ครั้งหนึ่งในชีวิต ...คนถือตะเกียง...

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ วันนี้มาแชร์ความภาคภูมิใจเล็กๆ(ที่ยิ่งใหญ่)ของเรา

จากบรรทัดบน ขออธิบายนิดนึงนะคะ คือเรายังไม่ได้ยืนยันตัวตนเลยตั้งกระทู้สนทนาไม่ได้ ขออนุญาติใช้กระทู้คำถามแทนนะคะ

  ***ไม่ใช่เรื่องผีนะคะ***

ก่อนอื่นขออนุญาตินะคะ ที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นประสบการณ์เป็นคนถือตะเกียงในงานฌาปนกิจค่ะ หากมีถ้อยคำหรือสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจ/ลบหลู่/ควรแก้ไข รบกวนแจ้งจขกท.ด้วยนะคะ  มีเจตนาต้องการแชร์ประสบการณ์จริงเฉยๆคะ
________________________________________________________________________

ไม่กี่วันมานี้ที่มหาวิทยาลัยมีการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นการทำบุญและนำร่าง(ทั้งชิ้นเนื้อ กระดูก และที่ยังเป็นร่างกาย)ไปฌาปนกิจ ในงานมีญาติครูใหญ่และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมมากมาย มีโรงทานจากผู้ใจบุญ(ซึ่งอร่อยมากๆค่ะ แต่เสียดายทานได้ไม่ทั่วงานเลย นี่ถ้าเราไม่มีภารกิจต่อคงขอจัดทุเรียนไปแล้ว อิอิ)
ในงานมีผู้ร่วมทำบุญและบริจาคร่างกายกันเยอะมากค่ะ รู้สึกได้ถึงความมีเมตตาของคนในสังคม ขอขอบคุณพวกท่านมากๆนะคะที่เสียสละร่างกายให้เป็นครูเป็นตำราเล่มใหญ่ เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ รักษาผู้คนต่อๆไป ขอขอบพระคุณจากใจจริงค่ะ

สำหรับตัวเราเอง ไม่ได้เป็นสมาชิกฝ่ายหลักๆเลยไม่มีงานตลอด 3 วันที่มีการจัดพิธี พอดีเพื่อนฝ่ายฌาปนกิจมีคนน้อย เค้าเลยถามหาอาสาสมัครเพิ่ม เราและเพื่อนๆจำนวนหนึ่งเลยขอไปด้วย

ก่อนจะนำร่างครูใหญ่ไปฌาปนกิจ(สำหรับร่างและชิ้นเนื้อที่ต้องเผา ส่วนกระดูกถูกนำไปเก็บไว้ที่วัดค่ะ ไม่แน่ใจว่าเรียกอัฐิได้หรือเปล่าเพราะคิดว่าไม่ได้นำไปเผาแต่เป็นการนำไปเก็บรักษาไว้) จะมีการจัดคนถือตะเกียง ซ่ึ่งต่อไฟมาจากไฟพระราชทาน วัดละคน(มีหลายวัดมากค่ะเพราะครูใหญ่หลายร่าง) จัดคนโปรยดอกไม้-เหรียญตามทางเพื่อบอกทางครูใหญ่ เพราะเราจะเคลื่อนย้ายร่างครูใหญ่ที่บรรจุในโลง โดยรถใหญ่ไปที่วัด ดวงวิญญาณครูใหญ่จะได้ตามร่างมาถูก(เข้าใจว่าอย่างนี้นะคะ ^^ )

คือเค้าต้องการผู้หญิงไปเป็นคนถือตะเกียงและดอกไม้ รุ่นพี่รับถือดอกไม้แล้วให้รุ่นเราเลือกคนถือตะเกียง เพื่อจะได้ไปสอนน้องรุ่นถัดไปได้ เหล่กันไปเหล่กันมาเราเลยอาสาเป็นคนถึงตะเกียงสำหรับวัดของกลุ่มฌาฯเราค่ะ ความคิดแรกคือกลัว กลัวว่าจะทำพลาดเพราะงานก็เป็นพิธี ยิ่งเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นเรายิ่งกลัวมาก ...ทั้งๆที่ห้อยพระไว้กับตัว (ทีแรกที่เกี่ยงๆกันคิดว่าเพื่อนก็กลัวเหมือนเรานี่แหล่ะค่ะ55 ) แต่อีกใจคือหน้าที่นี้แลดูยิ่งใหญ่อยู่นะ(สำหรับเรา) กลัวจะทำไม่ได้ แต่ก็อยากทำ ครั้งหนึ่งในชีวิต โอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อยๆจริงมั้ยคะ?

ก่อนปฏิบัติภารกิจ รุ่นพี่ก็มาแจงงาน และ 'บอกข้อห้าม' ในระหว่างทำหน้าที่คนถือตะเกียง และคนโปรยดอกไม้ คือ ไม่ให้พูดคำว่า 'ถอย', 'กลับ' หรือคำที่มีความหมายว่าเป็นการถอยกลับไป อย่างสำหรับคนโปรยดอกไม้ที่ต้องคอยบอกทางครูใหญ่ ถ้าได้ยูเทิร์นรถให้พูดว่า  "เลี้ยวขวา เลี้ยวขวา" เป็นต้นค่ะ

ส่วนคนถือตะเกียงอย่างเรา มีหน้าที่ถือตะเกียง คอยแตะโลงเรียกชื่อครูใหญ่ เชิญขึ้นรถ ลงรถและเชิญขึ้นเมรุ (ต้องคอยดูดีๆว่าไม่ให้ไฟดับ ถ้าดับระหว่างทางที่อยู่บนรถ ให้ต่อไฟจากตะเกียงคนถืออีกคนที่อยู่บนรถเหมือนกัน เพราะถือเป็นไฟพระราชทานเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีให้ต่อต้อง 'หยุดรถ' และรอไฟจากส่วนกลาง)

ซึ่งข้อห้ามก็มีค่ะ แต่เราไม่ได้ถามว่าทำไม
รุ่นพี่บอกว่า ไม่ให้มองอะไรที่เป็นกระจกตลอดทาง ทั้งกระจกมองข้าง-มองหลัง รวมทั้งกระจกเงา จนถึงวัด (คนถือตะเกียงและคนโปรยดอกไม้ต้องนั่งหน้ารถไปกับคนขับค่ะ) ให้ทำจิตสงบ ไม่พูด ไม่คิด(อันนี้ยากมาก) และไม่พูด+คิดคำหยาบ พูดได้คนเดียวคือ คนโปรยดอกไม้ค่ะต้องบอกทาง ^^

เรานี่พยายามสุดๆ ปกติเป็นคนมีอะไรในหัวเยอะ เริ่มคิดว่ามันใช่มั้ยเนี่ยที่อาสามาเอง แต่ก็มาแล้วต้องทำให้ได้ ฮึ่บๆ
พอรถออกได้ซักพัก ก็เริ่มไปหมด ทั้งตาทั้งจิต รู้สึกถึงความไฮเปอร์ของตัวเอง แป๊ปๆหันไปเจอกระจก แป๊ปๆคิดฟุ้งซ่าน
เลยแก้โดยการท่อง ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ... จิตตั้งไปที่ท้องกำหนดลมหายใจ ตามองถนนข้างหน้า ทำไปซักพักเริ่มรู้สึกอยู่ได้ แต่ก็อยากให้ถึงวัดไวๆ

ซักหน่อยรู้สึกว่ามือเหงื่อออกรึป่าว? เพราะจับตะเกียงแล้วลื่นๆกลัวจะตกมือ
ปรากฏว่า ...น้ำมัดก๊าดเยิ้มเต็มมือเลยค่ะ...
อารมณ์นั้นแบบ ตกใจ เผลอร้องว่า เห้ย น้ำมันก๊าด! ลืมเลยว่าต้องสงบ ต้องนิ่ง ไม่พูดจา เพื่อนที่ถือตะเกียงข้างๆกันเลยแบมือดูก็เยิ้มเหมือนกัน แต่เค้านิ่งมากค่ะ ลุงคนขับใจดีเลยหยิบผ้ามาให้เช็ด คือเราไม่รู้จริงๆนะว่าตะเกียงน้ำมันก๊าดมันเยิ้มออกมาได้เลยตกใจ
พอเช็ดเสร็จก็ตั้งจิต ขอโทษครูใหญ่ค่ะ รู้สึกผิดจริงๆ แล้วกลับมายุบหนอ พองหนอต่อจนถึงวัด



_________________________

***ขอแท็กศาสนาพุทธ เพราะ การฌาปนกิจเป็นหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนาพุทธค่ะ
**ขอแท็กแพทย์ เพราะ มีวันนี้ได้เพราะครูใหญ่คือตำราเล่มสำคัญค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรที่จขกท.เข้าใจไม่ถูก รบกวนชี้แนะด้วยนะคะ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ขออนุญาติเขียนต่อนะคะ ขอบคุณคอมเม้นมากๆค่ะ^^
ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ทำตอนฌาปนกิจค่ะ

พอถึงก็มีพระมาทำพิธี สวดมนต์ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล แล้วก็เหมือนขอขมา ขอบคุณและขออนุญาติครูใหญ่นำร่างไปฌาปนกิจ งานนี้ที่ไปมีแต่รุ่นพี่และรุ่นเราล้วนๆค่ะ นศพ.ทำเองเลย พอเสร็จกิจของพระแล้วก็ถึงเวลาฌาปนกิจ

ที่เมรุ , พวกผู้หญิงก็ไปดูผู้ชายลากถาดออกมาจากเตาเผา
เทถ่านใส่ถาด ...คือแต่ละคนก็ทำไม่ค่อยเป็น ได้เทคนิกมาว่าใส่ถ่านไปสามถุงกระสอบจะได้เผาเสร็จเร็วขึ้น ก็เทไปค่ะ ระหว่างนั้นก็มีผู้ใหญ่จากงานครูใหญ่มาดูว่าแต่ละวัดพวกเราทำได้มั้ย มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าแล้วก็ไปดูความเรียบร้อยที่วัดอื่นๆต่อ

พอเตรียมถ่านเสร็จ ผู้ชายก็จะช่วยกันยกโลงครูใหญ่มาที่เมรุ ก่อนจะขึ้นเมรุ คนถือตะเกียง(เรา) ก็แตะโลงเชิญครูใหญ่ขึ้นเมรุค่ะ พอยกขึ้นไป ก็เปิดโลงยกร่างครูใหญ่(ถูกห่อผ้าไว้)ขึ้นวางบนถ่าน จัดการเทน้ำมันก๊าดราดเพื่อจุดไฟ แล้วขณะนั้นพระท่านก็ขึ้นมาดูพวกเราพร้อมถามว่า 'เทน้ำมันใส่ถ่านหรือยัง ถ้าเทที่ร่างจะติดไฟยาก' ด้วยความที่ขาดประสบการณ์เลยถึงบางอ้อค่ะ พระท่านแนะนำให้เผาพร้อมกันสองร่างถึงร่างใหญ่แค่ไหนก็เผาพร้อมกันได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นจะนานมาก(ทั้งหมด 6 ร่าง) แยกชาย-หญิงนะคะ

จากนั้นก็เผา โดยใช้ไฟพระราชทานจากตะเกียงค่ะ พระท่านเป็นผู้นำดอกไม้จันทน์จุดไฟไปเผาค่ะ ตามด้วยศิษย์ พอดันถาดเข้าเตาแล้วจะมีช่องให้เปิดดูไฟ พระท่านก็บอกให้เอาน้ำมา เทใส่ฝาแล้วสาดเข้ากองไฟ ท่านบอกว่า 'ช่วยดับไฟให้อาจารย์หน่อย' ศิษย์ก็ทำตามค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ต่อมาก็รอเวลา30-45นาที แล้วก็เก็บกระดูกต้นขาสีจะค่อนข้างขาว นำมาทุบและขัดให้เนื้อที่อาจจะติดมาให้ออก เพราะถ้ามีเนื้อติด จุลินทรีย์จะทำให้กระดูกนั้นเสียค่ะ(พี่เค้าบอกมา) พอได้กระดูกสีขาว(พยายามให้ขาวสวยเท่าที่จะทำได้ ...งานนี้เพื่อนทำ เราไม่ได้ทำค่ะ) ก็นำมาใส่ห่อผ้า ผูกเชือกแล้วนำมาบรรจุไว้ในโกศทองเหลืองที่ติดชื่อครูใหญ่ไว้ค่ะ เตรียมมอบให้ญาติในเช้าวันถัดมา
สำหรับร่างต่อๆมา ก่อนจะเผาก็จะทำการคนพวกเถ้าและกระดูกให้ปนกันก่อนไม่เช่นนั้นจะทำให้ลายกระดูกปนกันจะแยกยากค่ะ  คนทั้งยังมีไฟติดบ้างนับถือความอดทนของผู้ชายจริงๆค่ะ^^
แล้วค่อยนำร่างครูใหญ่ร่างอื่นมาทำการฌาปนกิจต่อค่ะ
...ลืมบอกว่ากว่าจะเริ่มฌาฯก็ปาไปสี่ทุ่มแล้วค่ะ ตอนแรกคิดว่าคงได้เฝ้าถึงเช้าแน่ๆ ...
พอบรรจุเสร็จครบทุกอัฐิ ก็เก็บของซึ่งเยอะมาก ของกินทั้งนั้น แหะๆ ทีแรกคิดว่าถึงเช้า พี่เค้าเตรียมหม้อสุกี้มาทำกิน สั่งพิซซ่า ซื้อขนมถุงมา2โหล นมอีกหลายแพ็ค จานชามแก้วน้ำ... เยอะค่ะ^^ พี่ดูแลน้องดีมากกก ก ก //ขอลากเสียงยาวๆ

พอมองนาฬิกาอีกทีก็ตีสองครึ่ง แล้วก็ลารุ่นพี่และแยกย้ายกันกลับค่ะ และมีส่วนหนึ่งจะมาเก็บเถ้าในเมรุตอนเจ็ดโมง เพื่อนำไปลอยอังคารต่อไป ส่วนเราไม่ไหวแล้วค่ะเลยขอไม่ไปตอนเช้า ก็ขับรถไปส่งเพื่อนเสร็จ ถึงบ้านก็ตีสามกว่าจะได้นอนก็ตีสี่ค่ะ ...เป็นอันจบภารกิจที่คิดว่ายิ่งใหญ่สุดในชีวิตตอนนี้แล้ว...

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ด้วยความเคารพค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่