.
การถวายของคริสเตียน และ การถวายสิบลดของเรา
A. สิบลด มีกล่าวในพระคัมภีร์มีจริง แต่เป็นเรื่องของอิสราเอลตามพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นการนำ “ผลิตผลที่ได้จากแผ่นดิน”
(ไม่ใช่ ‘เงิน’ ยกเว้นกรณีที่ 2 ข้างล่าง) ที่ตนเองได้ “ลงทุนลงแรง” เลี้ยงดูเพาะปลูก “ในแผ่นดินอิสราเอล” เพื่อ
1. สนับสนุนเลี้ยงดูระบบเลวีในทุกปี เพราะปุโรหิตและเลวีผู้รับใช้ในวิหาร ในเต้นนัดพบ ไม่มีมรดกที่ทำกินในแผ่นดินที่นาของอิสราเอล
(เลวีนิติ 27:30-33) (กันดารวิถี 18:21-31)
2. เพื่องานเลี้ยงฉลองทั้งหลายในเยรูซาเลมในทุกปีโดยที่ ในกรณีนี้ต้องเดินทางไกล ถ้าไม่สะดวกในการนำผลิตผลพืชหรือสัตว์ไปก็ให้ขายนำเป็นเงินติด
ตัวไปแทน (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22-27)
3. และทุกๆ 3 ปีสำหรับเลวีในถิ่นนั้น เด็กกำพร้า ผู้ยากไร้ คนต่างถิ่น และแม่ม่าย (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22-27)
ดังนั้นรวมๆหมดเฉลี่ยจึงเป็น 23.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ไม่ใช่ 10 เปอร์เซ็นต์ เปรียบไปแล้วก็เหมือนประชาชนในประเทศต่างๆที่ต้องจ่ายภาษี
(10 + 10 + 10/3 = 23.3 ครับ)
B. บางคนอ้างว่าอับราอามก็ถวายสิบลดแด่เมลคีเซเดค ผู้เป็นกษัตริย์เมืองซาเลม ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด แต่กรณีนี้อับราฮามถวายเพียง
ครั้งเดียวและของที่ถวายให้เป็นของที่ท่านปล้นสะดมมาจากการศึกสงคราม ไม่ได้เกิดจากการที่ท่านลงแรงเลี้ยงดูเพาะปลูกเอง เป็นการถวายที่สมัครใจ
C. “เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย”(ฮีบรู 7:12)
เมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วยรวมถึงการถวายสิบลด
นับแต่ที่พระคริสต์ทรงถูกตรึงตายบนกางเขน กลับเป็นจากตาย และ เสด็จประทับเบื้องขวาพระเจ้า (“หลัง” กางเขน) พระองค์ทรงเป็นปุโรหิต
ที่ทรงดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาล
D. สำหรับคริสเตียนจึงไม่มีการถวายสิบลดอีกต่อไป แต่เป็นการให้ด้วยใจสมัคร ด้วยใจยินดี อย่าเป็นแบบฝืนใจ ให้ตามภาระใจ
ให้ตามสัดส่วนรายได้ ให้แบบสุดกำลัง แบบอุทิศตัวและเสียสละ ให้แบบเป็นระบบ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุก 2 สัปดาห์ ทุกเดือน หรือ อะไรก็ตามแต่
และ ที่สำคัญอย่าลืม คือ ต้องไม่ทำให้ครอบครัวตนเองที่ต้องเลี้ยงดูเดือดร้อน (ครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูทางฝ่ายเนื้อหนัง) (Charity begins at home)!!!
สมัยนี้ให้เป็นเงิน แต่จะเป็นพืชผล สัตว์เลี้ยงก็ไม่ผิด (เอาไปขายเป็นเงินมาใช้ได้)
E. สิบลดเป็นเรื่องที่มีกล่าวในพระคัมภีร์จริง เป็นเรื่องของชนชาติอิสราเอลตามพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิม แต่สิบลดไม่ใช่สำหรับคริสเตียน
F. ส่วนเรื่องการเลี้ยงดูครูผู้สอนนั้นก็ควรให้เกียรติท่าน 2 เท่า
“17 จงถือว่าผู้ปกครองทั้งหลายที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับ เกียรติเป็นสองเท่า (แปลได้อีกว่า รับค่าตอบแทนสองเท่า) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้
ปกครองที่ ตรากตรำในการเทศนาและสั่งสอน 18 เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว ขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่ และคนงานก็สมควร
จะได้รับค่าจ้างของตน”
(1 ทิโมที 5:17-18)
ตรงนี้ตีความว่าเลี้ยงดูท่านด้วยปัจจัยต่างๆ รวมถึงเงินนั้นก็ได้ไม่ผิดครับ
ท่านเปาโลที่เป็นอัครทูตและผู้ประกาศก่อตั้งคริสตจักรตามเมืองต่างๆ ท่านก็มีสิทธิที่จะรับการเลี้ยงดูปัจจัยต่างๆที่ส่งมาให้ท่าน แต่ท่านยังวางแบบอย่าง
ของผู้ที่ทำงานเลี้ยงชีพตัวเองด้วย เพื่อที่ท่านไม่ใช่จะรับฝ่ายเดียว แต่มีเหลือพอที่จะให้ผู้อื่นด้วยกำลังของท่านเอง
“ข้าพเจ้าวางแบบอย่างให้ท่านแล้วในทุกเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าโดยการตรากตรำงานแบบเดียวกันนี้ เราต้องช่วยพวกที่มีกำลังน้อย และระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'””
(กิจการ 20:35)
เพราะการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ!!!
G. หลายท่านมักโยงว่าครูผู้สอน ศิษยาภิบาลในปัจจุบัน เป็นเสมือนปุโรหิตในยุคพันธสัญญาเดิม การเปรียบแบบนี้ดูเข้าท่า แต่ความจริงเราต้อง
พิจารณาจากพันธสัญญาใหม่กับเก่านั้นต่างกัน ปุโรหิตเดิมนั้นมาจากเผ่าเลวี รับใช้ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีมรดกแผ่นดิน กินอยู่ได้ด้วยพืชผล สัตว์ที่มาจาก
แผ่นดิน ทุกวันนี้ผู้รับใช้ในคริสตจักรไม่ได้มีเชื้อสายมาจากเผ่าเลวีและเราก็มีปุโรหิตที่นำเราเข้าถึงพระเจ้าพระบิดาเพียงผู้เดียวแล้ว ผู้นั้นคือ พระคริสต์
H. ขอเน้นอีกครั้งว่า
"เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงแล้ว ธรรมบัญญัติ (....รวมถึงการถวายสิบลด.....ผู้เขียน) ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย”(ฮีบรู 7:12)
I. อีกอย่าง ผู้ที่กลับใจเชื่อในพระคริสต์จริงหรือบังเกิดใหม่จริง ทุกท่านที่ว่านี้อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นปุโรหิตโดยนัยกันทุกคนอยู่แล้ว
เราทุกท่านเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์
“และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ
อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์”
(1 เปโตร 2:5)
“แต่พวกท่านเป็น พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่าน
ประกาศพระเกียรติคุณ (แปลได้อีกว่า ประกาศกิจการอันอัศจรรย์) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอัน
มหัศจรรย์ของพระองค์”
(1 เปโตร 2:9)
โดย Padunkiaet
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
การถวายของคริสเตียน และ การถวายสิบลด
การถวายของคริสเตียน และ การถวายสิบลดของเรา
A. สิบลด มีกล่าวในพระคัมภีร์มีจริง แต่เป็นเรื่องของอิสราเอลตามพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นการนำ “ผลิตผลที่ได้จากแผ่นดิน”
(ไม่ใช่ ‘เงิน’ ยกเว้นกรณีที่ 2 ข้างล่าง) ที่ตนเองได้ “ลงทุนลงแรง” เลี้ยงดูเพาะปลูก “ในแผ่นดินอิสราเอล” เพื่อ
1. สนับสนุนเลี้ยงดูระบบเลวีในทุกปี เพราะปุโรหิตและเลวีผู้รับใช้ในวิหาร ในเต้นนัดพบ ไม่มีมรดกที่ทำกินในแผ่นดินที่นาของอิสราเอล
(เลวีนิติ 27:30-33) (กันดารวิถี 18:21-31)
2. เพื่องานเลี้ยงฉลองทั้งหลายในเยรูซาเลมในทุกปีโดยที่ ในกรณีนี้ต้องเดินทางไกล ถ้าไม่สะดวกในการนำผลิตผลพืชหรือสัตว์ไปก็ให้ขายนำเป็นเงินติด
ตัวไปแทน (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22-27)
3. และทุกๆ 3 ปีสำหรับเลวีในถิ่นนั้น เด็กกำพร้า ผู้ยากไร้ คนต่างถิ่น และแม่ม่าย (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22-27)
ดังนั้นรวมๆหมดเฉลี่ยจึงเป็น 23.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ไม่ใช่ 10 เปอร์เซ็นต์ เปรียบไปแล้วก็เหมือนประชาชนในประเทศต่างๆที่ต้องจ่ายภาษี
(10 + 10 + 10/3 = 23.3 ครับ)
B. บางคนอ้างว่าอับราอามก็ถวายสิบลดแด่เมลคีเซเดค ผู้เป็นกษัตริย์เมืองซาเลม ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด แต่กรณีนี้อับราฮามถวายเพียง
ครั้งเดียวและของที่ถวายให้เป็นของที่ท่านปล้นสะดมมาจากการศึกสงคราม ไม่ได้เกิดจากการที่ท่านลงแรงเลี้ยงดูเพาะปลูกเอง เป็นการถวายที่สมัครใจ
C. “เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย”(ฮีบรู 7:12)
เมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วยรวมถึงการถวายสิบลด
นับแต่ที่พระคริสต์ทรงถูกตรึงตายบนกางเขน กลับเป็นจากตาย และ เสด็จประทับเบื้องขวาพระเจ้า (“หลัง” กางเขน) พระองค์ทรงเป็นปุโรหิต
ที่ทรงดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาล
D. สำหรับคริสเตียนจึงไม่มีการถวายสิบลดอีกต่อไป แต่เป็นการให้ด้วยใจสมัคร ด้วยใจยินดี อย่าเป็นแบบฝืนใจ ให้ตามภาระใจ
ให้ตามสัดส่วนรายได้ ให้แบบสุดกำลัง แบบอุทิศตัวและเสียสละ ให้แบบเป็นระบบ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุก 2 สัปดาห์ ทุกเดือน หรือ อะไรก็ตามแต่
และ ที่สำคัญอย่าลืม คือ ต้องไม่ทำให้ครอบครัวตนเองที่ต้องเลี้ยงดูเดือดร้อน (ครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูทางฝ่ายเนื้อหนัง) (Charity begins at home)!!!
สมัยนี้ให้เป็นเงิน แต่จะเป็นพืชผล สัตว์เลี้ยงก็ไม่ผิด (เอาไปขายเป็นเงินมาใช้ได้)
E. สิบลดเป็นเรื่องที่มีกล่าวในพระคัมภีร์จริง เป็นเรื่องของชนชาติอิสราเอลตามพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิม แต่สิบลดไม่ใช่สำหรับคริสเตียน
F. ส่วนเรื่องการเลี้ยงดูครูผู้สอนนั้นก็ควรให้เกียรติท่าน 2 เท่า
“17 จงถือว่าผู้ปกครองทั้งหลายที่ปกครองดีนั้นสมควรได้รับ เกียรติเป็นสองเท่า (แปลได้อีกว่า รับค่าตอบแทนสองเท่า) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้
ปกครองที่ ตรากตรำในการเทศนาและสั่งสอน 18 เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว ขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่ และคนงานก็สมควร
จะได้รับค่าจ้างของตน”
(1 ทิโมที 5:17-18)
ตรงนี้ตีความว่าเลี้ยงดูท่านด้วยปัจจัยต่างๆ รวมถึงเงินนั้นก็ได้ไม่ผิดครับ
ท่านเปาโลที่เป็นอัครทูตและผู้ประกาศก่อตั้งคริสตจักรตามเมืองต่างๆ ท่านก็มีสิทธิที่จะรับการเลี้ยงดูปัจจัยต่างๆที่ส่งมาให้ท่าน แต่ท่านยังวางแบบอย่าง
ของผู้ที่ทำงานเลี้ยงชีพตัวเองด้วย เพื่อที่ท่านไม่ใช่จะรับฝ่ายเดียว แต่มีเหลือพอที่จะให้ผู้อื่นด้วยกำลังของท่านเอง
“ข้าพเจ้าวางแบบอย่างให้ท่านแล้วในทุกเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าโดยการตรากตรำงานแบบเดียวกันนี้ เราต้องช่วยพวกที่มีกำลังน้อย และระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'””
(กิจการ 20:35)
เพราะการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ!!!
G. หลายท่านมักโยงว่าครูผู้สอน ศิษยาภิบาลในปัจจุบัน เป็นเสมือนปุโรหิตในยุคพันธสัญญาเดิม การเปรียบแบบนี้ดูเข้าท่า แต่ความจริงเราต้อง
พิจารณาจากพันธสัญญาใหม่กับเก่านั้นต่างกัน ปุโรหิตเดิมนั้นมาจากเผ่าเลวี รับใช้ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีมรดกแผ่นดิน กินอยู่ได้ด้วยพืชผล สัตว์ที่มาจาก
แผ่นดิน ทุกวันนี้ผู้รับใช้ในคริสตจักรไม่ได้มีเชื้อสายมาจากเผ่าเลวีและเราก็มีปุโรหิตที่นำเราเข้าถึงพระเจ้าพระบิดาเพียงผู้เดียวแล้ว ผู้นั้นคือ พระคริสต์
H. ขอเน้นอีกครั้งว่า
"เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงแล้ว ธรรมบัญญัติ (....รวมถึงการถวายสิบลด.....ผู้เขียน) ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย”(ฮีบรู 7:12)
I. อีกอย่าง ผู้ที่กลับใจเชื่อในพระคริสต์จริงหรือบังเกิดใหม่จริง ทุกท่านที่ว่านี้อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นปุโรหิตโดยนัยกันทุกคนอยู่แล้ว
เราทุกท่านเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์
“และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ
อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์”
(1 เปโตร 2:5)
“แต่พวกท่านเป็น พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่าน
ประกาศพระเกียรติคุณ (แปลได้อีกว่า ประกาศกิจการอันอัศจรรย์) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอัน
มหัศจรรย์ของพระองค์”
(1 เปโตร 2:9)
โดย Padunkiaet
ขอพระเจ้าอวยพรครับ