สนามนี้เป็นฟูลมาราธอนสนามที่ 2 ในชีวิตหลังจากสบักสบอมกับฟูลสนามแรกงานสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ปีที่แล้ว ครั้งนี้จึงหวังว่าจะบินมาทำลายสถิติ 5 ชั่วโมง 18 นาทีให้จงได้ แต่ภาระหน้าที่ที่ดูจะท่วมท้นเพราะหัวหน้าไม่สบายลาหายไป 2 เดือนก่อนวิ่ง ทุกอย่างจึงมาลงที่ผมที่ต้องพาทีมงานฟันฝ่าไปให้ได้ ตารางซ้อมวิ่งต้องฉีกทิ้งและเอาตารางงานมาใส่แทน การซ้อมกระปิดกระปอยระยะยาวสุดที่ซ้อมก่อนแข่งก็แค่ 28 กิโล บอกตัวเองงานนี้ใจล้วนๆ
บินไปถึงบ่ายวันเสาร์กับเพื่อนที่ทำงานอีก 2 คน ผมลงฟูลคนเดียว เพื่อนๆมันชักเข้าชักออกลงฮาล์ฟกันแต่ก็ถอนตัวมามินิที่สนามแข่งตอนรับแพค บอกว่าซ้อมไม่ถึงเห็นสนามแล้วขยาด
เช้านั้นผมตื่นตี 3 มาถึงสนามเกือบตีสี่ มีพาวเวอร์เจล 2 ซองให้อุ่นใจ มือถือใส่กระเป๋ากางเกงไม่ได้เอาสายรัดแขนมาสุดท้ายจึงรู้ว่าคิดผิดมหันต์ ปล่อยตัวตี 4 ครึ่ง ผมก็วิ่งไปได้เรื่อยๆสบายๆ ผ่านระยะมินิเริ่มมีเนินให้ปอดและหัวใจทำงานมากขึ้นๆ ผมถ่ายป้ายทุกสิบกิโลส่งไลน์ให้เพื่อนเพราะมันจะเริ่มวิ่งที่ 6 โมง 40
งานนี้จัดดีน้ำท่าไม่ขาด เกลือแร่จัดให้ตั้งแต่ 5 กิโลเมตรแรก รวมทั้งแตงโมที่มีไม่ขาด กินเจลซองแรกที่กิโลเมตรที่ 21 ยังวิ่งได้ดีคิดในใจว่าถ้าไปเรื่อยๆแบบนี้น่าจะเข้าก่อน 5 ชั่วโมง
แต่หลังจากกิโลเมตรที่ 22 เป็นต้นมารู้สึกตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะล้าที่ต้องวิ่งขึ้นเนินติดๆกันใจแทบจะขาดเส้นทางมันหนักกว่ากรุงเทพมากมายนัก กัดฟันวิ่งมาเรื่อยแดดเริ่มมาทำให้ร้อนและล้ามากขึ้น กิโลเมตรที่ 30 หยุดถ่ายรูปส่งให้เพื่อนอีกครั้ง โทรศัพท์เปียกเหมือนตกน้ำ หน้าจอฟ้องว่ามันกำลังจะตาย ผมแทบขาดใจเช่นกันจึงไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
แดดเริ่มจัดขึ้นเรื่อยๆและทั้งตัวผมก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเรียกว่าหนนี้หนักจริงๆ อาการหนาวจนสั่นเริ่มมาเป็นช่วงๆขออข่างเดียวอย่าเป็นตระคริวภาวนามาตลอด
เช้านั้น มหัศจรรย์มีอยู่จริง Laguna Phuket International Marathon 42.195 กิโลเมตร
สนามนี้เป็นฟูลมาราธอนสนามที่ 2 ในชีวิตหลังจากสบักสบอมกับฟูลสนามแรกงานสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ปีที่แล้ว ครั้งนี้จึงหวังว่าจะบินมาทำลายสถิติ 5 ชั่วโมง 18 นาทีให้จงได้ แต่ภาระหน้าที่ที่ดูจะท่วมท้นเพราะหัวหน้าไม่สบายลาหายไป 2 เดือนก่อนวิ่ง ทุกอย่างจึงมาลงที่ผมที่ต้องพาทีมงานฟันฝ่าไปให้ได้ ตารางซ้อมวิ่งต้องฉีกทิ้งและเอาตารางงานมาใส่แทน การซ้อมกระปิดกระปอยระยะยาวสุดที่ซ้อมก่อนแข่งก็แค่ 28 กิโล บอกตัวเองงานนี้ใจล้วนๆ
บินไปถึงบ่ายวันเสาร์กับเพื่อนที่ทำงานอีก 2 คน ผมลงฟูลคนเดียว เพื่อนๆมันชักเข้าชักออกลงฮาล์ฟกันแต่ก็ถอนตัวมามินิที่สนามแข่งตอนรับแพค บอกว่าซ้อมไม่ถึงเห็นสนามแล้วขยาด
เช้านั้นผมตื่นตี 3 มาถึงสนามเกือบตีสี่ มีพาวเวอร์เจล 2 ซองให้อุ่นใจ มือถือใส่กระเป๋ากางเกงไม่ได้เอาสายรัดแขนมาสุดท้ายจึงรู้ว่าคิดผิดมหันต์ ปล่อยตัวตี 4 ครึ่ง ผมก็วิ่งไปได้เรื่อยๆสบายๆ ผ่านระยะมินิเริ่มมีเนินให้ปอดและหัวใจทำงานมากขึ้นๆ ผมถ่ายป้ายทุกสิบกิโลส่งไลน์ให้เพื่อนเพราะมันจะเริ่มวิ่งที่ 6 โมง 40
งานนี้จัดดีน้ำท่าไม่ขาด เกลือแร่จัดให้ตั้งแต่ 5 กิโลเมตรแรก รวมทั้งแตงโมที่มีไม่ขาด กินเจลซองแรกที่กิโลเมตรที่ 21 ยังวิ่งได้ดีคิดในใจว่าถ้าไปเรื่อยๆแบบนี้น่าจะเข้าก่อน 5 ชั่วโมง
แต่หลังจากกิโลเมตรที่ 22 เป็นต้นมารู้สึกตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะล้าที่ต้องวิ่งขึ้นเนินติดๆกันใจแทบจะขาดเส้นทางมันหนักกว่ากรุงเทพมากมายนัก กัดฟันวิ่งมาเรื่อยแดดเริ่มมาทำให้ร้อนและล้ามากขึ้น กิโลเมตรที่ 30 หยุดถ่ายรูปส่งให้เพื่อนอีกครั้ง โทรศัพท์เปียกเหมือนตกน้ำ หน้าจอฟ้องว่ามันกำลังจะตาย ผมแทบขาดใจเช่นกันจึงไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
แดดเริ่มจัดขึ้นเรื่อยๆและทั้งตัวผมก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเรียกว่าหนนี้หนักจริงๆ อาการหนาวจนสั่นเริ่มมาเป็นช่วงๆขออข่างเดียวอย่าเป็นตระคริวภาวนามาตลอด