สวัสดีค่ะ กระทู้นี้จริงๆเราเคยตั้งไว้แล้ว แต่เกิดเปลี่ยนใจก็เลยกดลบไปซะงั้น...ครั้งนี้ขอกลับมาใหม่นะคะ
พอดีมีเรื่องที่ทำให้คิดไม่ตก ตัดสินใจไม่ถูก อยากลองฟังความคิดเห็นของทุกคนนะคะ (ยาวนิดนึงนะคะ ขอโทษด้วย)
เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นพนักงานออฟฟิศคนนึงค่ะ ที่มีความฝันว่าอยากลาออกจากงาน เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จริงๆแล้วอยากจะไปตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มทำงานเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มีเหตุให้ต้องผลัดเรื่อยมาค่ะ
เราเรียนจบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยเกียรตินิยม เมื่อ 3 ปีที่แล้วค่ะ และได้เข้าทำงานกับบริษัทเอกชนข้ามชาติที่ใหญ่และมั่นคงมาก ชนิดที่ว่าบอกใครว่าทำงานที่นี่ ก็รู้จักกันทุกคนค่ะ
เราเริ่มงานแรกที่แผนกการเงิน เป็นพนักงานชั่วคราว สวัสดิการไม่มี เงินเดือน 18,000 บาทค่ะ ทำไป 11 เดือน ก็มีโอกาสได้ปรับเป็นพนักงานประจำ รับเงินเดือน 19,000 บาท ระหว่างนั้นก็คิดอยู่ตลอดค่ะ ว่าเบื่อ ไม่ชอบงานที่ทำเลย อยากลาออกอย่างรุนแรง แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็เลยเริ่มอ่านหนังสือ เพื่อจะสอบ GMAT อ่านไปก็ท้อไป เพราะมันยากมาก บวกกับต้องแข่งกับเวลา เพราะเราอยากจะยื่นใบสมัครภายใน Round 2 (เราอยากไปเรียน MBA ที่อเมริกาค่ะ) เรารู้เลยว่าเราไม่พร้อม สอบไปก็คงได้คะแนนไม่ดี ยื่นไปก็คงไม่ค่อยมีใครรับ แต่เราไม่อยากทำงานแล้ว ก็เลยกล้ำกลืนฝืนทนอ่านๆๆมันเข้าไป ช่วงนั้นเรากดดันตัวเองเยอะมาก เครียดมากๆค่ะ คิดว่ายังไงก็ต้องไปเรียนให้ได้
แต่แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเรา เพราะในช่วงที่เรากำลังจะเครียดตายกับการสอบ GMAT อยู่นั้น เราได้รับการทาบทามจากอีกแผนกนึง ให้ไปทำงานด้วย ซึ่งเราได้โปรโมตค่ะ เงินเดือนกระโดดไปที่ประมาณ 32,000 บาท ตอนนั้นเรารู้สึกโล่งมากกกก ความกดดันทั้งปวงหายไปสิ้น เราตัดสินใจที่จะไม่สอบ GMAT และไม่สมัครเรียนในปีนั้น เพราะเราคิดว่าเราต้องทำงานให้เค้าอย่างน้อยปีนึง ถ้ารีบลาออกไปเรียนก็คงน่าเกลียดเกินไป และเค้าคงไม่เขียน recommendation ดีๆให้เราแน่นอน
เราได้ย้ายมาทำงานสาย Supply Chain ค่ะ สนุกกว่างานแรกที่เราเคยทำมา แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับเราอยู่ดี ก็เลยอยากจะไปเรียนต่ออยู่วันยังค่ำ และงานใหม่นี้ เราขึ้นตรงกับ Regional Office ที่สิงคโปร์ ไม่มีนายโดยตรงที่ประเทศไทย ชีวิตก็เลยมีอิสระมากขึ้น อยากมากี่โมง กลับกี่โมงก็ไม่มีใครว่า บางวันก็ทำงานที่บ้าน เราจึงมีเวลาอ่าน GMAT มากขึ้นและสอบไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 แต่เรายังไม่พอใจกับคะแนนเท่าที่ควร อยากจะสอบใหม่ให้ได้คะแนนสูงกว่านี้อีก เราเลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อไป จนเวลาล่วงเลย สมัคร Round 1 ไม่ทันอีกแล้ว....ยิ่งสมัครช้า ที่นั่งและเงิน scholarship ของมหาลัยก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ โอกาสเราก็คงน้อยลงไปอีก ความรู้สึกเดิมๆ ความเครียด ความกดดัน ความไม่รู้จะเอาไงกับชีวิต เหมือนเมื่อปีที่แล้วมันกลับมาอีกครั้ง....
แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเราเป็นรอบที่สองค่ะ ระหว่างที่เราคิดตัดสินใจหัวแทบแตกว่าจะสมัครปีนี้หรือรอปีหน้า เราก็ได้โปรโมตอีกสเตปนึง เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เงินเดือนกระโดดมาที่ 64,000 บาท เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่นายฝรั่งให้โอกาสและสนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่าเราตัดสินใจที่จะเลื่อนการไปเรียนต่อต่างประเทศออกไปอีกปีนึงเพราะเค้าอุตส่าห์โปรโมตให้ ถ้าอยู่ๆจะลาออก ก็คงน่าเกลียด.....(อีกแล้ว)
ตอนแรกเราก็ยังมีความมุ่งมั่นค่ะ ว่ายังไงก็จะไปเรียนต่อปีหน้าแน่นอน เพราะเราคงไม่ได้โปรโมตอีกแล้ว และครั้งนี้เราคงสมัครทัน Round 1 แต่ด้วยความขี้เกียจของเราเอง บวกกับงานราษฎร์ งานหลวงต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เราไม่ได้เตรียมตัวสอบเลยแม้แต่น้อย!! (ระหว่างที่พิมพ์อยู่นี่ก็หงุดหงิดตัวเองเบาๆ) และเราได้มีโอกาสเจอเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติที่มาจาก Global Office ที่ยุโรป เลยทำให้รู้ว่ายังมีโอกาสให้เราได้เติบโตในองค์กรอีกเยอะ อาจได้ไปทำงานที่ Regional หรือ Global Office ก็เป็นได้ เราคิดว่าถ้าเราโฟกัสเรื่องงานอย่างจริงจัง เราคงทำได้แน่นอนค่ะ แต่ตราบใดที่เรายังพะวงเรื่องการไปเรียนต่อ เราก็จะไม่มีทางทุ่มเทให้กับงานเต็มร้อยได้
ตอนนี้เราก็เลยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะพยายามอ่านหนังสือต่อไป เพื่อจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศตามความฝัน หรือจะทุ่มให้กับงาน แล้วอาจเรียนพาร์ทไทม์ไปด้วย ปรึกษาที่บ้านแล้ว เค้าก็พอจะมีเงินซัพพอร์ทส่งเราไปเรียน จะไปเรียนนอกก็ได้ แล้วแต่เรา แต่เค้าก็ค่อนข้างอยากให้เรียนพาร์ทไทม์ในไทยมากกว่า เพราะเห็นว่าเราได้ภาษาอยู่แล้ว และหน้าที่การงานก็ดีแล้วด้วย พ่อถามเราว่าคิดว่าไปเรียนกลับมา แล้วจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ เราบอกไปว่าอย่างน้อยก็ต้องหาให้ได้ 8 หมื่นแหล่ะ ไม่งั้นก็ไม่คุ้ม พ่อบอกว่าในช่วงเวลา 2 ปี้นี้ ถ้าเราทำงานต่อไปแทนที่จะลาออกไปเรียน ก็คงได้อยู่แล้ว 8 หมื่น ไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกหรอก ไม่คุ้ม ถ้าได้ทุนไปก็ว่าไปอย่าง..... เราก็เงิบเบาๆค่ะ
จริงๆแล้ว ใจเราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศมากค่ะ เพราะอยากไปใช้ชีวิตต่างแดนอีกสักครั้ง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก ซึ่งถ้าจะไป เราก็ต้องไปปีหน้าแล้ว เพราะตอนนี้เราอายุ 26 ถ้าเราไปปีหน้าก็จะ 27 กว่าจะเรียนจบกลับมาก็คงเกือบ 30 ซึ่งเรามองว่าถ้าไปช้ากว่านี้ อายุคงมากไปแล้ว.....แต่เรายังตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี อยากจะประสบความสำเร็จเรื่องงานก็อยาก อยากจะไปใช้ชีวิตเมืองนอกก็อยาก
ถ้าเราเลือกไปเรียนต่อเมืองนอก นั่นหมายความว่าเราต้องลาออกจากงาน ทิ้งเงินเดือน ตำแหน่งและบริษัท ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่ายเป็นล้านๆ และถ้าเราเรียนจบกลับมา เราก็จะต้องหางานที่เงินเดือนสูงกว่าเงินเดือนสุดท้ายก่อนไปเรียนของเราพอสมควร เพราะเรามองว่าเราลงทุนไปเรียนปริญญาโท เงินเดือนที่จะได้ต้องมากกว่าเดิมเท่านั้น แต่เราเห็นเพื่อนๆคนอื่นของเราที่ทำงาน 1-2 ปี แล้วไปเรียนโทที่อังกฤษพวก MSc, MM, MA กลับมา หางานไม่ได้ก็มีเยอะมาก ไม่ก็โดนกดเงินเดือน เราเลยเริ่มกลัวค่ะ ว่าการเรียนโทต่างประเทศจะคุ้มค่าจริงไหม ในแง่ของ Return on Investment
จริงๆความอัดอั้นเวิ่นเว้อของเรายังมีอยู่เยอะมากค่ะ คิดว่าพิมพ์ต่อได้เรื่อยๆ แต่เกรงว่าจะไม่มีใครอ่าน แหะๆ
รบกวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน ช่วยออกความเห็นหน่อยนะคะว่า
1. ถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบเรา จะทำยังไง เลือกทางไหนดี
2. การไปเรียนโทต่างประเทศ โดยเฉพาะ MBA ที่อเมริกา ดีจริงหรือ คุ้มค่าไหมที่จะไป กลับมาแล้วจะเป็นยังไง
3. มีใครเรียนจบ MBA ที่อเมริกา แล้วหางานออฟฟิศทำที่นั่นได้บ้างคะ
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ
งานกำลังรุ่ง ควรลาออกไปเรียนต่อต่างประเทศตามความฝันหรือมุ่งมั่นทำงานต่อไปดีคะ
พอดีมีเรื่องที่ทำให้คิดไม่ตก ตัดสินใจไม่ถูก อยากลองฟังความคิดเห็นของทุกคนนะคะ (ยาวนิดนึงนะคะ ขอโทษด้วย)
เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นพนักงานออฟฟิศคนนึงค่ะ ที่มีความฝันว่าอยากลาออกจากงาน เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จริงๆแล้วอยากจะไปตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มทำงานเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มีเหตุให้ต้องผลัดเรื่อยมาค่ะ
เราเรียนจบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยเกียรตินิยม เมื่อ 3 ปีที่แล้วค่ะ และได้เข้าทำงานกับบริษัทเอกชนข้ามชาติที่ใหญ่และมั่นคงมาก ชนิดที่ว่าบอกใครว่าทำงานที่นี่ ก็รู้จักกันทุกคนค่ะ
เราเริ่มงานแรกที่แผนกการเงิน เป็นพนักงานชั่วคราว สวัสดิการไม่มี เงินเดือน 18,000 บาทค่ะ ทำไป 11 เดือน ก็มีโอกาสได้ปรับเป็นพนักงานประจำ รับเงินเดือน 19,000 บาท ระหว่างนั้นก็คิดอยู่ตลอดค่ะ ว่าเบื่อ ไม่ชอบงานที่ทำเลย อยากลาออกอย่างรุนแรง แล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็เลยเริ่มอ่านหนังสือ เพื่อจะสอบ GMAT อ่านไปก็ท้อไป เพราะมันยากมาก บวกกับต้องแข่งกับเวลา เพราะเราอยากจะยื่นใบสมัครภายใน Round 2 (เราอยากไปเรียน MBA ที่อเมริกาค่ะ) เรารู้เลยว่าเราไม่พร้อม สอบไปก็คงได้คะแนนไม่ดี ยื่นไปก็คงไม่ค่อยมีใครรับ แต่เราไม่อยากทำงานแล้ว ก็เลยกล้ำกลืนฝืนทนอ่านๆๆมันเข้าไป ช่วงนั้นเรากดดันตัวเองเยอะมาก เครียดมากๆค่ะ คิดว่ายังไงก็ต้องไปเรียนให้ได้
แต่แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเรา เพราะในช่วงที่เรากำลังจะเครียดตายกับการสอบ GMAT อยู่นั้น เราได้รับการทาบทามจากอีกแผนกนึง ให้ไปทำงานด้วย ซึ่งเราได้โปรโมตค่ะ เงินเดือนกระโดดไปที่ประมาณ 32,000 บาท ตอนนั้นเรารู้สึกโล่งมากกกก ความกดดันทั้งปวงหายไปสิ้น เราตัดสินใจที่จะไม่สอบ GMAT และไม่สมัครเรียนในปีนั้น เพราะเราคิดว่าเราต้องทำงานให้เค้าอย่างน้อยปีนึง ถ้ารีบลาออกไปเรียนก็คงน่าเกลียดเกินไป และเค้าคงไม่เขียน recommendation ดีๆให้เราแน่นอน
เราได้ย้ายมาทำงานสาย Supply Chain ค่ะ สนุกกว่างานแรกที่เราเคยทำมา แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับเราอยู่ดี ก็เลยอยากจะไปเรียนต่ออยู่วันยังค่ำ และงานใหม่นี้ เราขึ้นตรงกับ Regional Office ที่สิงคโปร์ ไม่มีนายโดยตรงที่ประเทศไทย ชีวิตก็เลยมีอิสระมากขึ้น อยากมากี่โมง กลับกี่โมงก็ไม่มีใครว่า บางวันก็ทำงานที่บ้าน เราจึงมีเวลาอ่าน GMAT มากขึ้นและสอบไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 แต่เรายังไม่พอใจกับคะแนนเท่าที่ควร อยากจะสอบใหม่ให้ได้คะแนนสูงกว่านี้อีก เราเลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อไป จนเวลาล่วงเลย สมัคร Round 1 ไม่ทันอีกแล้ว....ยิ่งสมัครช้า ที่นั่งและเงิน scholarship ของมหาลัยก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ โอกาสเราก็คงน้อยลงไปอีก ความรู้สึกเดิมๆ ความเครียด ความกดดัน ความไม่รู้จะเอาไงกับชีวิต เหมือนเมื่อปีที่แล้วมันกลับมาอีกครั้ง....
แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเราเป็นรอบที่สองค่ะ ระหว่างที่เราคิดตัดสินใจหัวแทบแตกว่าจะสมัครปีนี้หรือรอปีหน้า เราก็ได้โปรโมตอีกสเตปนึง เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เงินเดือนกระโดดมาที่ 64,000 บาท เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่นายฝรั่งให้โอกาสและสนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่าเราตัดสินใจที่จะเลื่อนการไปเรียนต่อต่างประเทศออกไปอีกปีนึงเพราะเค้าอุตส่าห์โปรโมตให้ ถ้าอยู่ๆจะลาออก ก็คงน่าเกลียด.....(อีกแล้ว)
ตอนแรกเราก็ยังมีความมุ่งมั่นค่ะ ว่ายังไงก็จะไปเรียนต่อปีหน้าแน่นอน เพราะเราคงไม่ได้โปรโมตอีกแล้ว และครั้งนี้เราคงสมัครทัน Round 1 แต่ด้วยความขี้เกียจของเราเอง บวกกับงานราษฎร์ งานหลวงต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เราไม่ได้เตรียมตัวสอบเลยแม้แต่น้อย!! (ระหว่างที่พิมพ์อยู่นี่ก็หงุดหงิดตัวเองเบาๆ) และเราได้มีโอกาสเจอเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติที่มาจาก Global Office ที่ยุโรป เลยทำให้รู้ว่ายังมีโอกาสให้เราได้เติบโตในองค์กรอีกเยอะ อาจได้ไปทำงานที่ Regional หรือ Global Office ก็เป็นได้ เราคิดว่าถ้าเราโฟกัสเรื่องงานอย่างจริงจัง เราคงทำได้แน่นอนค่ะ แต่ตราบใดที่เรายังพะวงเรื่องการไปเรียนต่อ เราก็จะไม่มีทางทุ่มเทให้กับงานเต็มร้อยได้
ตอนนี้เราก็เลยตัดสินใจไม่ถูกว่าจะพยายามอ่านหนังสือต่อไป เพื่อจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศตามความฝัน หรือจะทุ่มให้กับงาน แล้วอาจเรียนพาร์ทไทม์ไปด้วย ปรึกษาที่บ้านแล้ว เค้าก็พอจะมีเงินซัพพอร์ทส่งเราไปเรียน จะไปเรียนนอกก็ได้ แล้วแต่เรา แต่เค้าก็ค่อนข้างอยากให้เรียนพาร์ทไทม์ในไทยมากกว่า เพราะเห็นว่าเราได้ภาษาอยู่แล้ว และหน้าที่การงานก็ดีแล้วด้วย พ่อถามเราว่าคิดว่าไปเรียนกลับมา แล้วจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ เราบอกไปว่าอย่างน้อยก็ต้องหาให้ได้ 8 หมื่นแหล่ะ ไม่งั้นก็ไม่คุ้ม พ่อบอกว่าในช่วงเวลา 2 ปี้นี้ ถ้าเราทำงานต่อไปแทนที่จะลาออกไปเรียน ก็คงได้อยู่แล้ว 8 หมื่น ไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกหรอก ไม่คุ้ม ถ้าได้ทุนไปก็ว่าไปอย่าง..... เราก็เงิบเบาๆค่ะ
จริงๆแล้ว ใจเราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศมากค่ะ เพราะอยากไปใช้ชีวิตต่างแดนอีกสักครั้ง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก ซึ่งถ้าจะไป เราก็ต้องไปปีหน้าแล้ว เพราะตอนนี้เราอายุ 26 ถ้าเราไปปีหน้าก็จะ 27 กว่าจะเรียนจบกลับมาก็คงเกือบ 30 ซึ่งเรามองว่าถ้าไปช้ากว่านี้ อายุคงมากไปแล้ว.....แต่เรายังตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี อยากจะประสบความสำเร็จเรื่องงานก็อยาก อยากจะไปใช้ชีวิตเมืองนอกก็อยาก
ถ้าเราเลือกไปเรียนต่อเมืองนอก นั่นหมายความว่าเราต้องลาออกจากงาน ทิ้งเงินเดือน ตำแหน่งและบริษัท ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่ายเป็นล้านๆ และถ้าเราเรียนจบกลับมา เราก็จะต้องหางานที่เงินเดือนสูงกว่าเงินเดือนสุดท้ายก่อนไปเรียนของเราพอสมควร เพราะเรามองว่าเราลงทุนไปเรียนปริญญาโท เงินเดือนที่จะได้ต้องมากกว่าเดิมเท่านั้น แต่เราเห็นเพื่อนๆคนอื่นของเราที่ทำงาน 1-2 ปี แล้วไปเรียนโทที่อังกฤษพวก MSc, MM, MA กลับมา หางานไม่ได้ก็มีเยอะมาก ไม่ก็โดนกดเงินเดือน เราเลยเริ่มกลัวค่ะ ว่าการเรียนโทต่างประเทศจะคุ้มค่าจริงไหม ในแง่ของ Return on Investment
จริงๆความอัดอั้นเวิ่นเว้อของเรายังมีอยู่เยอะมากค่ะ คิดว่าพิมพ์ต่อได้เรื่อยๆ แต่เกรงว่าจะไม่มีใครอ่าน แหะๆ
รบกวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน ช่วยออกความเห็นหน่อยนะคะว่า
1. ถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบเรา จะทำยังไง เลือกทางไหนดี
2. การไปเรียนโทต่างประเทศ โดยเฉพาะ MBA ที่อเมริกา ดีจริงหรือ คุ้มค่าไหมที่จะไป กลับมาแล้วจะเป็นยังไง
3. มีใครเรียนจบ MBA ที่อเมริกา แล้วหางานออฟฟิศทำที่นั่นได้บ้างคะ
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ