุณย์ ซึ่งเป็นเพชฌฆาตคนสุดท้ายของเรือนจำบางขวางที่ใช้ปืนกลในการประหารชีวิต" นักแสดงวัย 56 บอกถึงบทบาทในหนัง ซึ่งเล่าจากประสบการณ์จริงของอดีตนักดนตรี ผู้ก้าวเข้าสู่เส้นทางเพชฌฆาตเพื่อความมั่นคงของครอบครัว
ซึ่ง "ต้องทำการบ้านมากกว่าเรื่องอื่นๆ"
"ที่ผ่านมาไม่ว่าหนังไทยหรือหนังต่างประเทศมันจะเป็นนิยาย พอได้คาแร็กเตอร์มา เราสามารถปรุงหรือสร้างคาแร็กเตอร์นั้นได้เอง แต่เนื่องจากคุณเชาวเรศน์มีตัวตนจริงๆ ก็ต้องอ่านหนังสือที่ท่านเขียน รู้จักชีวประวัติส่วนตัว คุยกับครอบครัวท่าน แล้วก็เอามาปรับให้เป็นตัวเรา ซึ่งใกล้เคียงกับท่านมากที่สุด เพื่อให้คนเชื่อ"
อย่างไรก็ดี "ไม่ยากครับ ถ้าคุณเตรียมตัว" เจ้าของโรงเรียนบัลเลต์ "ไรซิ่ง สตาร์ แดนซ์ สตูดิโอ" ที่หันมาทำอาชีพนักแสดงเสริมเมื่อ 6 ปีก่อน ตอนอายุ 50 บอก
ดังนั้นทุกครั้งเขาจึงเตรียมตัวเต็มที่ ทั้งอ่านข้อมูล ทั้งทำ "คาแร็กเตอร์ สตัดดี้" เพื่อเจาะเข้าไปในตัวละครให้มากขึ้น
"อย่างคุณเชาวเรศน์ มีคุณพ่อเป็นมุสลิม คุณแม่เป็นพุทธ เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาโตมาจากมิกซ์คัลเจอร์ รู้ว่าเขาโตแถวราชวัตร เป็นนักร้องอยู่ที่อุบลฯ อุดรฯ มีลูกคนแรกชื่ออะไร เป็นโรคอะไรเสียชีวิต ซึ่งมันอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องไปใช้ในหนัง แต่ก็ทำให้เรารู้ตัวตนของเขาจริงๆ"
"สำหรับผมมันมีสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้กับสิ่งที่ควรรู้ คือไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราเอามาใช้กับการแสดงได้"
ขณะเดียวกัน "เรื่องทุ่มเทนี่ผมให้ความสำคัญมาก"
ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างซึ่งผู้กำกับสามารถสั่งได้ดั่งใจ เช่นใน "Only God Forgives" ที่ต้องลดน้ำหนักลง 23 กิโลกรัม หรือเรื่องนี้ที่ต้องไปฝึกเล่นกีตาร์ ให้สมฐานะอดีตนักดนตรี ซึ่งทั้งหมดนี้ที่ยอมทำ ก็เพื่อแลกกับผลงานดีๆ สักเรื่อง
"เหมือนเราทำอาหารใช้เวลาแป๊บเดียว ผัดแค่ 5 นาที แต่เวลาเตรียม ไม่ต้องรวมถึงการไปตลาดแต่เช้า ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง"
ปู วิทยา ยังบอกอีกว่า เขาเองแม้ไม่ได้เรียนการแสดง แต่ 50 ปีที่ใช้ชีวิตมาก็ถือเป็นบทเรียนอย่างดี
"การแสดงก็เหมือนขายของอย่างหนึ่ง" เขาบอก
"คุณขายการแสดง ก็คือคุณขายของจริง ถ้ารู้สึกเศร้า ก็เศร้าจริงๆ ไม่ต้องไปแกล้ง ถ้ารู้สึกรักก็รักจริงๆ ต้องบอกตัวเองให้ได้ แล้วดึงความรู้สึกตรงนั้นมา"
บอกอีกว่า "ผมอาจไม่มีคำแนะนำให้ดารารุ่นใหม่ แต่มีคำแนะนำให้คนที่จะปลดเกษียณ ว่ามาเล่นหนังกันเถอะครับ" หนุ่มใหญ่ว่าพลางหัวเราะ
"ผมชอบคำแนะนำที่ดีมากของ "ไจมอน ฮุนซู" ที่เล่นเรื่อง "Blood Diamond" คือเจอครั้งแรกเขากอดเรา แล้วก็บอก go with the flow ความหมายคือให้ปล่อย"
ปล่อยใจไปกับบทบาทที่เล่น ผู้กำกับสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น ไม่ต้องคิดว่าจะเล่นยังไง ใช้เทคนิคแบบไหน
ส่วนเรื่องประสบความสำเร็จ "เราไม่เคยคิดตรงนี้"
"คิดว่าโอกาสมันมา ทำไงให้ดีที่สุด โอกาสเล็กๆ ก็ทำให้ดี ทำการบ้านให้เยอะ เหนื่อยมากกว่าคนอื่นเขา"
และการที่มาถึงตรงนี้ได้ "อาจเป็นจังหวะดีที่มาเริ่มช้า เพราะมันเป็นของแปลก" ว่าแล้วเขาก็หัวเราะอีก
"ตอนนี้อาจมีอยู่วิทยาเดียว ก็เลยเป็นโอกาสของเรา คือคนอายุ 50 กว่า พูดภาษาอังกฤษได้ มีคาแร็กเตอร์ดิบๆ"
เขายังบอกด้วยว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องผ่านเสียงวิจารณ์มามาก โดยเฉพาะในหนังเปลี่ยนชีวิต "Only God Forgives" ที่ถูกตำหนิว่าไม่เหมาะสม ควรให้คนอื่นเล่นมากกว่า
ซึ่ง "เป็นคนอื่นอาจโกรธ แต่ผมบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู"
"ไม่ได้บอกว่าเราเก่ง แต่ไม่ใช่เก่งไม่ได้"
"ผมมาเล่นหนัง เพราะค้นพบว่าเราสามารถทำอะไรได้ดีขึ้น หมายถึงพัฒนาไปแล้วคนพอใจ เป็นที่ยอมรับ"
เรื่องรายได้หรือความนิยมไม่เกี่ยว
แต่ไม่ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่ง เป็นเพราะความอยากให้ครอบครัวตื่นเต้นกับรูปแบบชีวิตใหม่ และอยากให้ลูกชายวัย 12 ภูมิใจในผลงานของพ่อ
ที่สำคัญคนเรียนมาด้านกราฟิกดีไซน์ยังว่า "หนังเรื่องหนึ่งมันเหมือนงานศิลปะ ชิ้นหนึ่งอยู่เป็นร้อยปี วันหนึ่งอาจจะไปอยู่ในหอศิลป์หรือหอภาพยนตร์ได้"
"แน่นอนมันเป็นศิลปะธุรกิจ แต่ไม่ได้มากมายกับนักแสดงหรอก เพราะได้ค่าตัวไปแล้ว แต่ถ้าหนังนี้มีคนจดจำว่าเรื่องเพชฌฆาต วิทยาเล่นนะ คุณค่ามันอยู่ตรงนั้น"
หลังจากนี้เขาจึงตั้งใจทำผลงานต่อไปเรื่อยๆ แต่อาจเลือกบทมากขึ้น
"ไม่ใช่หยิ่ง" เขารีบออกตัว
"แต่เพื่อให้เราได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดมากกว่า ให้มันเหมาะกับเรา"
"เราไม่พยายามมูมมามกับมัน เพราะเราก็มีธุรกิจส่วนตัว มีครอบครัวให้ดูแล พยายามบริหารเวลาให้พอดี ไม่ต้องมากเรื่องต่อปี เอาให้ออกมาแล้วมีผู้ชมติดตาม ก็โอเค"
โดยตอนนี้ที่จะเล่นแล้วแน่ๆ คือ "สมุย ซอง" ของ "เป็นเอก รัตนเรือง" กับหนังต่างประเทศ 2 เรื่อง และละครซีรีส์ "7 วันจองเวร" ของ "เวิร์คพอยท์"
"อยากให้คนไทยได้ดู ไม่อยากให้พูดว่าคนไทยขวัญใจต่างชาติ ไม่เอา อยากเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วทำผลงานดีๆ ให้กับคนไทย"
หน้า 22 ,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2557