"มีเมืองชื่อนี้ด้วยเหรอ?" หลายคนอาจสงสัยแบบเดียวกับที่ฉันเคยสงสัย
หากใครรู้จัก ก็คงจะทราบดีว่าเมืองกราซ เป็นเมืองหลวงของแคว้นสไตเรีย (Styria) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรีย
อันที่จริง เมืองนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศออสเตรีย แต่ถึงกระนั้น ในสายตาคนที่มาจากเมืองใหญ่และแน่นขนัดอย่างกรุงเทพฯแล้ว เมืองนี้นับได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขมาก
จากกรุงเทพมหานครบินตรงสู่เวียนนา ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง หากเลือกใช้บริการสายการบิน จากเวียนนาสู่กราซใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (ไม่นับเวลาทรานสิท) แต่หากเลือกที่จะใช้บริการรถไฟ เราจะได้เวลาอีกสองชั่วโมงครึ่ง ในการนั่งชมวิวสองข้างทางอันสวยงามของประเทศออสเตรีย
ด้วยระบบขนส่งมวลชนอันสะดวกสบายได้มาตรฐานยุโรป เราจึงสามารถเดินทางทั่วเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และด้วยความที่บ้านเมือง ถนนหนทางสะอาดสะอ้านเรียบร้อย บวกกับอากาศที่กำลังสบายๆ และผู้คนที่เป็นมิตร ทำให้ฉันตกหลุมรักเมืองนี้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง
เมืองเล็กๆอันแสนสงบแห่งนี้มีภูเขาเล็กๆ อยู่กลางเมือง นามว่า Schlossberg หรือ Castle hill เป็นที่ตั้งของหอนาฬิกาเก่าแก่ (Uhrturm) สัญลักษณ์ประจำเมือง ถือเป็นแลนมาร์คสำคัญของที่นี่ นอกจากนี้ยังมีป้อมปืนใหญ่ บ่อน้ำโบราณ หอระฆัง รูปปั้น ฯลฯ ซึ่งคอยบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในยุคกลางของเมืองให้แก่ผู้มาเยือน จากจุดชมวิวมากมายหลายแห่งบนนั้น ทำให้เราได้มองกราซจากหลากมุม แต่ไม่ว่ามุมไหนก็ดูสวยงามน่าอยู่ทั้งสิ้น
แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านไม่ใกล้ ไม่ไกลจาก Schlossberg นั้น มีชื่อว่า Mur river ที่ซึ่งสถาปนิกชาวนิวยอร์คได้ฝากผลงานไว้ในรูปแบบของคาเฟ่ และลานการแสดงในเปลือกหอยลอยน้ำขนาดยักษ์ และหากเลียบแม่น้ำมาอีกนิด ก็จะพบกับอาคารรูปทรงประหลาด ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Friendly Alien นั่นคือหอแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย หรือ Kunsthaus นั่นเอง
หากข้ามแม่น้ำกลับมายังย่าน old town ก็จะพบร้านค้า และร้านอาหารมากมายเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ย่านนี้ เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง หรือที่ในภาษาเยอรมันเรียกว่า rathaus ลานน้ำพุด้านหน้านั้น เป็นสถานที่สำหรับตลาดขายของแฮนด์เมด และจัดแสดงดนตรีแบบท้องถิ่นตามเทศกาลต่างๆ รวมถึงเทศกาลใหญ่ของเมือง ซึ่งจะมีศิลปินมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาให้ความบันเทิงแก่ชาวกราซ ด้วยดนตรีหลากหลายแนว ตั้งแต่ ป๊อบ แจ๊ส ละติน ไปจนถึงร็อกแอนด์โรล
ส่วนบริเวณรอบๆ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณ สุสานแห่งกษัตริย์ Ferdinand ที่ 2 โบสถ์ต่างๆ รวมทั้งหอนาฬิกาที่จะมีหุ่นไม้แต่งกายแบบท้องถิ่นออกมาเต้นระบำตามเสียงเพลง ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าของที่นี่นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องของ courtyard หรือลานกลางอาคารอันสวยงามและโรแมนติก จากการเดินชมเมืองเก่า ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะแบบ Gothic และ Barogue เพิ่มขึ้นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าย่านเมืองเก่าที่นี่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สมกับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999
ไกลออกไปจากย่านใจกลางเมือง Schloss Eggenberg ที่ซึ่งเพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปหมาดๆ เมื่อปี ค.ศ. 2010 ตั้งตระหง่านอยู่ริมเชิงเขา รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว หากเข้าชมภายในตัวปราสาท ก็จะได้พบกับศิลปะแบบ Rococo ซึ่งโดดเด่นที่ลวดลายปูนปั้นนูนสูง ประดับดาทั้งบริเวณฝาผนัง และเพดาน ถึงแม้ตัวปราสาทจะดูเรียบง่าย ไม่อลังการนัก หากแต่การตกแต่งภายในนั้นเต็มที่ไม่มีกั๊ก เพดานของทุกห้อง ล้วนถูกตกแต่งด้วยภาพวาด ลวดลายปูนปั้น และโคมไฟระย้า สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้ไม่น้อย ส่วนบริเวณรอบๆปราสาท ถูกรายล้อมไปด้วยสวนสวยงามถึง 3 แห่ง อันประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สนามหญ้าเขียวขจี ดอกกุหลาบนานาพันธุ์ต่างแข่งขันกันอวดความงามสู่สายตาผู้รักธรรมชาติ ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมี Alt Galerie รวบรวมศิลปะตั้งแต่ยุคกลาง ไปจนถึงปลายศตวรรษที่ 18, Coin cabinet รวบรวมเหรียญโบราณ และ Acheology museum รวบรวมวัตถุโบราณที่ขุดพบในแคว้น Styria มาให้ผู้สนใจได้ชมกันอีกด้วย
Gallery days ที่ถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้ฉันรู้ว่าที่กราซนี้ มีแกลอรี่เล็กๆ แทรกตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมากมาย
ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินหลากหลายเชื้อชาติ ถูกจัดแสดงอยู่ตามแกลอรี่เล็กใหญ่ ให้เราได้เข้าไปชมและครุ่นคิด มิตรภาพเล็กๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง และระหว่างที่ฉันเข้าชมงานศิลปะนั้น ติดตราตรึงใจไม่รู้ลืม ทำให้รู้ว่าคนเมืองนี้น่ารัก ใจดี และมีความสุขที่ได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกลเสมอ
ลองเอาบทความที่เขียนไว้มาให้อ่านกันค่ะ ชอบไม่ชอบอย่างไร เชิญแนะนำติชมได้เลยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
ปล. เว็บไซต์ท่องเที่ยวของเมืองค่ะ เผื่อผู้ใดสนใจ
http://www.graztourismus.at/en
Graz : เมืองแห่งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศิลปะร่วมสมัย
หากใครรู้จัก ก็คงจะทราบดีว่าเมืองกราซ เป็นเมืองหลวงของแคว้นสไตเรีย (Styria) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรีย
อันที่จริง เมืองนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศออสเตรีย แต่ถึงกระนั้น ในสายตาคนที่มาจากเมืองใหญ่และแน่นขนัดอย่างกรุงเทพฯแล้ว เมืองนี้นับได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขมาก
จากกรุงเทพมหานครบินตรงสู่เวียนนา ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง หากเลือกใช้บริการสายการบิน จากเวียนนาสู่กราซใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (ไม่นับเวลาทรานสิท) แต่หากเลือกที่จะใช้บริการรถไฟ เราจะได้เวลาอีกสองชั่วโมงครึ่ง ในการนั่งชมวิวสองข้างทางอันสวยงามของประเทศออสเตรีย
ด้วยระบบขนส่งมวลชนอันสะดวกสบายได้มาตรฐานยุโรป เราจึงสามารถเดินทางทั่วเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และด้วยความที่บ้านเมือง ถนนหนทางสะอาดสะอ้านเรียบร้อย บวกกับอากาศที่กำลังสบายๆ และผู้คนที่เป็นมิตร ทำให้ฉันตกหลุมรักเมืองนี้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง
เมืองเล็กๆอันแสนสงบแห่งนี้มีภูเขาเล็กๆ อยู่กลางเมือง นามว่า Schlossberg หรือ Castle hill เป็นที่ตั้งของหอนาฬิกาเก่าแก่ (Uhrturm) สัญลักษณ์ประจำเมือง ถือเป็นแลนมาร์คสำคัญของที่นี่ นอกจากนี้ยังมีป้อมปืนใหญ่ บ่อน้ำโบราณ หอระฆัง รูปปั้น ฯลฯ ซึ่งคอยบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในยุคกลางของเมืองให้แก่ผู้มาเยือน จากจุดชมวิวมากมายหลายแห่งบนนั้น ทำให้เราได้มองกราซจากหลากมุม แต่ไม่ว่ามุมไหนก็ดูสวยงามน่าอยู่ทั้งสิ้น
แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านไม่ใกล้ ไม่ไกลจาก Schlossberg นั้น มีชื่อว่า Mur river ที่ซึ่งสถาปนิกชาวนิวยอร์คได้ฝากผลงานไว้ในรูปแบบของคาเฟ่ และลานการแสดงในเปลือกหอยลอยน้ำขนาดยักษ์ และหากเลียบแม่น้ำมาอีกนิด ก็จะพบกับอาคารรูปทรงประหลาด ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Friendly Alien นั่นคือหอแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย หรือ Kunsthaus นั่นเอง
หากข้ามแม่น้ำกลับมายังย่าน old town ก็จะพบร้านค้า และร้านอาหารมากมายเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ย่านนี้ เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง หรือที่ในภาษาเยอรมันเรียกว่า rathaus ลานน้ำพุด้านหน้านั้น เป็นสถานที่สำหรับตลาดขายของแฮนด์เมด และจัดแสดงดนตรีแบบท้องถิ่นตามเทศกาลต่างๆ รวมถึงเทศกาลใหญ่ของเมือง ซึ่งจะมีศิลปินมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาให้ความบันเทิงแก่ชาวกราซ ด้วยดนตรีหลากหลายแนว ตั้งแต่ ป๊อบ แจ๊ส ละติน ไปจนถึงร็อกแอนด์โรล
ส่วนบริเวณรอบๆ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณ สุสานแห่งกษัตริย์ Ferdinand ที่ 2 โบสถ์ต่างๆ รวมทั้งหอนาฬิกาที่จะมีหุ่นไม้แต่งกายแบบท้องถิ่นออกมาเต้นระบำตามเสียงเพลง ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าของที่นี่นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องของ courtyard หรือลานกลางอาคารอันสวยงามและโรแมนติก จากการเดินชมเมืองเก่า ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะแบบ Gothic และ Barogue เพิ่มขึ้นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าย่านเมืองเก่าที่นี่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สมกับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999
ไกลออกไปจากย่านใจกลางเมือง Schloss Eggenberg ที่ซึ่งเพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปหมาดๆ เมื่อปี ค.ศ. 2010 ตั้งตระหง่านอยู่ริมเชิงเขา รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว หากเข้าชมภายในตัวปราสาท ก็จะได้พบกับศิลปะแบบ Rococo ซึ่งโดดเด่นที่ลวดลายปูนปั้นนูนสูง ประดับดาทั้งบริเวณฝาผนัง และเพดาน ถึงแม้ตัวปราสาทจะดูเรียบง่าย ไม่อลังการนัก หากแต่การตกแต่งภายในนั้นเต็มที่ไม่มีกั๊ก เพดานของทุกห้อง ล้วนถูกตกแต่งด้วยภาพวาด ลวดลายปูนปั้น และโคมไฟระย้า สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้ไม่น้อย ส่วนบริเวณรอบๆปราสาท ถูกรายล้อมไปด้วยสวนสวยงามถึง 3 แห่ง อันประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สนามหญ้าเขียวขจี ดอกกุหลาบนานาพันธุ์ต่างแข่งขันกันอวดความงามสู่สายตาผู้รักธรรมชาติ ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมี Alt Galerie รวบรวมศิลปะตั้งแต่ยุคกลาง ไปจนถึงปลายศตวรรษที่ 18, Coin cabinet รวบรวมเหรียญโบราณ และ Acheology museum รวบรวมวัตถุโบราณที่ขุดพบในแคว้น Styria มาให้ผู้สนใจได้ชมกันอีกด้วย
Gallery days ที่ถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้ฉันรู้ว่าที่กราซนี้ มีแกลอรี่เล็กๆ แทรกตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมากมาย
ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินหลากหลายเชื้อชาติ ถูกจัดแสดงอยู่ตามแกลอรี่เล็กใหญ่ ให้เราได้เข้าไปชมและครุ่นคิด มิตรภาพเล็กๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง และระหว่างที่ฉันเข้าชมงานศิลปะนั้น ติดตราตรึงใจไม่รู้ลืม ทำให้รู้ว่าคนเมืองนี้น่ารัก ใจดี และมีความสุขที่ได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกลเสมอ
ลองเอาบทความที่เขียนไว้มาให้อ่านกันค่ะ ชอบไม่ชอบอย่างไร เชิญแนะนำติชมได้เลยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
ปล. เว็บไซต์ท่องเที่ยวของเมืองค่ะ เผื่อผู้ใดสนใจ http://www.graztourismus.at/en