สวัสดีค่ะ... ชื่อ Joisele ค่ะ (ขอใช้นามแฝงนะคะ) อายุ 18 ค่ะ
...เราเชื่อค่ะว่าในช่วงชีวิตมัธยมของทุกคนคงจะเคยมีความรักมาแล้วแน่นอน เราก็เป็นคนนึงที่มีความรักในช่วงวัยเรียน...ความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่เรายังไม่ลืมแต่ว่าเป็นความรักที่ไม่สมหวัง เป็นความรักแบบแอบรักเค้าข้างเดียวดังนั้นเรายังคงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของเรามาได้ตลอดรอดฝั่ง (555+)
...เรื่องราวมันเริ่มต้นตอนที่เรากำลังจะเข้า ม.1 พอดี เราเจอกันครั้งแรกตอนวันสอบเข้าพอดี เรานั่งสอบใกล้กันแต่เค้ากลับจ้องมองกระดาษคำตอบของเรา อารมณ์ตอนนั้นประมาณว่าจะมองทำไมวะ เดี๋ยวตบตาแตกเลย แต่พอประกาศผลสอบเค้ากลับสอบได้ที่หนึ่งเพื่อนเราคนนึงได้ที่สองส่วนเราได้ที่สาม เกิดอารมณ์อิจฉากอีกแล้วเพราะปกติที่โรงเรียนเดิมเราจะเป็นที่หนึ่งตลอด แล้วยิ่งเห็นเค้าอวดเก่งยิ่งหมั่นไส้...แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เค้าอวดเค้าสามารถทำให้มันเป้นจริงได้เสมอ เวลาผ่านไปเราเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร...เขาทำให้รู้ว่าคะแนนสอบที่เค้าได้มาไม่ใช่ได้มาจากการแอบลอกคนข้างๆ คือเราและเพื่อนเราคนนึงที่สอบได้ที่สอง (ลืมบอกไปว่าเราสามคนอยู่ห้องเดียวกัน) เราเริ่มปลื้มเค้าแล้ว เราชอบดวงตาของเขาดวงตาของเขาเปล่งประกายน่ามองมาก เราชอบแอบมองเค้าตลอดเวลาที่เค้าเผลอและหลบสายตาเค้าตอนที่เค้ามองกลับมา ...ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าเราชอบเค้า
แต่พอไม่นานหลังจากนั้นปรkกฏว่าเค้าคบกับเพื่อนเราคนที่สอบได้ที่สองตอนนั้นแห้วเลยค่ะ บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่มองเค้าแล้ว จะพยายามอยู่ห่างๆ เขาเอาไว้ ไม่ให้เผลอใจอีก จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งปีความจริงทุกอย่างเปิดเผยเพื่อนคนที่สอบได้ที่สองคนนี้เป็นทอมซะงั้น เค้าก็เลยอกหักดังเปร๊าะ...ชอบแอบไปนั่งตรงสุมทุมพุ่มไม้แบบว่าทำเอ็มวี บางทีเค้าก็เหมือนคนจำพวกไบโพล่าร์ เราเลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคุยบ้าง พูดเล่นกันบ้าง แต่ก็ไม่เหมือนเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ จนกระทั่งยายเพื่อนทอมคนนี้เริ่มระแคะระคายว่าเราแอบชอบเค้ามันก็เลยอยากจะแกล้งเรา (ลืมบอกไป เรากับมันไม่ชอบหน้ากันแบบตอนนั้นอิจฉากันมากๆ แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆ เลยค่ะ) ตอนนั้นมันรู้ว่าเราชอบเค้ามันเลยกลับไปคบกับเค้าใหม่ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเพราะเค้าคนนี้ทำให้เราอึ้งเพราะตอนที่เรากำลังพยายามจัดใจจากเขาเราตีตัวออกห่างเขาทุกอย่าง แต่พอเขาเลิกกับยายทอมปุ๊ปเขาเหมือนจะเริ่มมาตีสนิทกับเรามองตาเรา และมีเหตุการณ์นึงที่เราทากาวด้วยกันขวดกาวตก...แหม๊! แม่เจ้าโว้ยยย เก็บกาวพร้อมกันบังเอิญว่าจับมือกัน ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเค้าเงยหน้ามองเราเพราะอะไรแต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้วเค้ามองเราด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนจะยิ้ม (นี่เรื่องจริง ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง) ทำให้เราร็เลยว่าเรื่องล้มทับในนิยาย เรื่องบังเอิญปิ๊งปั๊งกัน เรื่องบังเอิญโลกกลมพรมสิขิตสามมารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของเรา เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถเข้าใจได้ในขณะนั้นว่ามันคืออะไร
เรารีบดึงมือออกแล้วถอยออกมา ทำเชิด แล้วก็ทำตัวเป้นปกติ...เป็นแบบเพื่อนธรรมดาๆ แต่อึ้งรอบสองเมื่อหลังจากนั้นเราสองคนเดินสวนทางกันตอนนั้นจำได้ดีเลยว่าใจเราตรงกันเพราะจะจะไปทางไหนก็ดันเลี่ยงไปพร้อมกัน เงอะงะอยู่นาน เราก็รีบเค้าก็รีบแต่ช่วงเวลานั้นเค้ามองหน้าเราแล้วยิ้ม...ด้วยความที่เหมือนกรณีกาว เราไม่รุ้ว่าสายตาของเขาสื่อความหมายอะไรเลยบอกไปว่า 'คิงจะไปตางใดเลือกเอาสักตางเต๊อะบ่ะ' (พูดคำหยาบมาก ห้วนด้วย) เค้าก็เลยหลีกทางให้เราไปก่อน ต่อจากนั้นไม่นานเค้าก็วานให้ยายทอมมา 'ขอเราเป็นแฟน' แบบว่า...อึ้งรอบที่สามอ่า ทำตัวไม่ถูก แต่ด้วยความที่เราถูกสอนมาว่าอย่าไว้ใจผู้ชายค่ะ (เรื่องนี้เป็นปมมาตั้งแต่เกิด ไม่ขอกล่าวถึงนะคะ) บวกกับเราเป็นคนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย คิดละเอียดอ่อนแล้วด้วย (ตามประสาคนเป็นนักเขียน ปล. เราเริ่มแต่งนิยายตั้งแต่อายุ 11 ค่ะ) โมเม้นต์นั้นก็เลยระแวงมากกว่าจะดีใจ เพราะยายทอมนั่นแฟนเก่าจะมีใครที่ไหนใช่ให้แฟนเก่าไปขอสาวเป็นแฟน มันมีเหตุผลอะไรที่เค้าจะทำแบบนั้นนอกจากเค้าต้องการประชดยายทอม...เราก็เลยเกิดอาการเฮิร์ท ไม่อยากตกเป็นของเล่นของเค้าค่ะ...เราเลยบอกปฏิเสธไปว่า 'ฝากไปบอกเขานะ ว่าอย่าทำแบบนี้มันอึดอัด เราไม่ชอบ' แต่ยายทอมบอกว่ามันมีเบอร์เรานะ จะเอาเบอร์เราให้เค้านะ เราก็เลยบอกว่าตามใจ
พอกลับไปบ้านเราก็นอนรอค่ะ...รอโทรศัพท์ค่ะ (ความจริงก็ชอบเค้ามากกก แต่แอ๊บจัด ทำฟอร์ม ทำเก๊ก) นอนรอยังไงเค้าก็ไม่โทร. มาค่ะ พอเวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ ก็มีข่าวว่าเค้าแอบกิ๊กกับพี่คนนึง พี่คนนั้นสวย น่ารักมาก เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่น (มารู้ทีหลังว่าเป็นแค่ข่าวลือ) เราก็เจ็บมากค่ะ...แล้วก็โกรธเค้าด้วยที่เค้าไม่ชัดเจนและไม่มาคุยกับเราด้วยตัวเอง จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยแต่เรายังแอบมองเขาอยู่เขาก็มองเราบ้าง เราเคยสบตากันนานสุดสามวินาทีค่ะ โดยไม่ได้พูดอะไรกันเลย จากนั้นชีวิต ม.ต้นของเราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่คุยกันเลยหนึ่งเทอมด้วยกันแต่กลับมาคุยกันเพราะเราเข้าไปแอบตีสนิทกับเค้า ทำให้เรารู้ว่าความจริงเค้าก็ไม่ได้เกลียดเราเลย...เพราะเค้ายังคุยกับเราดีๆ เหมือนเดิม
จากนั้นชีวิต ม. ต้นของเรากับเขาก็เป็นแบบเพื่อน ช่วงนั้นเรายังคงโกระเขาอยู่ (เพราะเรื่องที่เขาไม่ชัดเจนและไม่ยอมมาบอกว่าชอบเราด้วยตัวเอง) เราพยายามแข่งขันกับเค้าทุกอย่าง ทั้งเรื่องการเรียน กิจกรรม (ความจริงเราก็ทำทุกอย่างเพื่อดีดตัวเองให้สู้เค้าให้ได้นั่นแหละค่ะ หรืออาจจะเรียกว่าพยายามเด่นตามแบบของเราเพราะบอกเลยว่าเราไม่ได้มีดีที่หน้าตา) เราแข่งกันสอบได้ที่หนึ่ง (ทุกเทอมไม่เราก็เค้าที่ได้ที่หนึ่งหรือที่สองหรือว่าได้ร่วมกัน) แข่งกันกวาดรางวัลจากทุกเวทีการแข่งขัน แต่เค้าก็พยายามแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับเรานะคะ เค้าชอบถามว่ามีอะไรไหม เราช่วยได้ไหม ไอ้เราก็ปากไว 'อย่ามายุ่ง' ไม่ได้ไวแค่ปาก แต่ตาของเราก็ไวด้วย ชอบเสแสร้งมองจิกหน้าเขาตลอดทั้งๆ ที่จริงแล้วอยากจะมองหน้าเขานานๆ เค้าเลยเหมือนค่อยๆ เลิกยุ่งกับเราไปเลยค่ะ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอีกทีตอนเราขึ้น ม. 4 ได้อยู่ห้องเดียวกันค่ะ สายวิทย์เหมือนกันด้วย เค้าเหมือนจะเริ่มเข้าหาเราอีกแล้วชอบถามเราว่าคืนนี้เล่นเฟสไหม เดี๋ยวจะทักไป เราก็คิดว่าเค้าจะถามเรื่องงานเลยบอกว่า "ไม่เล่นหรอก ถ้าจะถามเรื่องงานถามตรงนี้เลย ไม่จำเป็นต้องไปถามในเฟส" เราปากไวมากกกกก 555 ต่อจากนั้นเค้าก็เข้ามาคุยกดีด้วย แต่เราก็ยังเลิกนิสัยชอบมองหน้าจ้องตาเค้าตอนเค้าเผลอไม่ได้เลย
เรื่องอึ้งเรื่องที่สามล้าน เมื่อวันนึงเค้าตกปลงใจคบกับเพื่อนสนิทของเรา (มันเพิ่งย้ายมาเรียน รร. เดียวกับเราตอน ม. 4) เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เกิด เราก็เงิบ ทั้งเงิบ ทั้งเจ็บเลยค่ะ แต่ก็ทำฟอร์มจัดอีกตามเคย...เราทำใจแข็งเชียร์มันกับเพื่อนของเราตั้งแต่รุ้ว่ามันน่าจะชอบกันแล้วจนมันได้เป้นแฟนกัน แต่ตอนนั้นเราเกลียดสายตามันที่สุด! มันเป็นแฟนกับเพื่อนเราแต่ยังไม่ยอมเลิกสบตากับเราแบบสื่อความหมายโดยนัยอีก จนเพื่อนเราหึง...เราก็เลยทนไม่ได้ เลยบอกไปว่า ไม่ต้องห่วงนะเราไม่เอาหรอก ถ้าเราจะเอาเราคงจะรีบตกลงตั้งแต่ตอนที่มันขอเราเป็นแฟนแล้ว
จากนั้นเราก็ทำตัวเป็นกาวค่ะ คอยสมานแผลให้มันสองคน (ตอนนี้เริ่มสนิทกับเค้าเแล้วววว เลยเรียกมัน แบบสนิทจนไปไหนไปกัน เที่ยวไหนเที่ยวนั่น ตบหัวลูบหลังได้หมดยกเว้นกอดกับจูบ กริกริ) เวลามันสองคนทะเลาะกันเราก็คอยช่วยเหลือตลอดเวลา คอบพูดให้กลับมาเข้าใจกัน คอยพยุงความรักของมันมาตั้งนานสองนาน ทั้งๆ ที่ในใจก็อยากจะให้มักนเลิกกันเสียที (มีความคิดเหมือนนางร้ายมากกก) แต่ทำไม่ได้เพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคออยู่ค่ะ ตอนนี้เจ็บมากกว่าเดิมหลายเท่าเลยค่ะ...รักแต่พูดไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้... มันสองคนเลิกกันค่ะ (อร๊ายยยย ดีใจที่สุด ดีใจจนเนื้อเต้นเลย) แต่เพราะอะไรไม่รู้เราไม่กล้ารุก ไม่กล้าจะจีบเค้าอาจเป็นเพราะว่าเค้าเคยเป็นแฟนแบบลึกซึ้งกับเพื่อนของเรา และเวลาที่เค้าเลิกกับเพื่อนเราก็เพีงไม่กี่เดือนเอง จนกระทั่งเค้าเข้ามาคุยกะเราในแชท เค้ารู้ความลับของเราที่เราเป็นนักเขียนโดยที่เรายังไม่ได้เอ่ยปากบอกใครเลยสักคำ แม้แต่คนในครอบครัว เราคุยกันทุกคืนค่ะ เค้าจะพูดครับกับเราตลอด คอยถามว่าทำการบ้านเสร็จยังครับ ยากไหมครับ ทำได้ไหม กินข้าวกับอะไรครับ ลงท้ายด้วยครับตลอด นอนนะครับมันดึกแล้ว...ถ้าเราแต่งนิยายจนถึงตีสามเค้าก็จะบอกเราว่าพักบ้างนะครับ บอกฝันดีครับกับเราทุกคืน เดี่ยวจะไม่มีแรงทำอย่างอื่น ชวนเราดูหนัง ชวนทำโน่นนั่นนี่ แล้วที่พิเศษสุดๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปสอบด้วยกันเค้าเอารถเก๋งของเค้า (พ่อเค้าซื้อ) มารับเราถึงบ้าน ทั้งที่ตอนที่เค้าคบกับเพื่อนสนิทของเราเวลาจะไปไหนมาไหนด้วยกันเราจะต้องขับมอไซค์ไปหาเค้าที่บ้านเพื่อรอไปด้วยกันเป็นกลุ่มเสมอ มันแปลกมาก...แถมก่อยวันสอบหนึ่งวันเราไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนอีกสองคน เค้าเทคแคร์เราดีมาก ดีกว่าคนอื่นๆ ที่ไปด้วยกันซะอีก สั่งอาหารให้เรา ถือของให้เรา...และเรายังคงชอบจ้องตากันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...เราเริ่มชอบสายตาของเค้าอีกครั้ง
แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าการที่เค้าทำแบบนั้นคนเค้าเรียกกันว่าหยอด จนเพื่อนของเราบอกว่ามันกำลังจะจีบเรา...เรามารู้ตัวก็ตอนที่เราคุยกะมันแบบไม่พิเศษมาเกือบเดือนแล้ว ไป รร. เราก็คุยกะมันตามปกติไม่ได้คิดอะไรมาก เรารู้ว่าเค้ามองมาเราก็อยากมองกลับแต่เพราะว่าเราเป็นผู้หญิง ต้องรักษาภาพพจน์เลยทำเป็นมองไม่เห็นเขาซะ ...จนตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่าเค้าเริ่มจะถอดใจจากเราแล้ว เขาเริ่มหายไป เริ่มไม่มาคุยกับเรา เริ่มไม่ยอมบอกฝันดีกับเราแล้ว จะให้เราบอกก่อนก็กะไรอยู่ จะให้เราทักกลับไปก็ยังไงๆ อยู่...เราก็เลยปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปตามกรรม
...ทั้งๆ ที่ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเรารักเค้า...
อยากเลื่อนสถานะค่ะ แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้มันดูงาม ไม่กระโตกกระตาก...และอยากจะรู้ว่าความจริงแล้วเค้าคิดยังไงกับเรากันแน่
ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตนะคะ ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นแล้วแต่วิจารณญาณค่ะ ^_^
ความรักไม่ใช่นิยาย...แต่เมื่อรู้ตัวก็สายเกินไป
...เราเชื่อค่ะว่าในช่วงชีวิตมัธยมของทุกคนคงจะเคยมีความรักมาแล้วแน่นอน เราก็เป็นคนนึงที่มีความรักในช่วงวัยเรียน...ความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่เรายังไม่ลืมแต่ว่าเป็นความรักที่ไม่สมหวัง เป็นความรักแบบแอบรักเค้าข้างเดียวดังนั้นเรายังคงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของเรามาได้ตลอดรอดฝั่ง (555+)
...เรื่องราวมันเริ่มต้นตอนที่เรากำลังจะเข้า ม.1 พอดี เราเจอกันครั้งแรกตอนวันสอบเข้าพอดี เรานั่งสอบใกล้กันแต่เค้ากลับจ้องมองกระดาษคำตอบของเรา อารมณ์ตอนนั้นประมาณว่าจะมองทำไมวะ เดี๋ยวตบตาแตกเลย แต่พอประกาศผลสอบเค้ากลับสอบได้ที่หนึ่งเพื่อนเราคนนึงได้ที่สองส่วนเราได้ที่สาม เกิดอารมณ์อิจฉากอีกแล้วเพราะปกติที่โรงเรียนเดิมเราจะเป็นที่หนึ่งตลอด แล้วยิ่งเห็นเค้าอวดเก่งยิ่งหมั่นไส้...แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เค้าอวดเค้าสามารถทำให้มันเป้นจริงได้เสมอ เวลาผ่านไปเราเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร...เขาทำให้รู้ว่าคะแนนสอบที่เค้าได้มาไม่ใช่ได้มาจากการแอบลอกคนข้างๆ คือเราและเพื่อนเราคนนึงที่สอบได้ที่สอง (ลืมบอกไปว่าเราสามคนอยู่ห้องเดียวกัน) เราเริ่มปลื้มเค้าแล้ว เราชอบดวงตาของเขาดวงตาของเขาเปล่งประกายน่ามองมาก เราชอบแอบมองเค้าตลอดเวลาที่เค้าเผลอและหลบสายตาเค้าตอนที่เค้ามองกลับมา ...ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าเราชอบเค้า
แต่พอไม่นานหลังจากนั้นปรkกฏว่าเค้าคบกับเพื่อนเราคนที่สอบได้ที่สองตอนนั้นแห้วเลยค่ะ บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่มองเค้าแล้ว จะพยายามอยู่ห่างๆ เขาเอาไว้ ไม่ให้เผลอใจอีก จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งปีความจริงทุกอย่างเปิดเผยเพื่อนคนที่สอบได้ที่สองคนนี้เป็นทอมซะงั้น เค้าก็เลยอกหักดังเปร๊าะ...ชอบแอบไปนั่งตรงสุมทุมพุ่มไม้แบบว่าทำเอ็มวี บางทีเค้าก็เหมือนคนจำพวกไบโพล่าร์ เราเลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคุยบ้าง พูดเล่นกันบ้าง แต่ก็ไม่เหมือนเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ จนกระทั่งยายเพื่อนทอมคนนี้เริ่มระแคะระคายว่าเราแอบชอบเค้ามันก็เลยอยากจะแกล้งเรา (ลืมบอกไป เรากับมันไม่ชอบหน้ากันแบบตอนนั้นอิจฉากันมากๆ แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆ เลยค่ะ) ตอนนั้นมันรู้ว่าเราชอบเค้ามันเลยกลับไปคบกับเค้าใหม่ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเพราะเค้าคนนี้ทำให้เราอึ้งเพราะตอนที่เรากำลังพยายามจัดใจจากเขาเราตีตัวออกห่างเขาทุกอย่าง แต่พอเขาเลิกกับยายทอมปุ๊ปเขาเหมือนจะเริ่มมาตีสนิทกับเรามองตาเรา และมีเหตุการณ์นึงที่เราทากาวด้วยกันขวดกาวตก...แหม๊! แม่เจ้าโว้ยยย เก็บกาวพร้อมกันบังเอิญว่าจับมือกัน ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเค้าเงยหน้ามองเราเพราะอะไรแต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้วเค้ามองเราด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนจะยิ้ม (นี่เรื่องจริง ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง) ทำให้เราร็เลยว่าเรื่องล้มทับในนิยาย เรื่องบังเอิญปิ๊งปั๊งกัน เรื่องบังเอิญโลกกลมพรมสิขิตสามมารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของเรา เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถเข้าใจได้ในขณะนั้นว่ามันคืออะไร
เรารีบดึงมือออกแล้วถอยออกมา ทำเชิด แล้วก็ทำตัวเป้นปกติ...เป็นแบบเพื่อนธรรมดาๆ แต่อึ้งรอบสองเมื่อหลังจากนั้นเราสองคนเดินสวนทางกันตอนนั้นจำได้ดีเลยว่าใจเราตรงกันเพราะจะจะไปทางไหนก็ดันเลี่ยงไปพร้อมกัน เงอะงะอยู่นาน เราก็รีบเค้าก็รีบแต่ช่วงเวลานั้นเค้ามองหน้าเราแล้วยิ้ม...ด้วยความที่เหมือนกรณีกาว เราไม่รุ้ว่าสายตาของเขาสื่อความหมายอะไรเลยบอกไปว่า 'คิงจะไปตางใดเลือกเอาสักตางเต๊อะบ่ะ' (พูดคำหยาบมาก ห้วนด้วย) เค้าก็เลยหลีกทางให้เราไปก่อน ต่อจากนั้นไม่นานเค้าก็วานให้ยายทอมมา 'ขอเราเป็นแฟน' แบบว่า...อึ้งรอบที่สามอ่า ทำตัวไม่ถูก แต่ด้วยความที่เราถูกสอนมาว่าอย่าไว้ใจผู้ชายค่ะ (เรื่องนี้เป็นปมมาตั้งแต่เกิด ไม่ขอกล่าวถึงนะคะ) บวกกับเราเป็นคนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย คิดละเอียดอ่อนแล้วด้วย (ตามประสาคนเป็นนักเขียน ปล. เราเริ่มแต่งนิยายตั้งแต่อายุ 11 ค่ะ) โมเม้นต์นั้นก็เลยระแวงมากกว่าจะดีใจ เพราะยายทอมนั่นแฟนเก่าจะมีใครที่ไหนใช่ให้แฟนเก่าไปขอสาวเป็นแฟน มันมีเหตุผลอะไรที่เค้าจะทำแบบนั้นนอกจากเค้าต้องการประชดยายทอม...เราก็เลยเกิดอาการเฮิร์ท ไม่อยากตกเป็นของเล่นของเค้าค่ะ...เราเลยบอกปฏิเสธไปว่า 'ฝากไปบอกเขานะ ว่าอย่าทำแบบนี้มันอึดอัด เราไม่ชอบ' แต่ยายทอมบอกว่ามันมีเบอร์เรานะ จะเอาเบอร์เราให้เค้านะ เราก็เลยบอกว่าตามใจ
พอกลับไปบ้านเราก็นอนรอค่ะ...รอโทรศัพท์ค่ะ (ความจริงก็ชอบเค้ามากกก แต่แอ๊บจัด ทำฟอร์ม ทำเก๊ก) นอนรอยังไงเค้าก็ไม่โทร. มาค่ะ พอเวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ ก็มีข่าวว่าเค้าแอบกิ๊กกับพี่คนนึง พี่คนนั้นสวย น่ารักมาก เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่น (มารู้ทีหลังว่าเป็นแค่ข่าวลือ) เราก็เจ็บมากค่ะ...แล้วก็โกรธเค้าด้วยที่เค้าไม่ชัดเจนและไม่มาคุยกับเราด้วยตัวเอง จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยแต่เรายังแอบมองเขาอยู่เขาก็มองเราบ้าง เราเคยสบตากันนานสุดสามวินาทีค่ะ โดยไม่ได้พูดอะไรกันเลย จากนั้นชีวิต ม.ต้นของเราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่คุยกันเลยหนึ่งเทอมด้วยกันแต่กลับมาคุยกันเพราะเราเข้าไปแอบตีสนิทกับเค้า ทำให้เรารู้ว่าความจริงเค้าก็ไม่ได้เกลียดเราเลย...เพราะเค้ายังคุยกับเราดีๆ เหมือนเดิม
จากนั้นชีวิต ม. ต้นของเรากับเขาก็เป็นแบบเพื่อน ช่วงนั้นเรายังคงโกระเขาอยู่ (เพราะเรื่องที่เขาไม่ชัดเจนและไม่ยอมมาบอกว่าชอบเราด้วยตัวเอง) เราพยายามแข่งขันกับเค้าทุกอย่าง ทั้งเรื่องการเรียน กิจกรรม (ความจริงเราก็ทำทุกอย่างเพื่อดีดตัวเองให้สู้เค้าให้ได้นั่นแหละค่ะ หรืออาจจะเรียกว่าพยายามเด่นตามแบบของเราเพราะบอกเลยว่าเราไม่ได้มีดีที่หน้าตา) เราแข่งกันสอบได้ที่หนึ่ง (ทุกเทอมไม่เราก็เค้าที่ได้ที่หนึ่งหรือที่สองหรือว่าได้ร่วมกัน) แข่งกันกวาดรางวัลจากทุกเวทีการแข่งขัน แต่เค้าก็พยายามแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับเรานะคะ เค้าชอบถามว่ามีอะไรไหม เราช่วยได้ไหม ไอ้เราก็ปากไว 'อย่ามายุ่ง' ไม่ได้ไวแค่ปาก แต่ตาของเราก็ไวด้วย ชอบเสแสร้งมองจิกหน้าเขาตลอดทั้งๆ ที่จริงแล้วอยากจะมองหน้าเขานานๆ เค้าเลยเหมือนค่อยๆ เลิกยุ่งกับเราไปเลยค่ะ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอีกทีตอนเราขึ้น ม. 4 ได้อยู่ห้องเดียวกันค่ะ สายวิทย์เหมือนกันด้วย เค้าเหมือนจะเริ่มเข้าหาเราอีกแล้วชอบถามเราว่าคืนนี้เล่นเฟสไหม เดี๋ยวจะทักไป เราก็คิดว่าเค้าจะถามเรื่องงานเลยบอกว่า "ไม่เล่นหรอก ถ้าจะถามเรื่องงานถามตรงนี้เลย ไม่จำเป็นต้องไปถามในเฟส" เราปากไวมากกกกก 555 ต่อจากนั้นเค้าก็เข้ามาคุยกดีด้วย แต่เราก็ยังเลิกนิสัยชอบมองหน้าจ้องตาเค้าตอนเค้าเผลอไม่ได้เลย
เรื่องอึ้งเรื่องที่สามล้าน เมื่อวันนึงเค้าตกปลงใจคบกับเพื่อนสนิทของเรา (มันเพิ่งย้ายมาเรียน รร. เดียวกับเราตอน ม. 4) เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เกิด เราก็เงิบ ทั้งเงิบ ทั้งเจ็บเลยค่ะ แต่ก็ทำฟอร์มจัดอีกตามเคย...เราทำใจแข็งเชียร์มันกับเพื่อนของเราตั้งแต่รุ้ว่ามันน่าจะชอบกันแล้วจนมันได้เป้นแฟนกัน แต่ตอนนั้นเราเกลียดสายตามันที่สุด! มันเป็นแฟนกับเพื่อนเราแต่ยังไม่ยอมเลิกสบตากับเราแบบสื่อความหมายโดยนัยอีก จนเพื่อนเราหึง...เราก็เลยทนไม่ได้ เลยบอกไปว่า ไม่ต้องห่วงนะเราไม่เอาหรอก ถ้าเราจะเอาเราคงจะรีบตกลงตั้งแต่ตอนที่มันขอเราเป็นแฟนแล้ว
จากนั้นเราก็ทำตัวเป็นกาวค่ะ คอยสมานแผลให้มันสองคน (ตอนนี้เริ่มสนิทกับเค้าเแล้วววว เลยเรียกมัน แบบสนิทจนไปไหนไปกัน เที่ยวไหนเที่ยวนั่น ตบหัวลูบหลังได้หมดยกเว้นกอดกับจูบ กริกริ) เวลามันสองคนทะเลาะกันเราก็คอยช่วยเหลือตลอดเวลา คอบพูดให้กลับมาเข้าใจกัน คอยพยุงความรักของมันมาตั้งนานสองนาน ทั้งๆ ที่ในใจก็อยากจะให้มักนเลิกกันเสียที (มีความคิดเหมือนนางร้ายมากกก) แต่ทำไม่ได้เพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคออยู่ค่ะ ตอนนี้เจ็บมากกว่าเดิมหลายเท่าเลยค่ะ...รักแต่พูดไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้... มันสองคนเลิกกันค่ะ (อร๊ายยยย ดีใจที่สุด ดีใจจนเนื้อเต้นเลย) แต่เพราะอะไรไม่รู้เราไม่กล้ารุก ไม่กล้าจะจีบเค้าอาจเป็นเพราะว่าเค้าเคยเป็นแฟนแบบลึกซึ้งกับเพื่อนของเรา และเวลาที่เค้าเลิกกับเพื่อนเราก็เพีงไม่กี่เดือนเอง จนกระทั่งเค้าเข้ามาคุยกะเราในแชท เค้ารู้ความลับของเราที่เราเป็นนักเขียนโดยที่เรายังไม่ได้เอ่ยปากบอกใครเลยสักคำ แม้แต่คนในครอบครัว เราคุยกันทุกคืนค่ะ เค้าจะพูดครับกับเราตลอด คอยถามว่าทำการบ้านเสร็จยังครับ ยากไหมครับ ทำได้ไหม กินข้าวกับอะไรครับ ลงท้ายด้วยครับตลอด นอนนะครับมันดึกแล้ว...ถ้าเราแต่งนิยายจนถึงตีสามเค้าก็จะบอกเราว่าพักบ้างนะครับ บอกฝันดีครับกับเราทุกคืน เดี่ยวจะไม่มีแรงทำอย่างอื่น ชวนเราดูหนัง ชวนทำโน่นนั่นนี่ แล้วที่พิเศษสุดๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปสอบด้วยกันเค้าเอารถเก๋งของเค้า (พ่อเค้าซื้อ) มารับเราถึงบ้าน ทั้งที่ตอนที่เค้าคบกับเพื่อนสนิทของเราเวลาจะไปไหนมาไหนด้วยกันเราจะต้องขับมอไซค์ไปหาเค้าที่บ้านเพื่อรอไปด้วยกันเป็นกลุ่มเสมอ มันแปลกมาก...แถมก่อยวันสอบหนึ่งวันเราไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนอีกสองคน เค้าเทคแคร์เราดีมาก ดีกว่าคนอื่นๆ ที่ไปด้วยกันซะอีก สั่งอาหารให้เรา ถือของให้เรา...และเรายังคงชอบจ้องตากันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...เราเริ่มชอบสายตาของเค้าอีกครั้ง
แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าการที่เค้าทำแบบนั้นคนเค้าเรียกกันว่าหยอด จนเพื่อนของเราบอกว่ามันกำลังจะจีบเรา...เรามารู้ตัวก็ตอนที่เราคุยกะมันแบบไม่พิเศษมาเกือบเดือนแล้ว ไป รร. เราก็คุยกะมันตามปกติไม่ได้คิดอะไรมาก เรารู้ว่าเค้ามองมาเราก็อยากมองกลับแต่เพราะว่าเราเป็นผู้หญิง ต้องรักษาภาพพจน์เลยทำเป็นมองไม่เห็นเขาซะ ...จนตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่าเค้าเริ่มจะถอดใจจากเราแล้ว เขาเริ่มหายไป เริ่มไม่มาคุยกับเรา เริ่มไม่ยอมบอกฝันดีกับเราแล้ว จะให้เราบอกก่อนก็กะไรอยู่ จะให้เราทักกลับไปก็ยังไงๆ อยู่...เราก็เลยปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปตามกรรม
...ทั้งๆ ที่ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเรารักเค้า...
อยากเลื่อนสถานะค่ะ แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้มันดูงาม ไม่กระโตกกระตาก...และอยากจะรู้ว่าความจริงแล้วเค้าคิดยังไงกับเรากันแน่
ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตนะคะ ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นแล้วแต่วิจารณญาณค่ะ ^_^