ยาย ข ซื้อที่ดินเปล่าจัดสรรเป็นล๊อกๆ แล้วปลูกบ้านเอง ปรากฏว่าที่ข้างเคียงมี ตา ง มาอยู่ก่อนแล้วโดยเป็นบ้านไม้และล้อมรั้วลวดหนามไว้ พอยาย ข ปลูกบ้านและล้อมรั้วบ้างจึงได้ดำเนินการในที่ของตนโดยเข้าใจว่าถัดจากรั่วลวดหนามของข้างบ้านก็คือที่ของตน เวลาผ่านมา 20 ปี ตา ง เสียชีวิต ลูกหลายของ ตา ง ได้ทำการรังวัดที่แบ่งมรดกกัน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่รังวัดบอกว่าที่ของ ตา ง รุกร้ำเขามาในที่ของยาย ข 1 ศอก แต่ก็มีข้อสังเกตว่าในวันก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่รังวัดไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้ ยาย ข ไปชี้เขต และหลังรังวัดไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้ยาย ข ทราบว่าที่ข้างบ้านได้รุกร้ำเข้ามา วันรังวัดที่ ยาย ข เป็นผู้เห็นคนมารังวัดจึงเดินเข้าไปดูเอง และลูกหลานของ ตา ง ก็ทำเป็นปกติไม่ได้ดำเนินการอย่างใดต่อทั้งที่ทราบแล้วว่าตนรุกร้ำที่ข้างเคียง สุดท้าย ยาย ข จึงได้ขอทำการรังวัดที่ของตนว่าจะถูกรุกร้ำหรือไม่
คำถาม 1. ยาย ข ต้องเสียที่ดินที่ถูกรุกร้ำเพราะเกิน 10 ปี และไม่ได้โต้แย้งหรือไม่ ตามกฎหมายครอบครองปรปักษ์ 2. เหตุใดเจ้าหน้าที่รังวัดถือไม่ดำเนินการเป็นหนังสือทางการในการแจ้งต่อ ยาย ข และเมื่อมีการรุกร้ำทำไมเจ้าหน้าที่ไม่แจ้งต่อยาย ข ทราบเป็นหนังสือ (ยายยืนยันว่าไม่มีการแจ้งเป็นหนังสือเลย และยืนยันว่าข้างที่ของยายมีการรังวัดที่จริงยายไปยืนดูอยู่) 3. มีข้อต่อสู้คดีใดที่ยาย ข จะใช้ในการสู้ในศาลเพื่อให้ไม่เสียที่ดินตามกฎหมายครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่
แบบนี้ถูกครอบครองปรปักษ์ ไหม
คำถาม 1. ยาย ข ต้องเสียที่ดินที่ถูกรุกร้ำเพราะเกิน 10 ปี และไม่ได้โต้แย้งหรือไม่ ตามกฎหมายครอบครองปรปักษ์ 2. เหตุใดเจ้าหน้าที่รังวัดถือไม่ดำเนินการเป็นหนังสือทางการในการแจ้งต่อ ยาย ข และเมื่อมีการรุกร้ำทำไมเจ้าหน้าที่ไม่แจ้งต่อยาย ข ทราบเป็นหนังสือ (ยายยืนยันว่าไม่มีการแจ้งเป็นหนังสือเลย และยืนยันว่าข้างที่ของยายมีการรังวัดที่จริงยายไปยืนดูอยู่) 3. มีข้อต่อสู้คดีใดที่ยาย ข จะใช้ในการสู้ในศาลเพื่อให้ไม่เสียที่ดินตามกฎหมายครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่