มุมมองส่วนตัวต่อบัตร Mcash [ข้อดี vs ข้อเสีย ?]

ขอเล่าก่อนว่าปกติไม่ค่อยได้ดูหนังในเครือของ Major กับ SF สักเท่าไหร่เพราะไปดูที่ลิโด้กับสกาล่าอย่างเดียวเนื่องจากราคามันแค่ 100 เดียวทุกเรื่องทุกรอบ แต่พอปิดเทอมแล้วต้องกลับมาต่างจังหวัดเวลาดูหนังแต่ละทีเลยต้องไปที่โรง Major ใกล้บ้านแทนและเจ้าบัตร Mcash ก็เริ่มเข้ามาในชีวิตของผมช่วงนี้นี่เอง
                ครั้งแรกที่ใช้รู้สึกเลยทันทีว่าทำไมมันยุ่งยากจัง ต้องยอมรับเลยว่าตอนแรกไม่เข้าใจกับขั้นตอนกับตู้กดบัตรมากๆ งงว่าต้องรูดบัตร Mgen student ก่อนหรือตอนไหนกันแน่เพราะตอนแรกรูดไม่ผ่าน พนักงานก็มาช่วยเปลี่ยนเครื่องให้ (เครื่องแรกไม่รองรับบัตร Mgen เหรอ = =) และมากดซื้อ
บัตรให้ผมพร้อมกับแว่น 3D เลย  ตอนนั้นคิดในใจแล้วว่า..โอเคคราวหน้าจะไม่เงอะงะแบบนี้แน่นอน
                ครั้งต่อมาเมื่อวานเลย กะจะไปดู Transformers 4 : Age of Extinction รอบ 19.10 คนหน้าโรงเยอะมากๆมีทั้งต่อแถวซื้อที่เคาน์เตอร์ขายบัตรโดยตรงกับพนักงานอยู่สองแถวแต่ยาวพอสมควรอยู่ ผมเลยเลือกไปต่อตรงที่แถวของMcashแทนเพราะคนต่อไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่และต้องการความรวดเร็วด้วย  หลังจากไปเติมเงินเสร็จผมก็ไปต่อคิวรอกดบัตรภาพยนตร์ต่อ ทีนี้ก็สังเกตเห็นคนข้างหน้ากำลังพยายามซื้อตั๋วอยู่แต่ตอนแรกที่ซื้อเหมือนเงินในบัตรจะไม่พอ ก็เลยต้องย้อนกลับมาใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรกเพื่อดูว่ากดอะไรผิดแหละมั้งแล้วสุดท้ายก็ซื้อได้นะแหละ  โอเคถึงคิวผมก็กดไปตามที่เคยดูพนักงานกดให้เมื่อวันนั้น แต่ก็นั่นแหละครับ . . . กว่าจะได้ตั๋วสักใบจากตู้กดนี่ช่างยากลำบากจริงๆ

ข้อดีของ Mcash
1> ผมมองว่า Mcash เหมือนบัตรที่เอาไว้รูดเวลาซื้อข้าวในฟู้ดคอร์ส (ไม่รู้ว่าเรียกไงดี) คือมันสะดวกที่ไม่ต้องกำเงินไปซื้อและลดเวลาในการนับเงินสดหรือตรวจพวกแบ็งค์ปลอมไรพวกนี้ แถมยังเลือกอะไรหลายๆอย่างได้ด้วยตัวเองได้ด้วย
2> ในช่วงเวลาที่หนังดังๆเข้าโรงเนี่ย เอาอย่างทรานฟอร์เมอร์นี่เลย ช่วงเวลาในการต่อแถวซื้อตั๋วหน้าโรงค่อนข้างจะนานมากเพราะความยาวในการต่อคิวนี่บางแถวเกือบร้อยคนยังได้ กว่าจะถึงหน้าเคาน์เตอร์บางทีต้องย้ายไปดูอีกรอบเลยด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันการเติมเงิน Mcashเนี่ย มันเร็วมาก (แค่ยื่นบัตร Mcash ยื่นเงินให้ก็จบละ ) ก็เลยช่วยลดจำนวนคนที่ไปต่อแถวซื้อบัตรโดยตรงกับพนักงานให้ไปต่อคิวซื้อที่ตู้ได้มากขึ้น นอกจากจะลดความวุ่นวายเวลาต่อแถว ลดอาการปวดหัวของคนต่อคิวด้านหลัง (ข้างหน้ามันจะเลือกอะไรนานนักหนาวะ) ก็ยังลดเวลาที่ใช้ในการซื้อตั๋วได้อีก

ส่วนข้อเสียของ Mcash
1> เสียเงิน 20 บาทโดยใช่เหตุ ถึงจะบอกว่ามันคล้ายๆกับบัตรในฟู้ดคอร์ทแต่ว่าบัตรใบนั้นเวลาที่เก็บเงินค่ามัดจำอย่าง จ่ายไป 100 บาทใช้จริงได้ 90 บาท อีก 10 บาทคือค่ามัดจำบัตร (บางที่อาจจะไม่มีค่านี้) แต่ถึงเวลาคืนบัตรเราก็ยังได้ 10 บาทนี้คืนมาในขณะที่ 20 บาทนี้น่าจะหายไปทันทีที่หมดอายุครบ 1 ปี
2> วงเงินที่เติมเข้าไปใน Mcash เห็นมีหลายคนบ่นเรื่องนี้เหมือนกันว่าพอมันหมดอายุปุ้ปเงินก็หายไปด้วยทันที อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง มันเป็นเหมือนการบังคับให้ดูหนังไปในตัวโดยเฉพาะคนที่เติมเข้าไปทีละมากๆหรือไม่ก็เติมเข้าไปแล้วดันเหลือเศษอยู่ในบัตรอีก ดังนั้นจึงเกิดคำถามที่ตามมาอีกก็คือแล้วทำไมไม่เติมให้มันพอดีราคาตั๋ว? คำตอบของผมนะ ในกรณีที่ถ้าต้องการความรวดเร็วเราก็อยากเติมให้มันพอดีอยู่เหมือนกันแต่สมมติไปดู 3-4 คนแล้วราคามันประมาณ 440 บาทแบบนี้การที่จะเติมเข้าไปที 500 คงไม่แปลกเท่าไหร่แต่มันจะเกิดเงินเหลือในบัตร 60 บาทอีก นี่ยังไม่รวมถึงคนที่เหลือเศษมากกว่าหรือน้อยกว่านั้น อีกกรณีก็คือเติมพอดีนั่นแหละ ผมว่ามันโอเคนะแต่ก็ต้องไปคำนวณโปรของโรงหนังกับราคาตั๋วให้ดีเหมือนกันเพราะถ้าเติมมาขาดก็ต้องเสียเวลาไปเติมใหม่อีกเช่นกัน
3>ในกรณีคนที่นานๆดูหนังทีนึง ประมาณปีนึงดูหนังไม่ถึง 5 เรื่อง จะดูเฉพาะหนังดังๆเท่านั้นหรือที่อยากดูจริงๆการที่ต้องไปทำบัตรนี้ก็ค่อนข้างไม่คุ้มกับการใช้งานสักเท่าไหร่
4>อันนี้ผมไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นบ้างรึเปล่า แต่คิดว่าระบบ Mcash เนี่ยมันยังค่อนข้างใหม่อยู่แล้วก็หลายๆคนก็ชินกับการซื้อตั๋วหน้าเคาน์เตอร์ด้วย ดังนั้นแทนที่จะแก้ปัญหาความล่าช้าการซื้อตั๋วได้นั้นกลับทำให้มันช้ากว่าการซื้อแบบเดิมซะอีก ถึงตู้กดตั๋วจะไม่ได้มีระบบการซื้อที่ซับซ้อนมากแต่มันก็ไม่ได้มีพนักงานมาแนะนำการซื้อเหมือนที่หน้าเคาน์เตอร์ปกติ  หรือบางทีพนักงานนี่แหละที่ต้องเดินมาช่วยบอกวิธีการใช้จนแทบไม่ต่างกันจากเดิมเท่าไหร่เลยแถมจะยังเกิดความรู้สึกรำคาญขึ้นมาได้ง่ายๆด้วย

ปล.ทั้งหมดนี่คือมุมมองส่วนตัวของผมเองครับ ถ้ามีติดขัดหรือผิดพลาดก็ขออภัยด้วยเพราะพึ่งใช้ Mcash ได้ไม่นาน
ปล2.เพิ่มเติมกันได้นะ
ปล3.ภาษาที่เขียนยังไม่ค่อยเเข็งแรงเท่าไหร่ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่