โดยปกติ ผุ้เช่าซื้อ ได้เช่าซื้อ แต่เงินไม่พอ จึงทำสัญญาเช่าซื้อ กับ ลิสซิ่ง
บริษัทฯหรือที่เรียกว่า ศูนย์รถยนต์ที่ไปซื้อ จะทำการโอนกรรมสิทธิ์ไปให้บริษัท ลิสซิ่ง ก่อน เช่น ต้องการซื้อรถยนต์ ราคา 600,000 บาท แต่เรามีเงินอยู่ 100,000 บาท แต่ขาดเงินอีก 500,000 บาท เงิน 100,000 บาท ผุ้เช่าซื้อจ่ายให้บริษัท หรือ ศูนย์รถยนต์ไป ดังนั้น เงิน 100,000 บาท บริษัท ลิสซิ่ง จะไม่ได้รับเงินจากผุ้เช่าซื้อ มีบางคนผู้เช่าซื้อเข้าใจว่า เงิน 100,000 บาท ได้จ่ายให้แก่บริษัทลิสซิ่ง เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะ
พอขาดเงินอีก 500,000 บาท บริษัทลิสซิ่งก็จะเข้ามาจัดการโดยทำสัญญาเช่าซื้อกับผุ้เช่าซื้อ และ ผุ้ค้ำประกัน โดยเงิน 500,000 บาท ที่ลิสซิ่งจ่ายให้แก่บริษัทเจ้าของรถ หรือ ศูนย์รถยนต์ แล้วบริษัทเจ้าของรถยนต์จะทำการโอนกรรมสิทธิให้แก่บริษัท ลิสซิ่ง คือโอนทางทะเบียน แต่ในขณะที่จ่ายเงินให้บริษัทเจ้าของรถไป ในการจ่ายเงิน ลิสซิ่งจะเสียค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 7 เปอร์เซ็นต์ด้วย เช่น 500,000 บาท เสียค่าภาษีมูลค่าอีก 35,000 บาท
ดังนั้น เงินที่จัดเช่าซื้อคือ จำนวน 535,000 บาท เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อ หากเป็นรถใหม่ ดอกเบี้ยอาจเป็น 2 หรือ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นรถเก่า อาจเสียดอกเบี้ยถึง 7 - 9 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีนี้ผมสมมุติเป็นรถใหม่ เสียดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อผ่อน 60 งวด ก็คือจำนวน 5 ปี ก็จะรวมเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ลิสซิ่งก็จะนำเงินจำนวน 535,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ก็จะเป็นเงิน 53,500 บาท หลังจากนั้นลิสซิ่ง ก็จะนำเงินมารวมกัน เป็นเงิน 535,000 บาท บวก 53,500 บาท รวมเป็นเงิน 588,500 บาท ลิสซิ่งก็จะนำเงิน 588,500 บาท มาหารด้วยจำนวนงวด 60 งวด เป็นงวดละ 9,808 บาท
แต่อย่าเพิ่ง ยังครับ ไม่ใช่เงินผ่อน เงินผ่อนแต่ละงวดจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นเงินอีก 686 บาท รวมกับ 9,808 บาท จะเป็นเงิน 10,494 บาท เมื่อนำเงิน 10,494 มาคูณ 60 งวด ก็จะเป็นเงิน 629,640 บาท เมื่อรวมเงิน 100,000 บาท ที่ให้ศูนย์รถไปก็จะเป็นเงิน 729,640 บาท
ดังนั้น ในความเป็นจริง รถราคา 500,000 บาท ที่เราเช่าซื้อนั้นมีราคาถึง 729,640 บาท ไม่ใช่ 500,000 บาทครับ ที่ผมเล่าให้ฟัง ก็เป็นพื้นฐานให้รู้ความจริงในการคิดดอกเบี้ยของลิสซิ่งนั้น จริงๆ ไม่ใช่แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ตามความเข้าใจ ในความเข้าใจของชาวบ้าน ถ้า 2 เปอร์เซ็นต์ 5 ปี จะเป็น 10 เปอร์เซ้น จาก 500,000 บาท ก็น่าจะเพียง 50,000 บาท แต่ความจริง 229,640 บาท ไม่ใช่ 50,000 บาทครับ หรือเรียกง่าย จะเท่ากับ 50 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 5 ปี
พอรู้เรื่องแล้ว ก็มาทำความเข้าใจเรื่องเช่าซื้อต่อ ที่นี้ กรณีที่มีการผ่อน แต่ปรากฎว่า ผ่อนไปได้ประมาณ 10 งวด หรือ ผ่อนไปได้ 104,940 บาทชาวบ้าน ก็จะคิดว่า เมื่อดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ้นต์หรือประมาณ 10 เปอร์เซ้นต์ในเวลา 5 ปี หรือ คิดว่า เช่าซื้อ 550,000 บาท เมื่อนำเงิน 104,940 มาลบออก ก็จะเหลือเพียง 445,060 บาท แต่ในความจริง ไม่ใช่ จะเหลือจากจำนวน 729,640 ลบ 104,940 บาท จะเหลือ 624,700 บาท เท่ากับว่า เช่าซื้อ 500,000 บาท ผ่อนไป 104,940 บาท จำนวนที่เช่าซื้อไม่ได้ลดลงเลย
นี่คือปัญหาที่ผุ้เช่าซื้อจะสงสัยว่า ทำไมผ่อนเป็นแสนเงินค่าเช่าซื่อไม่ลดลงเลย พอถูกฟ้อง ถ้าเจอทนายที่พอรู้เรื่องเช่าซื้อ ก็จะเข้าใจว่า เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าทนายทำเช่าซื้อหรือเคยศึกษาเรื่องเช่าซื้อก็จะรู้
ที่นี้พอผู้เช่าซื้อผ่อนได้ 10 งวด แล้วไม่ผ่อนต่อ จนกระทั่งถูกฟ้อง ในการฟ้องของลิสซิ่ง จากยอดเงินที่ค้าง 624,700 บาท ลิสซิ่งไม่ได้ฟ้องจำนวนนี้ครับมากกว่านี้ ลิสซิ่งจะคิดค่าเสียหายในอนาคต ที่ระุบุไว้ในสัญญา หรือ ที่ศาลฎีกามักจะเรียกว่า เบี้ยปรับในอนาคต ก็คือ ค่าขาดประโยชน์ที่อาจนำรถยนต์ไปให้บุคคลภายนอกเช่า เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ทนายบางคนมักจะสู้ว่าลิสซิ่งไม่ได้มีธุรกิจนำรถยนต์เช่าซื้อให้บุคคลภายนอกเช่า ดังนั้นการที่คิดอัตราค่าเช่าให้บุคคลภายนอกเช่า ลิสซิ่ง คิดเอง แต่ความจริงมันมีการระบุไว้ในสํญญาเช่าซื้อแล้ว เพียงแต่ว่า ในสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ระบุไว้ว่า คิดเท่าไหร่ นี่คือจุดที่หนึ่งที่ทนายจำเลย จะต้องดู
แต่การคิดค่าขาดประโยชน์ในทำนองนี้ ไม่ใช่เรื่องลิสซิ่ง ไม่มีสิทธิคิด แต่เป็นเรื่องข้อตกลงในสัญญา และ ไม่ใช่สัญญาไม่เป็นธรรม หรือ เป็นโมฆะ หรือ โมฆียะ ลิสซิ่งมีสิทธิคิดได้ ในกรณีนี้ สมมุติผมคิดค่าขาดประโยชน์หากนำรถยนต์มาคืนลิสซิ่ง ลิสซิ่งก็มีสิทธินำออกให้บุคคลภายนอกเช่าเดือนละ 5,000 บาท ปรากฎว่า ในคดีนี้ ผ่อนมาได้เพียง 10 งวด ผ่านไปประมาณ 1 ปี บริษัทมาฟ้อง บริษัทคิด 12 เดือนเป็นเงิน 60,000 บาท
นอกจากนี้ ลิสซิ่ง จะคิดดอกเบี้ยผิดนัดอีก ดอกเบี้ยผิดนัดจะคิดจากในสัญญาเช่าซื้อ เช่น ลิสซิ่งคิดดอกเบี้ยผิดนัด 15 เปอร์เซ้นต์ ลิสซิ่งจะคิด 624,700 ดอกเบี้ย 15 ต่อปี 1 ปี เป็นเงิน 93,700 บาท ที่นี้ เมื่อรวม 624,700 บวก 60,000 บวก 93,700 บาท ก็จะรวมเป็นเงิน 778,405 บาท และนอกจากนี้ ลิสซิ่งจะขอคิดอกเบี้ยอีก 15 ของต้นเงิน 624,700 บาท
เป็นไงครับ
งงมะ แรกๆๆผมเป็นทนายลิสซิ่ง ผมก็งง ว่า ลิสซิ่งเอาจำนวนที่ไหนมาฟ้อง
ทนายวีระ โทร. ๐๘๓-๕๕๓๖๖๙๖
ปัญหาสำหรับผู้เช่าซื้อ กับ ผุ้ค้ำประกันผู้เช่าซื้อ
บริษัทฯหรือที่เรียกว่า ศูนย์รถยนต์ที่ไปซื้อ จะทำการโอนกรรมสิทธิ์ไปให้บริษัท ลิสซิ่ง ก่อน เช่น ต้องการซื้อรถยนต์ ราคา 600,000 บาท แต่เรามีเงินอยู่ 100,000 บาท แต่ขาดเงินอีก 500,000 บาท เงิน 100,000 บาท ผุ้เช่าซื้อจ่ายให้บริษัท หรือ ศูนย์รถยนต์ไป ดังนั้น เงิน 100,000 บาท บริษัท ลิสซิ่ง จะไม่ได้รับเงินจากผุ้เช่าซื้อ มีบางคนผู้เช่าซื้อเข้าใจว่า เงิน 100,000 บาท ได้จ่ายให้แก่บริษัทลิสซิ่ง เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะ
พอขาดเงินอีก 500,000 บาท บริษัทลิสซิ่งก็จะเข้ามาจัดการโดยทำสัญญาเช่าซื้อกับผุ้เช่าซื้อ และ ผุ้ค้ำประกัน โดยเงิน 500,000 บาท ที่ลิสซิ่งจ่ายให้แก่บริษัทเจ้าของรถ หรือ ศูนย์รถยนต์ แล้วบริษัทเจ้าของรถยนต์จะทำการโอนกรรมสิทธิให้แก่บริษัท ลิสซิ่ง คือโอนทางทะเบียน แต่ในขณะที่จ่ายเงินให้บริษัทเจ้าของรถไป ในการจ่ายเงิน ลิสซิ่งจะเสียค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 7 เปอร์เซ็นต์ด้วย เช่น 500,000 บาท เสียค่าภาษีมูลค่าอีก 35,000 บาท
ดังนั้น เงินที่จัดเช่าซื้อคือ จำนวน 535,000 บาท เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อ หากเป็นรถใหม่ ดอกเบี้ยอาจเป็น 2 หรือ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นรถเก่า อาจเสียดอกเบี้ยถึง 7 - 9 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีนี้ผมสมมุติเป็นรถใหม่ เสียดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อผ่อน 60 งวด ก็คือจำนวน 5 ปี ก็จะรวมเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ลิสซิ่งก็จะนำเงินจำนวน 535,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ก็จะเป็นเงิน 53,500 บาท หลังจากนั้นลิสซิ่ง ก็จะนำเงินมารวมกัน เป็นเงิน 535,000 บาท บวก 53,500 บาท รวมเป็นเงิน 588,500 บาท ลิสซิ่งก็จะนำเงิน 588,500 บาท มาหารด้วยจำนวนงวด 60 งวด เป็นงวดละ 9,808 บาท
แต่อย่าเพิ่ง ยังครับ ไม่ใช่เงินผ่อน เงินผ่อนแต่ละงวดจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นเงินอีก 686 บาท รวมกับ 9,808 บาท จะเป็นเงิน 10,494 บาท เมื่อนำเงิน 10,494 มาคูณ 60 งวด ก็จะเป็นเงิน 629,640 บาท เมื่อรวมเงิน 100,000 บาท ที่ให้ศูนย์รถไปก็จะเป็นเงิน 729,640 บาท
ดังนั้น ในความเป็นจริง รถราคา 500,000 บาท ที่เราเช่าซื้อนั้นมีราคาถึง 729,640 บาท ไม่ใช่ 500,000 บาทครับ ที่ผมเล่าให้ฟัง ก็เป็นพื้นฐานให้รู้ความจริงในการคิดดอกเบี้ยของลิสซิ่งนั้น จริงๆ ไม่ใช่แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ตามความเข้าใจ ในความเข้าใจของชาวบ้าน ถ้า 2 เปอร์เซ็นต์ 5 ปี จะเป็น 10 เปอร์เซ้น จาก 500,000 บาท ก็น่าจะเพียง 50,000 บาท แต่ความจริง 229,640 บาท ไม่ใช่ 50,000 บาทครับ หรือเรียกง่าย จะเท่ากับ 50 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 5 ปี
พอรู้เรื่องแล้ว ก็มาทำความเข้าใจเรื่องเช่าซื้อต่อ ที่นี้ กรณีที่มีการผ่อน แต่ปรากฎว่า ผ่อนไปได้ประมาณ 10 งวด หรือ ผ่อนไปได้ 104,940 บาทชาวบ้าน ก็จะคิดว่า เมื่อดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ้นต์หรือประมาณ 10 เปอร์เซ้นต์ในเวลา 5 ปี หรือ คิดว่า เช่าซื้อ 550,000 บาท เมื่อนำเงิน 104,940 มาลบออก ก็จะเหลือเพียง 445,060 บาท แต่ในความจริง ไม่ใช่ จะเหลือจากจำนวน 729,640 ลบ 104,940 บาท จะเหลือ 624,700 บาท เท่ากับว่า เช่าซื้อ 500,000 บาท ผ่อนไป 104,940 บาท จำนวนที่เช่าซื้อไม่ได้ลดลงเลย
นี่คือปัญหาที่ผุ้เช่าซื้อจะสงสัยว่า ทำไมผ่อนเป็นแสนเงินค่าเช่าซื่อไม่ลดลงเลย พอถูกฟ้อง ถ้าเจอทนายที่พอรู้เรื่องเช่าซื้อ ก็จะเข้าใจว่า เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าทนายทำเช่าซื้อหรือเคยศึกษาเรื่องเช่าซื้อก็จะรู้
ที่นี้พอผู้เช่าซื้อผ่อนได้ 10 งวด แล้วไม่ผ่อนต่อ จนกระทั่งถูกฟ้อง ในการฟ้องของลิสซิ่ง จากยอดเงินที่ค้าง 624,700 บาท ลิสซิ่งไม่ได้ฟ้องจำนวนนี้ครับมากกว่านี้ ลิสซิ่งจะคิดค่าเสียหายในอนาคต ที่ระุบุไว้ในสัญญา หรือ ที่ศาลฎีกามักจะเรียกว่า เบี้ยปรับในอนาคต ก็คือ ค่าขาดประโยชน์ที่อาจนำรถยนต์ไปให้บุคคลภายนอกเช่า เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ทนายบางคนมักจะสู้ว่าลิสซิ่งไม่ได้มีธุรกิจนำรถยนต์เช่าซื้อให้บุคคลภายนอกเช่า ดังนั้นการที่คิดอัตราค่าเช่าให้บุคคลภายนอกเช่า ลิสซิ่ง คิดเอง แต่ความจริงมันมีการระบุไว้ในสํญญาเช่าซื้อแล้ว เพียงแต่ว่า ในสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ระบุไว้ว่า คิดเท่าไหร่ นี่คือจุดที่หนึ่งที่ทนายจำเลย จะต้องดู
แต่การคิดค่าขาดประโยชน์ในทำนองนี้ ไม่ใช่เรื่องลิสซิ่ง ไม่มีสิทธิคิด แต่เป็นเรื่องข้อตกลงในสัญญา และ ไม่ใช่สัญญาไม่เป็นธรรม หรือ เป็นโมฆะ หรือ โมฆียะ ลิสซิ่งมีสิทธิคิดได้ ในกรณีนี้ สมมุติผมคิดค่าขาดประโยชน์หากนำรถยนต์มาคืนลิสซิ่ง ลิสซิ่งก็มีสิทธินำออกให้บุคคลภายนอกเช่าเดือนละ 5,000 บาท ปรากฎว่า ในคดีนี้ ผ่อนมาได้เพียง 10 งวด ผ่านไปประมาณ 1 ปี บริษัทมาฟ้อง บริษัทคิด 12 เดือนเป็นเงิน 60,000 บาท
นอกจากนี้ ลิสซิ่ง จะคิดดอกเบี้ยผิดนัดอีก ดอกเบี้ยผิดนัดจะคิดจากในสัญญาเช่าซื้อ เช่น ลิสซิ่งคิดดอกเบี้ยผิดนัด 15 เปอร์เซ้นต์ ลิสซิ่งจะคิด 624,700 ดอกเบี้ย 15 ต่อปี 1 ปี เป็นเงิน 93,700 บาท ที่นี้ เมื่อรวม 624,700 บวก 60,000 บวก 93,700 บาท ก็จะรวมเป็นเงิน 778,405 บาท และนอกจากนี้ ลิสซิ่งจะขอคิดอกเบี้ยอีก 15 ของต้นเงิน 624,700 บาท
เป็นไงครับ
งงมะ แรกๆๆผมเป็นทนายลิสซิ่ง ผมก็งง ว่า ลิสซิ่งเอาจำนวนที่ไหนมาฟ้อง
ทนายวีระ โทร. ๐๘๓-๕๕๓๖๖๙๖