สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ที่คุณบอกมา ผมไม่เคยครับ 9 ปีแล้วที่แต่ง
เพราะ
ภรรยาผมหนัก 47 เท่าเดิม
ภรรยาตื่นก่อนผมแทบทุกวัน แปรงฟัน ทาแป้วบางๆ สวยตลอด
กลางคืน แต่งหน้าบางๆทาแป้ง ก่อนจัดหนัก ผมหลับ เธอค่อยทาครีม
เธอยังหนีไปตดในห้องน้ำเหมือนเดิม
อื่นๆอีกสารพัด
ก่อนแต่ง เธอเป็นยังไง หลังแต่งเธอดีกว่าเดิมอีก
ผมแค่เสมอตัว ไม่ดีขึ้น ไม่แย่ลงก็แทบตายแล้วครับ
ลองถามตัวเองก่อนครับ ว่าเพราะอะไร
พอเค้าจาก 100 เหลือ 90
คุณเลยทำกลับ เหลือ 85
เค้าทำกลับที่ 75
คุณทำกลับที่ 70
ซักวันความรักคงเหลือ 0
ทำไมไม่แข่งกันทำครับ
แข่งกัน เกทับ
แข่งกัน perfect ครับ
เพราะ
ภรรยาผมหนัก 47 เท่าเดิม
ภรรยาตื่นก่อนผมแทบทุกวัน แปรงฟัน ทาแป้วบางๆ สวยตลอด
กลางคืน แต่งหน้าบางๆทาแป้ง ก่อนจัดหนัก ผมหลับ เธอค่อยทาครีม
เธอยังหนีไปตดในห้องน้ำเหมือนเดิม
อื่นๆอีกสารพัด
ก่อนแต่ง เธอเป็นยังไง หลังแต่งเธอดีกว่าเดิมอีก
ผมแค่เสมอตัว ไม่ดีขึ้น ไม่แย่ลงก็แทบตายแล้วครับ
ลองถามตัวเองก่อนครับ ว่าเพราะอะไร
พอเค้าจาก 100 เหลือ 90
คุณเลยทำกลับ เหลือ 85
เค้าทำกลับที่ 75
คุณทำกลับที่ 70
ซักวันความรักคงเหลือ 0
ทำไมไม่แข่งกันทำครับ
แข่งกัน เกทับ
แข่งกัน perfect ครับ
ความคิดเห็นที่ 20
เราว่ามันอยู่ที่การสื่อสารพูดคุย และปรับตัวเข้าหากัน
สำหรับเราแต่งมาเกือบ3ปี แต่คบกันมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ
เราอายุห่างกันปีกว่าๆ แต่เราคบกันแบบสบายๆ ไม่เคยฟิกซ์ว่าใครต้องนำ ใครต้องตาม เราเอาตามสถานการณ์เลยค่ะ
วันไหนเราเหนื่อยต้องการคนคอยดูแลเทกแคร์ เค้าก็จะเป็นคนรักคอยเอาอกเอาใจ วันไหนเราท้อต้องการคนปลอบต้องการคำแนะนำ เค้าก็เป็นพ่อเป็นครู คอยแนะนำเราได้ วันไหนเราอยากเที่ยวเล่น เดินทางไปที่ต่างๆ เค้าก็เป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างตลอด ใครรู้เรื่องไหนก็นำไป ช่วยกันตัดสินใจ ผิดถูกไม่ต่อว่ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นดีเห็นงาม ยอมรับในการตัดสินใจไปแล้ว
วันแรกเราดูแลกันยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เป็นคู่ที่ตัวติดกัน (บางคนอาจมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนี้
อาจคิดว่า เราควรมีช่องว่างให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่รัก มีเวลาส่วนตัวของตัวเองแบบไม่ต้องผูกติดกันบ้าง) แต่คู่เราเป็นแบบนี้จริงๆค่ะ ทุกวันนี้เรายังเดินจับมือ โอบไหล่กันอยู่เลย และสัญญากันว่าจะทำไปจนแก่เลย เราอาจโชคดีที่เราสองคนมีความคิดและความชอบอะไรๆที่คล้ายกัน และเรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนใช้เวลาร่วมกัน ที่สำคัญ กิจกรรมที่เราทำก็เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ ไม่ได้ฝืนใจ เวลาส่วนตัวของเรามักจะอยู่ที่บ้าน อย่างช่วงไหนว่างๆ ไม่มีโปรแกรม เราจะเข้าครัวทำกับข้าวให้เค้าทาน หรือคอยจัดบ้านตกแต่งบ้าน ส่วนเค้าก็ดูแลสวน ล้างรถ เพราะฉะนั้น เราสองคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหมด ไม่มีใครได้หรือเสียในความเป็นตัวตนของตัวเอง
เราจะพยายามทำให้ชีวิตคู่ไม่น่าเบื่อจำเจ อันนี้น่าจะเริ่มจากสามีก่อนเลย เพราะช่วงที่เรากำลังจะแต่งงานกัน เราเตรียมงานแต่งงานกันเอง ชีวิตเราดูวุ่นวายมาก ต้องเตรียมงาน ไปโน่นนี่นั่น ทุกสัปดาห์ไม่เคยได้อยู่บ้าน แต่ในความวุ่นวาย ความเหนื่อยล้า เราสองคนกลับเห็นความสุขเล็กๆของการได้ใช้เวลาร่วมกัน พอใกล้งานแต่งสามีก็คุยกับเราว่า หลังแต่งไปแล้ว เราจะทำอะไรกันดี เพราะตอนนี้เรายุ่งทุกอาทิตย์ มีอะไรทำ ไปไหนมาไหนตลอด คุยกันไปก็ขำกันไป ว่าหลังงานแต่งเราคงเฉากันแน่เลยเนอะ ไม่มีอะไรทำแล้ว
แต่มาจริงจัง ตอนที่เราดูซีรียส์ Desperate Housewives ปกติเค้าชอบดูหนัง แต่ให้ดูเป็นซีรียส์นี่บางครั้งก็ไม่ไหว
เราก็เข้าใจว่าเค้าก็ดูเป็นเพื่อนเราเฉยๆ แต่มีบางครั้งซึ่งเค้าก็มีแอบอิน เพราะเรื่องราวมันเกี่ยวกับคู่สามีภรรยา
วันนึงเค้าก็มาคุยกับเราเลย ว่าพี่ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของเราน่าเบื่อและจืดจางเหมือนในหนัง พี่อยากให้เรารักกันแบบวันแรกๆ ยังมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันไปตลอด เค้าเลยคุยกับเราเป็นจริงเป็นจังว่า มีอะไรเราต้องคุยกัน ไม่เอาแบบคู่นั้นคู่นี้นะ สุดสัปดาห์จะเป็นวันที่เราจะต้องมีกิจกรรมร่วมกันทุกอาทิตย์
จะไปเที่ยว เล่นกีฬา ไปกินข้าวกับครอบครัวกับเพื่อนๆ ไปช็อปปิ้ง ดูหนัง จัดสวน แต่งบ้าน ทำรถ ดูรถแข่ง อะไรก็ได้ที่เราสองคนชอบ หลังจากนั้นมา เราก็จะมีตารางกิจกรรมของเราไว้เลย อาทิตย์ไหนว่าง ไม่มีแพลน ก็ไว้แพลนนาทีสุดท้าย หรือไม่ก็อยู่บ้านทำกับข้าว ทำงานบ้าน
ก่อนแต่ง-หลังแต่ง เราว่าแทบจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนเลย มันกลับดีขึ้นทุกวันๆ
คือ เราจะคอยคุยกันตลอด เพื่อทำความเข้าใจกันและกัน อะไรที่เราไม่โอเค เราก็จะคุยกันเลยค่ะ
บางครั้งเราเองขี้งอน เจ้าอารมณ์ พอเวลาเราเย็นลง เค้าก็จะเข้ามาคุย ว่าทำไมช่วงนี้หงุดหงิดจัง งานยุ่งหรือว่าไม่สบายใจอะไร บางครั้งเราเองแอบเอาความเครียดจากที่ทำงานกลับมาที่บ้านโดยไม่รู้ตัว เราก็จะคอยเตือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมความเคยชิน จนมันฝังรากลึก แก้ไม่ได้
เราว่าค่อยปรับ ค่อยๆหมั่นเติมความหวานให้กันดีกว่าค่ะ อย่ารอให้อีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอไป
คนเรารักกัน ชีวิตคู่เป็นของเราทั้งสองคน เราต้องช่วยกัน เค้าไม่เริ่ม เราก็เริ่มเองก็ได้
บางครั้งที่อีกฝ่ายไม่ค่อยได้ดูแลเอาใจเราเหมือนเดิม เพราะเค้าแอบน้อยใจที่ตัวเราบางครั้งก็ละเลยเค้าไปหรือเปล่า
เรานี่มารู้สึกตัวทีหลังหลายครั้งเหมือนกันค่ะ ปกติเป็นคนโรแมนติกมาก ชอบเซอร์ไพรส์
หลังๆ วันครบรอบก็มีแอบลืมเตรียมของขวัญ คิดว่าเค้าคงไม่ว่าอะไร แย่สุด ขนาดเค้กวันครบรอบก็ไม่เตรียม
ไปๆมาๆ ถึงเวลาจริงๆ สามีเตรียมมาครบหมด เหลือแต่เราไม่มีอะไรให้เค้าเลย รู้สึกไม่ดีมากๆ
หรือบางครั้งทำงานหนักๆ เราเองก็มีเพลียบ้าง ไม่ค่อยได้ทำกับข้าวให้เค้ากิน จะอาศัยทานข้างนอก
จนเค้ามาบ่นน้อยใจ ว่า "เดี๋ยวนี้ไม่ทำกับข้าวให้พี่กินเลยเนอะ กินร้านอาหารดีๆ ต่อให้อร่อยหรือแพงแค่ไหน มันก็เทียบไม่ได้กับการกินข้าวฝีมือเรา ยิ่งเวลาที่เค้านึกถึงตอนสมัยที่เราเรียน เงินไม่ได้มีมาก กับข้าวที่ทำก็แค่ข้าวผัดไข่ ใส่หมูแดดเดียวทอด แต่ช่วงเวลานั้นสำหรับพี่ มันเป็นอาหารที่อร่อยมาก สถานที่กินไม่ใช่ร้านอาหารหรูๆก็จริง แต่ขับรถไปกินกันสองคนชายทะเลนั่งดูพระอาทิตย์ตก นั่งดูดาวกันสองคน มันเป็นการกินข้าวที่มีความสุขมาก" ฟังจบทำเอาเราร้องไห้โฮเลย เราเองก็คิดว่ามันคือเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญกับเค้าขนาดนี้ ทำให้เรารู้สึกเลยว่า อืม..บางครั้งเราก็ดูแลสามีบกพร่องเหมือนกัน
หรือบางครั้ง อารมณ์ออดอ้อนของผู้หญิงก็จำเป็นนะ แบบว่าไม่ต้องมากจนน่ารำคาญ 55 ผู้ชายบางครั้งก็ชอบเวลาที่เราทำตัวน่ารักๆ เราจะคอยบอกรักเค้าตลอด เค้าอยากฟังไม่อยากฟังไม่รู้ แต่เราก็บอกก่อนเลย รู้สึกรักเค้าเมื่อไหร่เราก็บอก บางครั้งเค้าไม่ยอมบอกรักกลับ (ซึ่งในใจเราก็รู้แหละ ว่าเค้าก็รักเหมือนกัน การกระทำเค้าเราก็รู้สึกได้ แต่ก็อยากจะฟังอ่ะนะ) ก็จะอ้อนให้เค้าบอกกลับบ้าง
บางครั้งทำงานมีบ้างที่ต้องห่างกัน เวลาไปbusiness tripกลับมา เราก็เหนื่อย นั่งเครื่องมานานๆ ของก็เยอะ งานก็ต้องเตรียมให้เสร็จ เค้าก็มีบ้างที่น้อยใจ บอกว่าทำไมเราไม่มากอดมาหอมเค้า เหมือนทุกครั้ง เหมือนไม่คิดถึงกันเลยเหรอ ไม่ได้เจอกันนานๆ เราก็ตกใจ ไม่คิดว่าเรื่องนี้เค้าก็จะน้อยใจด้วย เพราะปกติก็กอดก็หอมอยู่แล้ว แต่เค้าบอกว่าไม่ได้เจอนานๆมันก็ต้องกอดนานกว่าปกติสิ (ก็ถ้าเค้าไม่บอก เราก็ไม่รู้เลยจริงๆ นั่งคุยเป็นจริงเป็นจัง)
ทำเอาเราก็เข้าใจสัจธรรมเช่นเดียวกันว่า ถ้าเรามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป อีกฝ่ายเค้ารู้นะคะ ไม่ใช่ไม่รู้ อยู่ที่ว่าเค้าจะพูดหรือเปล่าแค่นั้นเอง
ทางที่ดี คือ ควรพูดดีคุยกันกว่าค่ะ คุยด้วยเหตุผล ด้วยความรักที่เรามีให้กัน "เราว่าพักนี้คุณไม่ค่อยพูดหวานๆเลยนะ นึกถึงตอนนั้นสิ บลาๆๆๆ เรามาย้อนความหลัง เรียกกันหวานๆเหมือนเมื่อก่อนมั้ย???"
บทเรียนของเราบางครั้ง เราไม่ได้เจตนาจะลืม หรือแสดงออกอะไรเปลี่ยนไป
แต่บางครั้งมันด้วยความเหนื่อย หน้าที่การงาน ความเครียด ก็ทำให้เราลืมตัว จนเผลอละเลยไปได้เหมือนกัน
ค่อยๆปรับเปลี่ยนทีละนิดค่ะ อย่าคิดว่าก็แต่งงานกันแล้ว จะมานั่งเอาอกเอาใจกันทำไม จะมาคอยเทกแคร์เอาใจกันไปเพื่ออะไร อย่างนั้นเราว่า เหมือนคุณแต่งงานกับอีกคนเพื่ออะไร เพื่อแค่ให้รู้ว่า มีสามี มีภรรยาแล้ว อย่างนั้นเราว่าคุณก็บรรลุแค่วัตถุประสงค์ของการแต่งงาน แต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้ชีวิตคู่
ชื่อมันก็บอกว่า คือ ชีวิตคู่ ที่มีคนสองคนอยู่ร่วมกัน คอยร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นเพื่อนคู่คิด คอยเอาใจใส่ ดูแลห่วงใยกันในทุกวัน ความสุขเราทุกคนสามารถสร้างได้เองค่ะ ถ้าหากเราดูแลเค้า เอาใจเค้าแล้วเค้ามีความสุข เค้าเองก็จะหันมาดูแลเราเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งคู่ก็จะมีแต่ความสุขในทุกวัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็คือ ความสุขของกันและกัน
สำหรับเราแต่งมาเกือบ3ปี แต่คบกันมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ
เราอายุห่างกันปีกว่าๆ แต่เราคบกันแบบสบายๆ ไม่เคยฟิกซ์ว่าใครต้องนำ ใครต้องตาม เราเอาตามสถานการณ์เลยค่ะ
วันไหนเราเหนื่อยต้องการคนคอยดูแลเทกแคร์ เค้าก็จะเป็นคนรักคอยเอาอกเอาใจ วันไหนเราท้อต้องการคนปลอบต้องการคำแนะนำ เค้าก็เป็นพ่อเป็นครู คอยแนะนำเราได้ วันไหนเราอยากเที่ยวเล่น เดินทางไปที่ต่างๆ เค้าก็เป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างตลอด ใครรู้เรื่องไหนก็นำไป ช่วยกันตัดสินใจ ผิดถูกไม่ต่อว่ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นดีเห็นงาม ยอมรับในการตัดสินใจไปแล้ว
วันแรกเราดูแลกันยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เป็นคู่ที่ตัวติดกัน (บางคนอาจมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนี้
อาจคิดว่า เราควรมีช่องว่างให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่รัก มีเวลาส่วนตัวของตัวเองแบบไม่ต้องผูกติดกันบ้าง) แต่คู่เราเป็นแบบนี้จริงๆค่ะ ทุกวันนี้เรายังเดินจับมือ โอบไหล่กันอยู่เลย และสัญญากันว่าจะทำไปจนแก่เลย เราอาจโชคดีที่เราสองคนมีความคิดและความชอบอะไรๆที่คล้ายกัน และเรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนใช้เวลาร่วมกัน ที่สำคัญ กิจกรรมที่เราทำก็เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ ไม่ได้ฝืนใจ เวลาส่วนตัวของเรามักจะอยู่ที่บ้าน อย่างช่วงไหนว่างๆ ไม่มีโปรแกรม เราจะเข้าครัวทำกับข้าวให้เค้าทาน หรือคอยจัดบ้านตกแต่งบ้าน ส่วนเค้าก็ดูแลสวน ล้างรถ เพราะฉะนั้น เราสองคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหมด ไม่มีใครได้หรือเสียในความเป็นตัวตนของตัวเอง
เราจะพยายามทำให้ชีวิตคู่ไม่น่าเบื่อจำเจ อันนี้น่าจะเริ่มจากสามีก่อนเลย เพราะช่วงที่เรากำลังจะแต่งงานกัน เราเตรียมงานแต่งงานกันเอง ชีวิตเราดูวุ่นวายมาก ต้องเตรียมงาน ไปโน่นนี่นั่น ทุกสัปดาห์ไม่เคยได้อยู่บ้าน แต่ในความวุ่นวาย ความเหนื่อยล้า เราสองคนกลับเห็นความสุขเล็กๆของการได้ใช้เวลาร่วมกัน พอใกล้งานแต่งสามีก็คุยกับเราว่า หลังแต่งไปแล้ว เราจะทำอะไรกันดี เพราะตอนนี้เรายุ่งทุกอาทิตย์ มีอะไรทำ ไปไหนมาไหนตลอด คุยกันไปก็ขำกันไป ว่าหลังงานแต่งเราคงเฉากันแน่เลยเนอะ ไม่มีอะไรทำแล้ว
แต่มาจริงจัง ตอนที่เราดูซีรียส์ Desperate Housewives ปกติเค้าชอบดูหนัง แต่ให้ดูเป็นซีรียส์นี่บางครั้งก็ไม่ไหว
เราก็เข้าใจว่าเค้าก็ดูเป็นเพื่อนเราเฉยๆ แต่มีบางครั้งซึ่งเค้าก็มีแอบอิน เพราะเรื่องราวมันเกี่ยวกับคู่สามีภรรยา
วันนึงเค้าก็มาคุยกับเราเลย ว่าพี่ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของเราน่าเบื่อและจืดจางเหมือนในหนัง พี่อยากให้เรารักกันแบบวันแรกๆ ยังมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันไปตลอด เค้าเลยคุยกับเราเป็นจริงเป็นจังว่า มีอะไรเราต้องคุยกัน ไม่เอาแบบคู่นั้นคู่นี้นะ สุดสัปดาห์จะเป็นวันที่เราจะต้องมีกิจกรรมร่วมกันทุกอาทิตย์
จะไปเที่ยว เล่นกีฬา ไปกินข้าวกับครอบครัวกับเพื่อนๆ ไปช็อปปิ้ง ดูหนัง จัดสวน แต่งบ้าน ทำรถ ดูรถแข่ง อะไรก็ได้ที่เราสองคนชอบ หลังจากนั้นมา เราก็จะมีตารางกิจกรรมของเราไว้เลย อาทิตย์ไหนว่าง ไม่มีแพลน ก็ไว้แพลนนาทีสุดท้าย หรือไม่ก็อยู่บ้านทำกับข้าว ทำงานบ้าน
ก่อนแต่ง-หลังแต่ง เราว่าแทบจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนเลย มันกลับดีขึ้นทุกวันๆ
คือ เราจะคอยคุยกันตลอด เพื่อทำความเข้าใจกันและกัน อะไรที่เราไม่โอเค เราก็จะคุยกันเลยค่ะ
บางครั้งเราเองขี้งอน เจ้าอารมณ์ พอเวลาเราเย็นลง เค้าก็จะเข้ามาคุย ว่าทำไมช่วงนี้หงุดหงิดจัง งานยุ่งหรือว่าไม่สบายใจอะไร บางครั้งเราเองแอบเอาความเครียดจากที่ทำงานกลับมาที่บ้านโดยไม่รู้ตัว เราก็จะคอยเตือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมความเคยชิน จนมันฝังรากลึก แก้ไม่ได้
เราว่าค่อยปรับ ค่อยๆหมั่นเติมความหวานให้กันดีกว่าค่ะ อย่ารอให้อีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอไป
คนเรารักกัน ชีวิตคู่เป็นของเราทั้งสองคน เราต้องช่วยกัน เค้าไม่เริ่ม เราก็เริ่มเองก็ได้
บางครั้งที่อีกฝ่ายไม่ค่อยได้ดูแลเอาใจเราเหมือนเดิม เพราะเค้าแอบน้อยใจที่ตัวเราบางครั้งก็ละเลยเค้าไปหรือเปล่า
เรานี่มารู้สึกตัวทีหลังหลายครั้งเหมือนกันค่ะ ปกติเป็นคนโรแมนติกมาก ชอบเซอร์ไพรส์
หลังๆ วันครบรอบก็มีแอบลืมเตรียมของขวัญ คิดว่าเค้าคงไม่ว่าอะไร แย่สุด ขนาดเค้กวันครบรอบก็ไม่เตรียม
ไปๆมาๆ ถึงเวลาจริงๆ สามีเตรียมมาครบหมด เหลือแต่เราไม่มีอะไรให้เค้าเลย รู้สึกไม่ดีมากๆ
หรือบางครั้งทำงานหนักๆ เราเองก็มีเพลียบ้าง ไม่ค่อยได้ทำกับข้าวให้เค้ากิน จะอาศัยทานข้างนอก
จนเค้ามาบ่นน้อยใจ ว่า "เดี๋ยวนี้ไม่ทำกับข้าวให้พี่กินเลยเนอะ กินร้านอาหารดีๆ ต่อให้อร่อยหรือแพงแค่ไหน มันก็เทียบไม่ได้กับการกินข้าวฝีมือเรา ยิ่งเวลาที่เค้านึกถึงตอนสมัยที่เราเรียน เงินไม่ได้มีมาก กับข้าวที่ทำก็แค่ข้าวผัดไข่ ใส่หมูแดดเดียวทอด แต่ช่วงเวลานั้นสำหรับพี่ มันเป็นอาหารที่อร่อยมาก สถานที่กินไม่ใช่ร้านอาหารหรูๆก็จริง แต่ขับรถไปกินกันสองคนชายทะเลนั่งดูพระอาทิตย์ตก นั่งดูดาวกันสองคน มันเป็นการกินข้าวที่มีความสุขมาก" ฟังจบทำเอาเราร้องไห้โฮเลย เราเองก็คิดว่ามันคือเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญกับเค้าขนาดนี้ ทำให้เรารู้สึกเลยว่า อืม..บางครั้งเราก็ดูแลสามีบกพร่องเหมือนกัน
หรือบางครั้ง อารมณ์ออดอ้อนของผู้หญิงก็จำเป็นนะ แบบว่าไม่ต้องมากจนน่ารำคาญ 55 ผู้ชายบางครั้งก็ชอบเวลาที่เราทำตัวน่ารักๆ เราจะคอยบอกรักเค้าตลอด เค้าอยากฟังไม่อยากฟังไม่รู้ แต่เราก็บอกก่อนเลย รู้สึกรักเค้าเมื่อไหร่เราก็บอก บางครั้งเค้าไม่ยอมบอกรักกลับ (ซึ่งในใจเราก็รู้แหละ ว่าเค้าก็รักเหมือนกัน การกระทำเค้าเราก็รู้สึกได้ แต่ก็อยากจะฟังอ่ะนะ) ก็จะอ้อนให้เค้าบอกกลับบ้าง
บางครั้งทำงานมีบ้างที่ต้องห่างกัน เวลาไปbusiness tripกลับมา เราก็เหนื่อย นั่งเครื่องมานานๆ ของก็เยอะ งานก็ต้องเตรียมให้เสร็จ เค้าก็มีบ้างที่น้อยใจ บอกว่าทำไมเราไม่มากอดมาหอมเค้า เหมือนทุกครั้ง เหมือนไม่คิดถึงกันเลยเหรอ ไม่ได้เจอกันนานๆ เราก็ตกใจ ไม่คิดว่าเรื่องนี้เค้าก็จะน้อยใจด้วย เพราะปกติก็กอดก็หอมอยู่แล้ว แต่เค้าบอกว่าไม่ได้เจอนานๆมันก็ต้องกอดนานกว่าปกติสิ (ก็ถ้าเค้าไม่บอก เราก็ไม่รู้เลยจริงๆ นั่งคุยเป็นจริงเป็นจัง)
ทำเอาเราก็เข้าใจสัจธรรมเช่นเดียวกันว่า ถ้าเรามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป อีกฝ่ายเค้ารู้นะคะ ไม่ใช่ไม่รู้ อยู่ที่ว่าเค้าจะพูดหรือเปล่าแค่นั้นเอง
ทางที่ดี คือ ควรพูดดีคุยกันกว่าค่ะ คุยด้วยเหตุผล ด้วยความรักที่เรามีให้กัน "เราว่าพักนี้คุณไม่ค่อยพูดหวานๆเลยนะ นึกถึงตอนนั้นสิ บลาๆๆๆ เรามาย้อนความหลัง เรียกกันหวานๆเหมือนเมื่อก่อนมั้ย???"
บทเรียนของเราบางครั้ง เราไม่ได้เจตนาจะลืม หรือแสดงออกอะไรเปลี่ยนไป
แต่บางครั้งมันด้วยความเหนื่อย หน้าที่การงาน ความเครียด ก็ทำให้เราลืมตัว จนเผลอละเลยไปได้เหมือนกัน
ค่อยๆปรับเปลี่ยนทีละนิดค่ะ อย่าคิดว่าก็แต่งงานกันแล้ว จะมานั่งเอาอกเอาใจกันทำไม จะมาคอยเทกแคร์เอาใจกันไปเพื่ออะไร อย่างนั้นเราว่า เหมือนคุณแต่งงานกับอีกคนเพื่ออะไร เพื่อแค่ให้รู้ว่า มีสามี มีภรรยาแล้ว อย่างนั้นเราว่าคุณก็บรรลุแค่วัตถุประสงค์ของการแต่งงาน แต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้ชีวิตคู่
ชื่อมันก็บอกว่า คือ ชีวิตคู่ ที่มีคนสองคนอยู่ร่วมกัน คอยร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นเพื่อนคู่คิด คอยเอาใจใส่ ดูแลห่วงใยกันในทุกวัน ความสุขเราทุกคนสามารถสร้างได้เองค่ะ ถ้าหากเราดูแลเค้า เอาใจเค้าแล้วเค้ามีความสุข เค้าเองก็จะหันมาดูแลเราเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งคู่ก็จะมีแต่ความสุขในทุกวัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็คือ ความสุขของกันและกัน
ความคิดเห็นที่ 18
เป็นประสบการณ์ที่เจอกันได้บ่อยถึงบ่อยมากครับ ผมแต่งงานมา 15 ปี ชีวิตคู่ก็ไม่ได้ถึงขั้นหวานหยดย้อยมากเพราะภารกิจใน
ครอบครัวที่มากขึ้น และเราไม่ได้อยู่กันแค่ 2 คนเหมือนตอนจีบกันหรือแต่งกันใหม่ๆ แต่ก็ยังถือว่าหวานมากอยู่
เคยมีคนถามผมเหมือนกันว่า ทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตคู่ ยังสดใส หวานแหววเมือนที่ผมเป็นอยู่
ผมตอบได้แค่ว่า "ต้องหมั่นทบทวนความรัก" และ "อย่าลืมไปว่าเรารักกัน"
ครอบครัวที่มากขึ้น และเราไม่ได้อยู่กันแค่ 2 คนเหมือนตอนจีบกันหรือแต่งกันใหม่ๆ แต่ก็ยังถือว่าหวานมากอยู่
เคยมีคนถามผมเหมือนกันว่า ทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตคู่ ยังสดใส หวานแหววเมือนที่ผมเป็นอยู่
ผมตอบได้แค่ว่า "ต้องหมั่นทบทวนความรัก" และ "อย่าลืมไปว่าเรารักกัน"
ความคิดเห็นที่ 17
มันเป็นความสนิทใจ ความไว้ใจ ความเป็นเพื่อนที่แนบแน่นกันน่ะค่ะ
ความหวานบางอย่างอาจจะลดลง แต่ก็ได้ความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นมาแทน
แต่ละคู่ ก็ต่างรายละเอียดกันไป
ของเรา
ตอนเป็นแฟนกัน สามี (ตอนนั้นเป็นคุณแฟน) ก็ขยันขับรถมาส่ง มารับไปนู่นไปนี่ (เราอยู่สาทร คุณแฟนอยู่อ่อนนุช ส่วนที่ทำงานอยู่ปู่เจ้า) ดึกดื่นแค่ไหนก็มาส่ง มารับได้
ถ้าเราหยุดงาน เพราะไม่สบายใจ จิตตก จากปู่เจ้า สามารถมาหาที่สาทรได้ในช่วงเย็น ๆ มากินกาแฟ พูดให้กำลังใจ
ตอนนั้น เราเคยคิดอยากไปเรียนต่อ มาติววิชาคำนวณให้อีก รถเสียที่สยามตอนหกโมงเย็น ... คุณแฟน ก็หาทางมาจัดการให้จนได้
ตอนเริ่มชีวิตด้วยกันแรก ๆ
ตื่นนอนมาตอนเช้า คุณสามี เด็ดดอกพุดซ้อนมาวางข้างหมอนไว้ให้ (เพราะเราชอบกลิ่น ดอกพุดซ้อนมาก)
ส่วนเรา นวดให้แทบทุกคืน (นวดหัวถึงนวดเท้า) พยายามทำกับข้าว (แบบมีคุณประโยชน์ทุกอย่าง --- ยกเว้นความอร่อย) แม้ว่าจะไม่ถนัด วันอาทิตย์มีจัด breakfast in bed ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ เสริ์ฟกินสบาย ๆ เลยจ้า
ไปสักพัก
เราได้ถือ เอทีเอ็ม และเงินทั้งหมดของสามี (เค้าให้เองนะ เราไม่ได้ขอ)
สามีบ้างานขึ้นเรื่อย ๆ เวลาไปเที่ยวแทบไม่มี ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน ตื่น 6 โมง กว่าจะได้นอนเกือบตีหนึ่งตีสอง
คืนวันเสาร์ ช่วยกันล้างตู้ปลา (4 ฟุตกว่า ๆ ของคุณสามี)
วันอาทิตย์ สลบกันไปครึ่งวัน ตอนบ่ายช่วยกันทำงานบ้าน
อยู่ ๆ กันไปสามสี่ปี เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
เวลาเราไม่สบาย เป็นไซนัส ปวดหัว จนรู้สึกเหมือนตาจะหลุดจากเบ้า --- สามีไม่สังเกตเห็น เพราะเพลินทำงานอยู่
เราต้องตัดปัญหาด้วยการ ขับรถไปหาหมอเอง ... แล้วโทร.มาบอกว่า โอเคแล้วนะจ๊ะ
นี่ผ่านมาปีนี้ปีที่สิบสาม ...
เคยปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมเต็ม 10 วัน ทิ้งลูกไว้ให้สามีเลี้ยงเต็ม ๆ
ปลีกตัวไปทำกิจกรรมที่ชอบ เรียนนู่น นี่เพิ่มเติม ทีละ 2 วันบ้าง 3 วันบ้าง สามีเลี้ยงลูกไป หาข้าวกินเองด้วยนะจ๊ะ
ส่วนสามี ก็เป็นตัวเองสุดฤทธิ์
วันอาทิตย์ไม่ตื่นมาส่งลูกเรียนพิเศษ เพราะเพิ่งดูบอลจบ ง่วงมาก ขอนอน
ส่วนถ้าจะไปไหนแบบที่ดูแล้วไม่น่ากลัว หรือ จะไปเที่ยวเล่นที่ไหน สามีกล้าบอกว่า "ไปเถอะหม่ามี้ ป๋าขี้เกียจ เดี๋ยววันนี้ ต้องเก็บแรงดูบอล เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ"
555
แต่ยังรักกันดีแบบแนบแน่น และรู้สึกสบาย และสนิทสนมกันมากขึ้นด้วยซ้ำ
ความหวานบางอย่างอาจจะลดลง แต่ก็ได้ความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นมาแทน
แต่ละคู่ ก็ต่างรายละเอียดกันไป
ของเรา
ตอนเป็นแฟนกัน สามี (ตอนนั้นเป็นคุณแฟน) ก็ขยันขับรถมาส่ง มารับไปนู่นไปนี่ (เราอยู่สาทร คุณแฟนอยู่อ่อนนุช ส่วนที่ทำงานอยู่ปู่เจ้า) ดึกดื่นแค่ไหนก็มาส่ง มารับได้
ถ้าเราหยุดงาน เพราะไม่สบายใจ จิตตก จากปู่เจ้า สามารถมาหาที่สาทรได้ในช่วงเย็น ๆ มากินกาแฟ พูดให้กำลังใจ
ตอนนั้น เราเคยคิดอยากไปเรียนต่อ มาติววิชาคำนวณให้อีก รถเสียที่สยามตอนหกโมงเย็น ... คุณแฟน ก็หาทางมาจัดการให้จนได้
ตอนเริ่มชีวิตด้วยกันแรก ๆ
ตื่นนอนมาตอนเช้า คุณสามี เด็ดดอกพุดซ้อนมาวางข้างหมอนไว้ให้ (เพราะเราชอบกลิ่น ดอกพุดซ้อนมาก)
ส่วนเรา นวดให้แทบทุกคืน (นวดหัวถึงนวดเท้า) พยายามทำกับข้าว (แบบมีคุณประโยชน์ทุกอย่าง --- ยกเว้นความอร่อย) แม้ว่าจะไม่ถนัด วันอาทิตย์มีจัด breakfast in bed ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ เสริ์ฟกินสบาย ๆ เลยจ้า
ไปสักพัก
เราได้ถือ เอทีเอ็ม และเงินทั้งหมดของสามี (เค้าให้เองนะ เราไม่ได้ขอ)
สามีบ้างานขึ้นเรื่อย ๆ เวลาไปเที่ยวแทบไม่มี ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน ตื่น 6 โมง กว่าจะได้นอนเกือบตีหนึ่งตีสอง
คืนวันเสาร์ ช่วยกันล้างตู้ปลา (4 ฟุตกว่า ๆ ของคุณสามี)
วันอาทิตย์ สลบกันไปครึ่งวัน ตอนบ่ายช่วยกันทำงานบ้าน
อยู่ ๆ กันไปสามสี่ปี เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
เวลาเราไม่สบาย เป็นไซนัส ปวดหัว จนรู้สึกเหมือนตาจะหลุดจากเบ้า --- สามีไม่สังเกตเห็น เพราะเพลินทำงานอยู่
เราต้องตัดปัญหาด้วยการ ขับรถไปหาหมอเอง ... แล้วโทร.มาบอกว่า โอเคแล้วนะจ๊ะ
นี่ผ่านมาปีนี้ปีที่สิบสาม ...
เคยปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมเต็ม 10 วัน ทิ้งลูกไว้ให้สามีเลี้ยงเต็ม ๆ
ปลีกตัวไปทำกิจกรรมที่ชอบ เรียนนู่น นี่เพิ่มเติม ทีละ 2 วันบ้าง 3 วันบ้าง สามีเลี้ยงลูกไป หาข้าวกินเองด้วยนะจ๊ะ
ส่วนสามี ก็เป็นตัวเองสุดฤทธิ์
วันอาทิตย์ไม่ตื่นมาส่งลูกเรียนพิเศษ เพราะเพิ่งดูบอลจบ ง่วงมาก ขอนอน
ส่วนถ้าจะไปไหนแบบที่ดูแล้วไม่น่ากลัว หรือ จะไปเที่ยวเล่นที่ไหน สามีกล้าบอกว่า "ไปเถอะหม่ามี้ ป๋าขี้เกียจ เดี๋ยววันนี้ ต้องเก็บแรงดูบอล เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ"
555
แต่ยังรักกันดีแบบแนบแน่น และรู้สึกสบาย และสนิทสนมกันมากขึ้นด้วยซ้ำ
แสดงความคิดเห็น
คุณผู้ชายทั้งหลายคะ ทำไมก่อนแต่ง กับหลังแต่งมันช่างต่างกันเหลือเกิน
ตอนรู้จักกัน
เรา: ถามจริง ตอนเจอกันครั้งแรก ทำไมถึงเดินเข้ามาขอเบอร์เรา
ว่าที่สามี: เห็นแล้วชอบครับ คุณน่ารักมากๆ ไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
เรา: (เขิลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล ขอบคุณเมคอัพโนเมคอัพ นี่แต่งตั้งแต่ตีสี่เลยนะ)
ตอนเดท
เรา: ตัวเอง เค้าขอเลื่อนนัดไปพรุ่งนี้ได้ไหม วันนี้พี่สาวต้องใช้รถ
ว่าที่สามี: นี่เค้ามาถึงร้านแล้วนะ (อยู่อีกฟากกะนู้นของเมือง) ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราเปลี่ยนร้านกัน ไปทานใกล้ๆ บ้านตะเองก็ได้ เดี๋ยวเค้าออกไปเลย
เรา: เกรงใจตะเอง (ทำเสียงอ้อนๆ)
ว่าที่สามี : น่านะ เค้าว่างทั้งวัน เค้าอยากเห็นหน้าตะเองใจจะขาด
เรา: กะด้ายยยยย ตามใจตะเองน๊า (แล้วก็อายม้วน 18 ตลบ)
ตอนขอแต่งงาน
ณ ร้านอาหารเกือบหรู ว่าที่สามีอยู่ในท่าคุกเข่า พร้อมชูแหวนในกล่องแดงๆ มาที่เรา
ว่าที่สามี: ตะเองให้เค้าได้ดูแลตัวเองตลอดไปนะ
เรา : (ยักหน้า เขิลและอายที่สุดในชีวิต น้ำตาจิไหล อย่างกะได้ตำแหน่งมิสเวิลด์)
หลังแต่งงาน
3 ปี ผ่านไป ไวเหมือนโกหก
เช้าวันหนึ่ง ในวันที่ต้องใช้รถคันเดียวกันไปทำงาน
สามี: คุณ! นี่มันจะแปดโมงแล้วนะ มัวทำอะไรอยู่ จะแต่งอะไรกันหนักหนา แต่งไปก็เหมือนเดิม
เมีย: .............................. (จุก)
5 ปี ผ่านไป
เมีย: ฮัลโหล คุณอยู่ที่ไหน ช่วยมารับฉันที่นี่หน่อยได้ไหม รถฉันมันสตาร์ทไม่ติด ให้เค้ามาลากไปอู่แล้ว
สามี: โอ้ย ผมทำงานอยู่ ไม่เห็นเหรอเนี่ยมันกี่โมง คุณนั่งแท็กซี่ไปเองเหอะ ถึงบ้านค่อยโทรมานะ
อ้อ วันนี้ผมจะไปเลี้ยงส่งสมชายมันนะ ไม่ต้องรอกินข้าว แค่นี้แหละ (วางกรึ่บ)
เรา: ........................... (เหม่อลอย)
10 ปีผ่านไป
ในวันที่ปวดท้องประจำเดือน
เรา: คุณช่วยหยิบถุงน้ำร้อนตรงโต๊ะกาแฟให้หน่อย
สามี: (ละสายตามาจากจอทีวีที่กำลังฉายบอลคู่โปรด ชำเลืองเมียด้วยหางตาหนึ่งที แล้วเดินไปหยิบถุงน้ำร้อนมา ปากก็บ่นพรึมพรำว่า) แค่ปวดประจำเดือน ทำกระเสาะกระแสะยังกะเป็นอะไรมากมาย เป็นก็เป็นอยู่ทุกเดือน ไม่ชินกันบ้างรึไง
เรา: .......................(ท้อแท้)
รู้นะคะว่ายังรัก แต่เปลี่ยนไปเยอะมาก มนุษย์เมียอย่างอิฉันตั้งรับไม่ทันค่ะ
.............................................................................................................................................................................
[ถามต่อค่ะ]
คิดไปคิดมา ความรักของเราอาจจะเริ่มหมดอายุ อันนี้เข้าใจค่ะ แมนๆ กันไป มีเกิด มีตั้ง มันก็มีดับ
งั้นช่วยอนุโมทนากะมนุษย์เมียอย่างอิฉัน ชี้ทางสว่างให้อิฉันด้วย ว่าจะมีทางไหนที่จะดึงหนุ่มๆ น้อยๆ คนนั้น
คนที่เคยโรแมนติค หวานเวอร์ คนที่ดูแลเอาใจใส่ พูดเพราะๆ ออกมาจากผู้ชายผมยุ่งๆ หน้ากร้านๆ คนนี้ได้
อิฉันจักรู้สึกเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ขอน้อมรับทุกคำชี้แนะค่ะ