ชื่อก็บอกว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน คือหมายความว่า รถคันเกิดเหตุนั้นไปไม่ได้เพื่อให้รถคันอื่นๆ ทราบว่ารถเราเสียไปไม่ได้ต้องจอดขวางทางอยู่ หรือต้องจอดอยู่เฉยๆ หรือรอความช่วยเหลือ หรือจอดเพื่อดูแลซ่อมแซมอยู่ก็เปิดไฟฉุกเฉินไว้เพื่อให้รถคันอื่นได้รับทราบ หรือขณะที่ขับอยู่บนถนนหลวงมีเหตุที่ต้องจอด เพราะมีสิ่งกีดขวางถนนอยู่จนไม่สามารถเคลื่อนรถได้ ก็ให้เปิดไฟฉุกเฉินนั้น เพื่อให้รถตามหลังมาทราบว่าขณะนี้รถเราจอดอยู่นิ่งๆ บนท้องถนน ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเราผู้ขับขี่ และแก่บุคคลอื่นที่ตามเรามา จะได้อ่านสัญญาณนี้ออกเป็นภาษาเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปก็คือ ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้
จะใช้ต่อเมื่อรถนั้นได้จอดอยู่กับที่เท่านั้น ห้ามไปใช้วิ่งบนท้องถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน บางกรณีที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เมื่อรับคนเจ็บป่วยต้องการรีบนำไปส่งโรงพยาบาล ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่ง เพื่อจะได้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ แต่มักปรากฎว่าทั้งคนขับคนเจ็บและญาติ ไม่ค่อยจะถึงโรงพยาบาลส่วนมากจะถึงเพียงสี่แยกใดสี่แยกหนึ่งเท่านั้น
ตาม พรบ.จราจร มาตรา 9 และกฎกระทรวงข้อ 11 กฎหมายกำหนดให้ใช้ไฟฉุกเฉิน เฉพาะกรณีรถเสียที่จอดอยู่กับที่เท่านั้น
แต่ทุกวันนี้กลับพบผู้ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินกันผิดๆ ได้แก่
1. การใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามสี่แยก บริเวณสี่แยกนั้น หากเปิดไฟฉุกเฉิน รถทางซ้ายและขวา จะเห็นไฟกระพริบเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ทำให้นึกว่าคุณกำลังจะเลี้ยว จึงมิได้ชะลอความเร็วลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ชะลอความเร็วก่อนถึงแยก มองซ้ายขวาให้รอบคอบ ไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณ
2. ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนัก เนื่องจากขณะเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยวจะไม่ทำงาน ทำให้รถที่ตามมา หรือ คันข้างๆ ไม่ทราบว่าเรากำลังจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น เกินความจำเป็นอีกด้วย นอกจากนั้น หากมีรถเสียขึ้นมาจริงๆ และรถคันอื่นใช้ไฟฉุกเฉินกันอย่างพร่ำเพรื่อ อาจทำให้คันที่ตามมาเข้าใจผิดว่า ข้างหน้ามีจราจรติดขัด ทำให้จอดตามๆกัน
ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง 1.ใช้ความเร็วต่ำ และเปิดไฟหน้า 2.ไม่เปลี่ยนช่องทางหากไม่จำเป็น และไม่ขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป 3.ไม่เปิดไฟสูง เพราะรบกวนสายตารถคันอื่นและตัวเองอีกด้วย 4.หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ส่องสว่างให้ใช้งานได้ปกติ
หากรถของคุณติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ควรใช้งานเมื่อทัศนวิสัยแย่มากๆเท่านั้นนะครับ โดยสังเกตดูง่ายๆว่า หากคุณไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้า หรือ ไฟหน้าของรถคันหลัง ในระยะ 50-100 เมตร ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกได้ เพื่อให้รถคันอื่นเห็นคุณจากระยะไกลขึ้น และเมื่อทัศนะวิสัยดีขึ้น ควรปิดทันที เพื่อไม่ให้แยงสายตารถคันอื่น
**ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ใช้อย่างไรจึงจะถูกต้อง** ( บทความ )
กล่าวโดยสรุปก็คือ ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ จะใช้ต่อเมื่อรถนั้นได้จอดอยู่กับที่เท่านั้น ห้ามไปใช้วิ่งบนท้องถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน บางกรณีที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เมื่อรับคนเจ็บป่วยต้องการรีบนำไปส่งโรงพยาบาล ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่ง เพื่อจะได้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ แต่มักปรากฎว่าทั้งคนขับคนเจ็บและญาติ ไม่ค่อยจะถึงโรงพยาบาลส่วนมากจะถึงเพียงสี่แยกใดสี่แยกหนึ่งเท่านั้น
ตาม พรบ.จราจร มาตรา 9 และกฎกระทรวงข้อ 11 กฎหมายกำหนดให้ใช้ไฟฉุกเฉิน เฉพาะกรณีรถเสียที่จอดอยู่กับที่เท่านั้น
แต่ทุกวันนี้กลับพบผู้ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินกันผิดๆ ได้แก่
1. การใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อข้ามสี่แยก บริเวณสี่แยกนั้น หากเปิดไฟฉุกเฉิน รถทางซ้ายและขวา จะเห็นไฟกระพริบเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ทำให้นึกว่าคุณกำลังจะเลี้ยว จึงมิได้ชะลอความเร็วลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ชะลอความเร็วก่อนถึงแยก มองซ้ายขวาให้รอบคอบ ไม่จำเป็นต้องเปิดสัญญาณ
2. ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อฝนตกหนัก เนื่องจากขณะเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยวจะไม่ทำงาน ทำให้รถที่ตามมา หรือ คันข้างๆ ไม่ทราบว่าเรากำลังจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น เกินความจำเป็นอีกด้วย นอกจากนั้น หากมีรถเสียขึ้นมาจริงๆ และรถคันอื่นใช้ไฟฉุกเฉินกันอย่างพร่ำเพรื่อ อาจทำให้คันที่ตามมาเข้าใจผิดว่า ข้างหน้ามีจราจรติดขัด ทำให้จอดตามๆกัน
ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง 1.ใช้ความเร็วต่ำ และเปิดไฟหน้า 2.ไม่เปลี่ยนช่องทางหากไม่จำเป็น และไม่ขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป 3.ไม่เปิดไฟสูง เพราะรบกวนสายตารถคันอื่นและตัวเองอีกด้วย 4.หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ส่องสว่างให้ใช้งานได้ปกติ
หากรถของคุณติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ควรใช้งานเมื่อทัศนวิสัยแย่มากๆเท่านั้นนะครับ โดยสังเกตดูง่ายๆว่า หากคุณไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้า หรือ ไฟหน้าของรถคันหลัง ในระยะ 50-100 เมตร ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกได้ เพื่อให้รถคันอื่นเห็นคุณจากระยะไกลขึ้น และเมื่อทัศนะวิสัยดีขึ้น ควรปิดทันที เพื่อไม่ให้แยงสายตารถคันอื่น