สวัสดีครับห่างหายจากการเขียนบทความไปนาน พอดีไปเห็นกระทู้นี้เข้าของคุณ น้าลีโอ
http://ppantip.com/topic/32165793
ตามจริงจะตอบในกระทู้นั้นแล้วแต่พอดีไม่ว่าง ก็เลยติดไว้ก่อน แต่ไหนๆก็เขียนแล้วก็เลยรวมๆมาหมดทีเดียวเลยดีกว่า ประกอบกับกระทู้ตกไปแล้วด้วย
ชอบก็กดโหวตได้เลยครับ
ลัทธิบูชาซาตาน คืออะไร
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าซาตานคือใคร
ในอดีตตามตำนานเล่าว่า มีเทพอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า ลูซิเฟอร์(หรืออีกชื่อซาตาน) ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและพระเจ้าทรงรักมาก มีอำนาจเป็นรองแค่พระเจ้าเท่านั้น โดยลูซิเฟอร์ทำหน้าที่นำขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ต่อมา ยามเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์นั้น ลูซิเฟอร์อิจฉามนุษย์ที่ได้รับความรักจากพระเจ้า บางตำนานก็ว่า ลูซิเฟอร์ไม่พอใจที่พระเจ้า สร้างมนุษย์ โดยให้มีรูปกายแบบเดียวกับตน เลยไปบอกพระเจ้าว่า หากมนุษย์บูชาพระเจ้าก็ควรนับถือตนด้วย เพราะมนุษย์ ถูกสร้างมาให้เหมือนตน ก็เลยโดนอัปเปหิออกจากสวรรค์ บางตำนานก็ว่าลูซิเฟอร์ถูกล่อลวง-ยั่วยุโดยซาตาน (ซาตานกับลูซิเฟอร์ บางตำนานว่าเป็นคนล่ะคนกัน โดยซาตานเดิมทีก็เป็นอัครเทวทูตในสวรรค์ นามว่า satamel)
แต่อย่างไรก็ตามทุกตำนานเล่าตรงกันหมดว่า ท้ายสุดหลัง ลูซิเฟอร์ ก็ถูกขับจากสวรรค์ และด้วยความหยิ่งผยองของลูซิฟเฟอร์จึงได้ นำเทวดาบนสวรรค์ ครึ่งนึง บ้างก็ว่า 3/5 ที่หลงเชื่อลูซิเฟอร์ ทำการก่อกบฏต่อพระเจ้า แต่ก็ได้พ่ายแพ้ทัพเทวดาที่นำโดยมหาเทพมิคาเอลไป และเทวดาเหล่านี้ ก็ถูกขับออกจากสวรรค์ทั้งหมด หลังจากตกสวรรค์เทวดาเหล่านี้ก็สูญเสียรูปลักษณ์อันงดงาม และกลายเป็นเหล่าปีศาจไป ซึ่งรวมถึงลูซิเฟอร์ด้วยที่เปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์และนามใหม่ว่าซาตาน สงครามนี้เรียกว่า สงครามเทวดาตกสวรรค์ (fallen angel) (คุ้นๆไหมเออ ไปคล้ายกับตำนานของทางอินเดีย แต่เทวดาของอินเดียเมาเหล้า ก็เลยกลายเป็นเหล่ายักษ์) แต่อย่างไรก็ตาม ลูซิเฟอร์ก็ยังเฝ้ารอ และไม่เชื่อว่ามนุษย์มีดีพอที่จะให้พระเจ้าทรงมอบความรักให้ จึงทำการล่อลวงและยั่วยุ ให้มนุษย์ตกอยู่ในบาป เพื่อสร้างสมกำลังรอวันที่จะทำสงครามอีกครั้ง ในวันสิ้นโลก(amagadon)
ลูซิเฟอร์ในพระคัมภีร์ไบเบิล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ลูซิเฟอร์ในพระคัมภีร์
"โอ ลูซีเฟอร์เอ๋ย โอรสแห่งรุ่งอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า `ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ด้านทิศเหนือ ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด' แต่เจ้าจะถูกนำลงมาสู่นรก ยังที่ลึกของปากแดน บรรดาผู้ที่เห็นเจ้าจะเพ่งดูเจ้า และจะพิจารณาเจ้าว่า `ชายคนนี้หรือที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน ผู้เขย่าราชอาณาจักรทั้งหลาย ผู้ที่ได้กระทำให้โลกเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร และคว่ำหัวเมืองของโลกเสีย ผู้ไม่ยอมให้เชลยกลับไปบ้านของเขา'."
รายละเอียดที่สองปรากฏในพระธรรม เอเสเคียล 28 ข้อ 13-19 มีความหมายผิวเผินเล็งถึงกษัตริย์แห่งเมืองไทระในอดีต(หรือเลบานอนในปัจจุบัน) แต่ความหมายลึกซึ้งก็เล็งถึงเทวทูตองค์เดียวกันนี้
"เจ้าเคยอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัม เพชร พลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก ไพทูรย์ มรกต พลอยสีแดงเข้มและทองคำ ความเชี่ยวชาญแห่งรำมะนาและปี่ของเจ้าได้จัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา เจ้าเป็นเครูบผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้ เราได้ตั้งเจ้าไว้ เจ้าเคยอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า และเจ้าเคยเดินอยู่ท่ามกลางศิลาเพลิง เจ้าก็ปราศจากตำหนิในวิธีการทั้งหลายของเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมาจนพบความชั่วช้าในตัวเจ้า ในความอุดมสมบูรณ์แห่งการค้าของเจ้านั้น เจ้าก็เต็มด้วยการทารุณ เจ้ากระทำบาป ดังนั้น โอ เครูบผู้พิทักษ์เอ๋ย เราจะขับเจ้าออกไปจากภูเขาแห่งพระเจ้าดุจสิ่งมลทิน และเราจะกำจัดเจ้าเสียจากท่ามกลางศิลาเพลิง จิตใจของเจ้าผยองขึ้นเพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำให้สติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลง เพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า เราจะเหวี่ยงเจ้าลงที่ดิน เราจะตีแผ่เจ้าต่อหน้ากษัตริย์ทั้งหลาย เพื่อตาของท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะเพลินอยู่ที่เจ้า เจ้ากระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นมลทิน โดยความชั่วช้าเป็นอันมากของเจ้า ในการค้าอันชั่วช้าของเจ้า เหตุฉะนั้นเราจะนำไฟออกมาจากท่ามกลางเจ้า ไฟจะเผาผลาญเจ้า เราจะกระทำให้เจ้าเป็นเถ้าถ่านไปบนแผ่นดินโลกท่ามกลางสายตาของคนทั้งปวงที่มองดูเจ้าอยู่ บรรดาผู้ที่รู้จักเจ้าท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เขาจะตกตะลึงเพราะเจ้า เจ้าจะสิ้นสูญลงอย่างน่าครั่นคร้าม และจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปเป็นนิตย์"
2. "นามอื่นๆและสมยา" ของเทวทูตองค์นี้ เนื่องจากเทวทูตองค์นี้ได้ปรากฏตัวที่สวนเอเดนตามข้อความข้างบนในลิ๊งค์ #2 นี้ เทวทูตองค์นี้ได้ปรากฏในร่างของงู มาทดลองความเชื่อฟังของมนุษย์ต่อพระบัญชาของพระเจ้าที่ได้ให้ไว้
จากพระธรรม วิวรณ์ 12 ข้อ 7-12 มีคำเขียนอธิบายว่า "มีสงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลและพวกทูตสวรรค์ของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับพวกทูตของมันก็ต่อสู้ แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก..."
3. กิจกรรมของพญามารในโลกนี้ สะท้อนมาจากคำโต้แย้งของพระเยซูและผู้นำชาติยิวที่ต่อต้านพระองค์ว่า อะไรคือความจริงและอะไรคือความเท็จ? และใครอยู่ฝ่ายความจริงและใครอยู่ฝ่ายความเท็จ? จากพระธรรม ยอห์น 8 ข้อ 42-47 "พระเยซูตรัสกับเขา(ผู้ต่อต้าน)ว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์นั้นทรงใช้เรามา เหตุไฉนท่านจึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะท่านทนฟังคำของเราไม่ได้ ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา แต่ท่านทั้งหลายมิได้เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำบาป และถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง เพราะท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า"
อ้างอิง
http://www.thaipope.org/webbible/23_014.htm
http://www.thaipope.org/webbible/26_028.htm
http://www.thaipope.org/webbible/01_003.htm
http://www.thaipope.org/webbible/66_012.htm
http://www.thaipope.org/webbible/43_008.htm
ในปี 1474 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพวาดของพี่น้องลิมเบอร์ก( Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง
แม่มด ปรากฏครั้งแรกในหน้าประวัติศาตร์เมื่อ ปี คศ 1600 พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ ( Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน ( Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก( North Berwick) หลังจากถูกทรมาน
แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงประชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดินเบิร์ก ( Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น
ภาพการพิจารณาคดี
นั่นแสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้าจะมีการล่าแม่มด มีแม่มดและพวกนอกรีตมาก่อนแล้ว แล้วพวกนอกรีตและบูชาซาตานก่อนหน้านั้น คืออะไร
อนึ่ง ต้องเข้าใจว่า
ในอดีตก่อนที่จะมีศาสนาคริสตร์ ในดินแดนยุโรปมีมากมายหลากหลายศาสนา นึกไม่ออกก็ประมาณพวกนับถือเทพอย่างพวกโรมันโดยในแต่ล่ะท้องถิ่นก็จะมี การนับเทพเจ้าต่างๆแตกต่างกันไป จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสตร์ และไม่ใช่ว่าปุบปับหลังการสิ้นของพระเยซุ ศาสนาคริสตร์จะเฟื่องฟูในทันทีทันใด ยุคแรกๆ ศานาคริสตร์เป็นศาสนาเถื่อนไม่ได้รับการยอมรับในอาณาจักรโรมัน ซึ่งมีอยู่ยุคหนึ่ง ผู้ที่นับถือศาสนาคริสตร์เคยโดนไล่จับมาเผาทั้งเป็นด้วยซ้ำ แต่ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในโรมันเนื่องจากนโยบายของโรมันในยุคหลังๆ ต่อมากาลเวลาผ่านไปศานาคริสตร์ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรโรมัน และเฟื่องฟูที่สุดในสมัย จักรพรรดิคอนแตนตินมหาราช (คนที่สร้างนครคอสแตนติโนเบิล) แล้วศาสนาเก่าเหล่านี้ หายไปไหนล่ะ ?
ก็ไม่ได้หายไปไหนก็ยังมีผู้ที่นับถืออยู่ เพียงแต่ว่าน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ทีนี้การคงอยู่ของมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับศาสนาคริสตร์ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นใหญ่เพียงองค์เดียว ศาสนาเหล่านี้ก็เลยถูกเรียกอย่างดูถูกว่า พวกนอกรีต หรือ ศาสนาหรือลัทธิเพกิน (Paganism) มาจากภาษาละติน paganus แปลว่า “ผู้ที่อยู่ในชนบท” หรือพวกคนบ้านนอกนั่นแหละ (ยกตัวอย่าง ศาสนาฮินดู ก็เป็นศาสนาเพกินอย่างหนึ่ง)
ต่อมานานๆไป เทพเจ้าองค์เก่า ก็กลายเป็นปีศาจในพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นในยุคหลังไปยกตัวอย่าง Mammon (ความโลภ)หนึ่งในตัวแทนบาปทั้ง 7 ในศาสนาคริสตร์ คาแรคเตอร์ก็เอามาจาก เทพเจ้าองค์หนึ่ง ในทางแถวๆซีเรีย วิธีนี้พวกกรีกก็เคยเอามาใช้ในยุคหนึ่ง คือไปตีเมืองไหนก็รับเอาเทพของทางแถบนั้น มาผนวกในปาร์ตี้เทพเจ้าตัวเอง เทพเจ้ากรีกก็เลยเยอะอย่างที่เห็น
ดังนั้นผู้ที่นับถือซาตานหรือพวกนอกรีตในสายตาคริสเตียนในสมัยก่อน ก็คือพวกนับถือศาสนาเก่านั่นเอง ต่อมากาลเวลาผ่านไปด้วยอิทธิพลของสื่อต่างๆ ก็กลายเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
จักรพรรดิ คอนแตนตินมหาราช รูปนี้อยู่ที่มหาวิหารโซเฟีย
ตำนาน ความเชื่อของฝรั่ง และข้อเท็จจริงทางประวัติศาตร์
ตามจริงจะตอบในกระทู้นั้นแล้วแต่พอดีไม่ว่าง ก็เลยติดไว้ก่อน แต่ไหนๆก็เขียนแล้วก็เลยรวมๆมาหมดทีเดียวเลยดีกว่า ประกอบกับกระทู้ตกไปแล้วด้วย
ชอบก็กดโหวตได้เลยครับ
ลัทธิบูชาซาตาน คืออะไร
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าซาตานคือใคร
ในอดีตตามตำนานเล่าว่า มีเทพอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า ลูซิเฟอร์(หรืออีกชื่อซาตาน) ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและพระเจ้าทรงรักมาก มีอำนาจเป็นรองแค่พระเจ้าเท่านั้น โดยลูซิเฟอร์ทำหน้าที่นำขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ต่อมา ยามเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์นั้น ลูซิเฟอร์อิจฉามนุษย์ที่ได้รับความรักจากพระเจ้า บางตำนานก็ว่า ลูซิเฟอร์ไม่พอใจที่พระเจ้า สร้างมนุษย์ โดยให้มีรูปกายแบบเดียวกับตน เลยไปบอกพระเจ้าว่า หากมนุษย์บูชาพระเจ้าก็ควรนับถือตนด้วย เพราะมนุษย์ ถูกสร้างมาให้เหมือนตน ก็เลยโดนอัปเปหิออกจากสวรรค์ บางตำนานก็ว่าลูซิเฟอร์ถูกล่อลวง-ยั่วยุโดยซาตาน (ซาตานกับลูซิเฟอร์ บางตำนานว่าเป็นคนล่ะคนกัน โดยซาตานเดิมทีก็เป็นอัครเทวทูตในสวรรค์ นามว่า satamel)
แต่อย่างไรก็ตามทุกตำนานเล่าตรงกันหมดว่า ท้ายสุดหลัง ลูซิเฟอร์ ก็ถูกขับจากสวรรค์ และด้วยความหยิ่งผยองของลูซิฟเฟอร์จึงได้ นำเทวดาบนสวรรค์ ครึ่งนึง บ้างก็ว่า 3/5 ที่หลงเชื่อลูซิเฟอร์ ทำการก่อกบฏต่อพระเจ้า แต่ก็ได้พ่ายแพ้ทัพเทวดาที่นำโดยมหาเทพมิคาเอลไป และเทวดาเหล่านี้ ก็ถูกขับออกจากสวรรค์ทั้งหมด หลังจากตกสวรรค์เทวดาเหล่านี้ก็สูญเสียรูปลักษณ์อันงดงาม และกลายเป็นเหล่าปีศาจไป ซึ่งรวมถึงลูซิเฟอร์ด้วยที่เปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์และนามใหม่ว่าซาตาน สงครามนี้เรียกว่า สงครามเทวดาตกสวรรค์ (fallen angel) (คุ้นๆไหมเออ ไปคล้ายกับตำนานของทางอินเดีย แต่เทวดาของอินเดียเมาเหล้า ก็เลยกลายเป็นเหล่ายักษ์) แต่อย่างไรก็ตาม ลูซิเฟอร์ก็ยังเฝ้ารอ และไม่เชื่อว่ามนุษย์มีดีพอที่จะให้พระเจ้าทรงมอบความรักให้ จึงทำการล่อลวงและยั่วยุ ให้มนุษย์ตกอยู่ในบาป เพื่อสร้างสมกำลังรอวันที่จะทำสงครามอีกครั้ง ในวันสิ้นโลก(amagadon)
ลูซิเฟอร์ในพระคัมภีร์ไบเบิล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในปี 1474 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพวาดของพี่น้องลิมเบอร์ก( Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง
แม่มด ปรากฏครั้งแรกในหน้าประวัติศาตร์เมื่อ ปี คศ 1600 พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ ( Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน ( Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก( North Berwick) หลังจากถูกทรมาน
แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงประชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดินเบิร์ก ( Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น
ภาพการพิจารณาคดี
นั่นแสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้าจะมีการล่าแม่มด มีแม่มดและพวกนอกรีตมาก่อนแล้ว แล้วพวกนอกรีตและบูชาซาตานก่อนหน้านั้น คืออะไร
อนึ่ง ต้องเข้าใจว่า
ในอดีตก่อนที่จะมีศาสนาคริสตร์ ในดินแดนยุโรปมีมากมายหลากหลายศาสนา นึกไม่ออกก็ประมาณพวกนับถือเทพอย่างพวกโรมันโดยในแต่ล่ะท้องถิ่นก็จะมี การนับเทพเจ้าต่างๆแตกต่างกันไป จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสตร์ และไม่ใช่ว่าปุบปับหลังการสิ้นของพระเยซุ ศาสนาคริสตร์จะเฟื่องฟูในทันทีทันใด ยุคแรกๆ ศานาคริสตร์เป็นศาสนาเถื่อนไม่ได้รับการยอมรับในอาณาจักรโรมัน ซึ่งมีอยู่ยุคหนึ่ง ผู้ที่นับถือศาสนาคริสตร์เคยโดนไล่จับมาเผาทั้งเป็นด้วยซ้ำ แต่ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในโรมันเนื่องจากนโยบายของโรมันในยุคหลังๆ ต่อมากาลเวลาผ่านไปศานาคริสตร์ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรโรมัน และเฟื่องฟูที่สุดในสมัย จักรพรรดิคอนแตนตินมหาราช (คนที่สร้างนครคอสแตนติโนเบิล) แล้วศาสนาเก่าเหล่านี้ หายไปไหนล่ะ ?
ก็ไม่ได้หายไปไหนก็ยังมีผู้ที่นับถืออยู่ เพียงแต่ว่าน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ทีนี้การคงอยู่ของมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับศาสนาคริสตร์ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นใหญ่เพียงองค์เดียว ศาสนาเหล่านี้ก็เลยถูกเรียกอย่างดูถูกว่า พวกนอกรีต หรือ ศาสนาหรือลัทธิเพกิน (Paganism) มาจากภาษาละติน paganus แปลว่า “ผู้ที่อยู่ในชนบท” หรือพวกคนบ้านนอกนั่นแหละ (ยกตัวอย่าง ศาสนาฮินดู ก็เป็นศาสนาเพกินอย่างหนึ่ง)
ต่อมานานๆไป เทพเจ้าองค์เก่า ก็กลายเป็นปีศาจในพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นในยุคหลังไปยกตัวอย่าง Mammon (ความโลภ)หนึ่งในตัวแทนบาปทั้ง 7 ในศาสนาคริสตร์ คาแรคเตอร์ก็เอามาจาก เทพเจ้าองค์หนึ่ง ในทางแถวๆซีเรีย วิธีนี้พวกกรีกก็เคยเอามาใช้ในยุคหนึ่ง คือไปตีเมืองไหนก็รับเอาเทพของทางแถบนั้น มาผนวกในปาร์ตี้เทพเจ้าตัวเอง เทพเจ้ากรีกก็เลยเยอะอย่างที่เห็น
ดังนั้นผู้ที่นับถือซาตานหรือพวกนอกรีตในสายตาคริสเตียนในสมัยก่อน ก็คือพวกนับถือศาสนาเก่านั่นเอง ต่อมากาลเวลาผ่านไปด้วยอิทธิพลของสื่อต่างๆ ก็กลายเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
จักรพรรดิ คอนแตนตินมหาราช รูปนี้อยู่ที่มหาวิหารโซเฟีย