ได้ไปดูThe Fault in Our Stars กับ Maleficent มาค่ะ หลังจากเข้าโรงมาได้ไม่กี่วัน
ขอพูดถึง The Fault in Our Stars ก่อนนะคะ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรตติ้งใน imdbเยอะพอสมควร
และทำสถิติตอนนี้เป็นหนัง #1ในอเมริกา ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยอ่านหนังสือเลย เคยเห็นผ่านๆแต่ไม่มีเวลาอ่าน
แต่เห็นตามที่ต่างๆเยอะอยู่พอสมควร และในเว็บเรทหนังสือก็คะแนน 4.5/5 อ้อต้องบอกก่อนว่าจขกท.อาศัยอยู่ที่เมกา
เผื่อมีคนงงว่าไทยยังไม่มีแนวโน้มจะเข้าแล้วเราไปดูมาจากไหน55555 ส่วนตัวประทับใจนะ
นี่เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกอารมณ์ค้าง เดินออกมาจากโรงแบบลอยๆแบบเห้ย
มันตื้นตันอ่ะ มันแบบดูแล้วอิ่มใจซึ่งอารมณ์นี้เคยเกิดกับเราเท่าที่จำได้คือหลังจากดู
A Walk to Remember กับ Titanic จบ หนังความยาวสองชั่วโมงห้านาที แต่ช่วงเวลาที่นั่งอยู่ในโรงมันไม่นานเลย
มารู้ตัวอีกทีจะสองชั่วโมงแล้ว โดยรวมแล้วหนังไม่น่าเบื่อเลย แต่มีบางตอนที่รวบรัดเร็วไป
เรารู้สึกว่ามันควรจะมีฉากของพระเอกนางเอกใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะถึงจุดพีค
คือตอนที่พระเอกสารภาพกับนางเอกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้่มะเร็งกลับมาหาพระเอกแล้วพระเอกกำลังจะตาย นั่นแหละค่ะ ซึ่งก็คือถ้าตัวหนังใส่ดีเทลให้เราดูว่า
นางเอกกับพระเอกตั้งแต่คบกันทำอะไรกันมาบ้าง แบบปูให้เยอะกว่านี้ก่อนจะถึงจุดเศร้า
เราว่าเราในฐานะคนดูจะอินกว่านี้ แต่ก็เข้าใจนะคะเพราะขนาดนี้หนังยังปาไปสองชั่วโมงแล้ว
ถ้าหากจะให้เพิ่มดีเทลจากหนังสือเข้าไปอีกคงปาไปสามชั่วโมงได้55555
กรณีนี้เหมือน Harry Potter แหละค่ะ ที่คนอ่านหนังสือจะแบบอารมณ์หดนิดนึงพอรู้ว่าหนังค่อนข้างตัด
ฉากจากหนังสือออกไปเยอะพอสมควร แต่ตัดออกไปเยอะขนาดนี้ยังทำให้เราร้องไห้ได้เลย555555
ช่วงท้ายๆอารมณ์มาเต็ม พระนางเล่นดีมาก ฉากอารมณ์ก็เล่นได้ดี โดยเฉพาะพระเอก
ขนาดเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนยังแบบเห้ย ตัวละครพระเอกน่ารักจัง มีสเน่ห์(ไม่พูดถึงหน้าตา)
แบบดูเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วจะทำให้มีความสุขตลอดเวลา โดยเฉพาะพระเอกฉากแก๊สสเตชั่น
ใส่อารมณ์เข้าไปเยอะมาก เราดูแล้วน้ำตาจะไหล แบบดูแล้วเชื่อเลยว่าเค้าเจ็บจริงๆ
สรุปเลยคือ หนังเรื่องนี้ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมได้ดี ทำให้เราสุขเศร้าไปกับตัวละครได้ ทำให้เข้าใจว่าเขารักกันมาก
และทำให้เข้าใจว่าการกลัวที่จะเสียคนที่รักไปมันเป็นยังไง ทำให้จขกทน้ำตาหยด และจะดีมากกว่านี้ถ้าใส่ดีเทลเข้าไปอีก
แบบนั้นเราคงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร55555 ถ้าจะให้คะแนนจขกทให้ 8.5/10ค่ะ
ต่อมา Maleficent เรื่องนี้จะบอกว่าเปิดเรื่องมาเรางงเห้ย เข้าผิดโรงปะวะ นี่นั่งอยู่ในโรงการ์ตูนหรอ5555555
เพราะซีจีฉากเปิดตอนแรกเหมือนการ์ตูนอนิเมชั่นมากกก คือจะพูดไงดี เราก็ไม่ได้รู้เยอะเรื่องซีจีหนัง ไม่รู้จะเรียกยังไง
แต่หนังเรื่องนี้เหมือนใช้อนิเมชั่นการ์ตูนโดยส่วนมาก คือถ้าไม่มีตัวละครมนุษย์ออกมาก็นึกว่าเป็นการ์ตูนอ่ะค่ะ
มันไม่เหมือนซีจีในพวก The Lord of the Rings, Avatar อะไรพวกนี้ที่ทำสมจริง เลยไม่รู้ว่า
Disneyตั้งใจทำให้มันออกมามีกลิ่นอายการ์ตูนด้วยหรือเปล่า เพราะว่าบางทีแสงไฟในเรื่องคือเน้นไปทาง
ย้อนยุคนิดนึง ดูแล้วนึกถึงการ์ตูนดิสนีย์สมัยก่อนๆที่ฟิล์มมันจะออกวิ้งๆ ออร่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง55555
แล้วจะบอกว่า ตัวหนังนั้นอารมณ์คนละเรื่องกับตัวอย่างเลย ตัวอย่างดูดาร์คมาก แต่ตัวหนังคือยังมีดาร์คปนๆ
แต่ส่วนมากจะตรงกันข้าม555555 เรื่องนี้ไม่เหมือน Sleeping Beauty นะคะ เพราะชื่อเรื่องก็ชื่อ Maleficent
ฉะนั้นเรื่องนี้จะเกี่ยวกับตัว Maleficentล้วนๆ และฉีกกฎเนื้อเรื่องเจ้าหญิงนิทราไปเกือบหมด
สำหรับเราจ่ายตังค์เข้ามาดูแองเจลิน่าโจลี่ เราก็คุ้มแล้วค่ะ เพราะนางสวยยยย
แอคติ้งเรื่องนี้อาจจะยังไม่ชนะเลิศแต่รวมๆแล้วนางเหมาะกับบท Maleficentดี เพราะหน้านางให้ด้วย นิ่งๆเฉียบๆ
แต่ในเรื่องขอบอกว่านางน่ารักมาก แต่น่ารักยังไงไปดูเองค่ะ55555 ส่วนหนู Elle Fanning ก็น่ารักก
น้องแอลเค้ายิ้มพิฆาตอยู่แล้ว ยิ่งหน้าน้องเด็กด้วย ยิ้มทีคือสดใส แบบเด็กๆยิ้มอ่ะค่ะ ดูมีความสุขแบบใสๆ
ส่วนเจ้าชายฟิลลิป ก่อนจะหันหน้ามานี่ลุ้นมากจะเป็นยังไง พอหันมาเท่านั้น วิ้ดวิ้วววว น่ารักน่าหยิกอิอิ
เรื่องนี้ดูจบแล้วก็จบค่ะ ไม่มีอารมณ์ค้างใดๆ เหมือนไปดูหนังแฟนตาซีธรรมดา แต่ก็แนะนำให้ไปดูค่ะ
เพราะภาพสวยดี เราไม่ได้ดูแบบ 3D แต่ดูแล้วคือภาพสวยค่ะ เอาเป็นว่าจะไม่เสียดายตังค์
เรื่องนี้ให้ 7.5-8/10
นี่เป็นรีวิวหนังครั้งแรกของเรา พูดจาวกไปวนมาไม่เข้าประเด็นอะไรยังไงก็แนะนำได้นะคะ55555
แล้วถ้ามีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องไหนที่เมกาฉายก่อนไทยอีก ไว้จะมารีวิวให้ฟังค่ะ
หนังจบอารมณ์ไม่จบ! เมื่อเราได้ไปดู The Fault in Our Stars และ Maleficent
ขอพูดถึง The Fault in Our Stars ก่อนนะคะ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรตติ้งใน imdbเยอะพอสมควร
และทำสถิติตอนนี้เป็นหนัง #1ในอเมริกา ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยอ่านหนังสือเลย เคยเห็นผ่านๆแต่ไม่มีเวลาอ่าน
แต่เห็นตามที่ต่างๆเยอะอยู่พอสมควร และในเว็บเรทหนังสือก็คะแนน 4.5/5 อ้อต้องบอกก่อนว่าจขกท.อาศัยอยู่ที่เมกา
เผื่อมีคนงงว่าไทยยังไม่มีแนวโน้มจะเข้าแล้วเราไปดูมาจากไหน55555 ส่วนตัวประทับใจนะ
นี่เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกอารมณ์ค้าง เดินออกมาจากโรงแบบลอยๆแบบเห้ย
มันตื้นตันอ่ะ มันแบบดูแล้วอิ่มใจซึ่งอารมณ์นี้เคยเกิดกับเราเท่าที่จำได้คือหลังจากดู
A Walk to Remember กับ Titanic จบ หนังความยาวสองชั่วโมงห้านาที แต่ช่วงเวลาที่นั่งอยู่ในโรงมันไม่นานเลย
มารู้ตัวอีกทีจะสองชั่วโมงแล้ว โดยรวมแล้วหนังไม่น่าเบื่อเลย แต่มีบางตอนที่รวบรัดเร็วไป
เรารู้สึกว่ามันควรจะมีฉากของพระเอกนางเอกใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะถึงจุดพีค
คือตอนที่พระเอกสารภาพกับนางเอกว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ นั่นแหละค่ะ ซึ่งก็คือถ้าตัวหนังใส่ดีเทลให้เราดูว่า
นางเอกกับพระเอกตั้งแต่คบกันทำอะไรกันมาบ้าง แบบปูให้เยอะกว่านี้ก่อนจะถึงจุดเศร้า
เราว่าเราในฐานะคนดูจะอินกว่านี้ แต่ก็เข้าใจนะคะเพราะขนาดนี้หนังยังปาไปสองชั่วโมงแล้ว
ถ้าหากจะให้เพิ่มดีเทลจากหนังสือเข้าไปอีกคงปาไปสามชั่วโมงได้55555
กรณีนี้เหมือน Harry Potter แหละค่ะ ที่คนอ่านหนังสือจะแบบอารมณ์หดนิดนึงพอรู้ว่าหนังค่อนข้างตัด
ฉากจากหนังสือออกไปเยอะพอสมควร แต่ตัดออกไปเยอะขนาดนี้ยังทำให้เราร้องไห้ได้เลย555555
ช่วงท้ายๆอารมณ์มาเต็ม พระนางเล่นดีมาก ฉากอารมณ์ก็เล่นได้ดี โดยเฉพาะพระเอก
ขนาดเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนยังแบบเห้ย ตัวละครพระเอกน่ารักจัง มีสเน่ห์(ไม่พูดถึงหน้าตา)
แบบดูเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วจะทำให้มีความสุขตลอดเวลา โดยเฉพาะพระเอกฉากแก๊สสเตชั่น
ใส่อารมณ์เข้าไปเยอะมาก เราดูแล้วน้ำตาจะไหล แบบดูแล้วเชื่อเลยว่าเค้าเจ็บจริงๆ
สรุปเลยคือ หนังเรื่องนี้ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมได้ดี ทำให้เราสุขเศร้าไปกับตัวละครได้ ทำให้เข้าใจว่าเขารักกันมาก
และทำให้เข้าใจว่าการกลัวที่จะเสียคนที่รักไปมันเป็นยังไง ทำให้จขกทน้ำตาหยด และจะดีมากกว่านี้ถ้าใส่ดีเทลเข้าไปอีก
แบบนั้นเราคงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร55555 ถ้าจะให้คะแนนจขกทให้ 8.5/10ค่ะ
ต่อมา Maleficent เรื่องนี้จะบอกว่าเปิดเรื่องมาเรางงเห้ย เข้าผิดโรงปะวะ นี่นั่งอยู่ในโรงการ์ตูนหรอ5555555
เพราะซีจีฉากเปิดตอนแรกเหมือนการ์ตูนอนิเมชั่นมากกก คือจะพูดไงดี เราก็ไม่ได้รู้เยอะเรื่องซีจีหนัง ไม่รู้จะเรียกยังไง
แต่หนังเรื่องนี้เหมือนใช้อนิเมชั่นการ์ตูนโดยส่วนมาก คือถ้าไม่มีตัวละครมนุษย์ออกมาก็นึกว่าเป็นการ์ตูนอ่ะค่ะ
มันไม่เหมือนซีจีในพวก The Lord of the Rings, Avatar อะไรพวกนี้ที่ทำสมจริง เลยไม่รู้ว่า
Disneyตั้งใจทำให้มันออกมามีกลิ่นอายการ์ตูนด้วยหรือเปล่า เพราะว่าบางทีแสงไฟในเรื่องคือเน้นไปทาง
ย้อนยุคนิดนึง ดูแล้วนึกถึงการ์ตูนดิสนีย์สมัยก่อนๆที่ฟิล์มมันจะออกวิ้งๆ ออร่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง55555
แล้วจะบอกว่า ตัวหนังนั้นอารมณ์คนละเรื่องกับตัวอย่างเลย ตัวอย่างดูดาร์คมาก แต่ตัวหนังคือยังมีดาร์คปนๆ
แต่ส่วนมากจะตรงกันข้าม555555 เรื่องนี้ไม่เหมือน Sleeping Beauty นะคะ เพราะชื่อเรื่องก็ชื่อ Maleficent
ฉะนั้นเรื่องนี้จะเกี่ยวกับตัว Maleficentล้วนๆ และฉีกกฎเนื้อเรื่องเจ้าหญิงนิทราไปเกือบหมด
สำหรับเราจ่ายตังค์เข้ามาดูแองเจลิน่าโจลี่ เราก็คุ้มแล้วค่ะ เพราะนางสวยยยย
แอคติ้งเรื่องนี้อาจจะยังไม่ชนะเลิศแต่รวมๆแล้วนางเหมาะกับบท Maleficentดี เพราะหน้านางให้ด้วย นิ่งๆเฉียบๆ
แต่ในเรื่องขอบอกว่านางน่ารักมาก แต่น่ารักยังไงไปดูเองค่ะ55555 ส่วนหนู Elle Fanning ก็น่ารักก
น้องแอลเค้ายิ้มพิฆาตอยู่แล้ว ยิ่งหน้าน้องเด็กด้วย ยิ้มทีคือสดใส แบบเด็กๆยิ้มอ่ะค่ะ ดูมีความสุขแบบใสๆ
ส่วนเจ้าชายฟิลลิป ก่อนจะหันหน้ามานี่ลุ้นมากจะเป็นยังไง พอหันมาเท่านั้น วิ้ดวิ้วววว น่ารักน่าหยิกอิอิ
เรื่องนี้ดูจบแล้วก็จบค่ะ ไม่มีอารมณ์ค้างใดๆ เหมือนไปดูหนังแฟนตาซีธรรมดา แต่ก็แนะนำให้ไปดูค่ะ
เพราะภาพสวยดี เราไม่ได้ดูแบบ 3D แต่ดูแล้วคือภาพสวยค่ะ เอาเป็นว่าจะไม่เสียดายตังค์
เรื่องนี้ให้ 7.5-8/10
นี่เป็นรีวิวหนังครั้งแรกของเรา พูดจาวกไปวนมาไม่เข้าประเด็นอะไรยังไงก็แนะนำได้นะคะ55555
แล้วถ้ามีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องไหนที่เมกาฉายก่อนไทยอีก ไว้จะมารีวิวให้ฟังค่ะ