ลูกค้าซื้อที่ดินพร้อมบ้าน (เหมือนบ้านร่าง) และได้ว่าจ้างผู้รับเหมาทำโครงหลังคาเหล็กและมุงหลังคาโมเนียใหม่
ซึ่งทางลูกค้าเองเดินดูรอบบ้านแล้วและไม่ได้ซีเรียสเรื่องฐานหรือโครงสร้างของตัวบ้าน
ได้ว่าจ้างให้ทาง ผรม. ทำโครงหลังคาเหล็กใหม่และมุงหลังคาโมเนียใหม่ กำหนดแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ
งานเกือบจะแล้วเสร็จ แต่มีปันหาที่พอเริ่มมุงโมเนียไปพอประมานแล้ว ปูนลั่น รอยร้าวของตัวบ้านมีขนาดกว้างขึ้น บ้านเริ่มเอียงไปด้านนึง
ทาง ผรม. ห่วงเรื่องรากฐานและโครงสร้างของบ้านที่ไม่รู้ว่า สร้างได้มาตรฐานมั้ย แล้วสร้างมาแล้วกี่สิบปี
ได้อธิบายให้ทางลูกค้าฟังว่า ถ้าขึ้นมุงโมเนียต่อไปเรื่อยๆ บ้านอาจจะพังลงมาได้ เพราะยังขาดโมเนียอีกมากกว่าพันแผ่น
แต่ทางลูกค้าบอกให้ ผรม. ขึ้นไปมุงต่อผมจะยืนดูอยู่ห่างๆ ซึ่งทาง ผรม. ก็ต้องกลัวตายเป็นธรรมดา จึงบอกให้ทางลูกค้า
เขียนสัญญาหรืออะไรที่มีพยานและหลักฐานว่า ถ้าทาง ผรม. ขึ้นไปมุงโมเนียต่อแล้วเกิดบ้านทล่มลงมา
ได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิต ทางลูกค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด
เพราะในเรื่องของรากฐานทาง ผรม. ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว บ้นสร้างมากี่สิบปีไม่รู้ แล้วทางลูกค้าก้อไม่ไม่ได้ตรวจเช็คใดๆก่อนทำเรย
ทั้งๆที่พยายามอธิบายกันหลายคนว่ามันเป็นที่รากฐานโครงสร้างของตัวบ้านไมไ่ด้เกี่ยวกับโครงหลังคาที่ทำมาใหม่
ทางลูกค้าก้อยังหาว่าโครงหลังคาที่ทำมันไม่ดีต่างหาก ทุกคนเข้าใจรวมถึงช่างอีกคนที่มากับลูกค้าก้อยังเข้าใจ
แล้วทางลูกค้าก้อไม่ได้ทำการตกลงรับผิดชอบถ้าเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นมา ทาง ผรม. จึงไม่ขอทำต่อ
ส่วนเงินที่เบิกไปแล้ว (เหลืองวดสุดท้ายสามหมื่นกว่าที่ลูกค้า) ทาง ผรม. ได้จัดการซื้อวัสดุอุกรณ์จนครบหมดทุกอย่างแล้ว
เหลือเงินงวดสุดท้ายที่รอส่งงาน (พูดง่ายๆ นั่นคือค่าแรงของ ผรม. ในการทำงานนี้)
ตกลงลูกค้าไม่รับปากใดๆ ทาง ผรม. จึงไม่ทำต่อ ก้อห่วงชีวิตตัวเอง ในเมื่อไม่มีการรับประกันใดๆ
เพื่อความสบายทาง ผรม ได้ให้ทางลูกค้าไปตรวจเช็คของวัสดุต่างๆที่ใช้ทาง ผรม. ซื้อไว้ครบ ว่ารวมๆแล้วเป็นเงินเกือบจะเท่าจำนวนที่เบิกมาเรย
แต่ทางลูกค้าจะเอาเรื่อง แบบนี้ใครผิดกันแน่ ว่าด้วยเหตุและผล ขอผู้รู้ช่วยให้ความรู้ด้วยค่ะ
ปล.บทสนทนาระหว่าง ลูกค้ากับผรม.
ลูกค้า : ผมคุมสร้างโรงเรียนมา 3 ที่แล้ว ผมดูแล้วไม่มีไร ขึ้นไปมุงต่อเรย ผมจะยืนดูอยู่ห่างๆตรงนี้
ผรม. : นั่นเฮียคุมตั้งแต่รากฐานมัน เฮียก้อต้องรู้สิว่าอะไรเป็นยังไงได้หรือไม่ได้ แต่นี่ใครสร้างไว้ก้อไม่รุ้ สร้างมากี่สิบปีแล้วก้อไม่รู้
โดนน้ำท่วมรากฐานเป็นยังไงก้อไม่รู้ ผมไม่ได้อยากจะทิ้งงานเลยนะคับ แต่พวกผมยิ่งขึ้นไปมุง ปูนมันลั่นบ่อยและดัง
เฮียลองไปดูสิรอยร้าวมันกว้างขึ้นมา แถมบ้านยังเอนไปข้างนึงแล้ว เฮียขึ้นไปกับผมมั้ย ไปนั่งอยู่บนนั้นเฉยๆ เด่วผมจะมุงต่อให้เสร็จ
หรือไม่เฮียไปนั่งรับลมอยู่ห้องใต้ถุนบ้านก้ได้เด๋วผมจะขึ้นไปมุงให้
ลูกค้า : ขึ้นไปเรยเด๋วผมจะยืนดูอยู่ตรงเนี้ย ดูสิมันจะพังมั้ย
ผรม : อ้าว เฮียพูดแบบนี้ก้อไม่ได้ห่วงชีวิตพวกผมเลยสิคับ ผมยังหางานอีกอีกหลายล้าน งั้นเรามาทำสัญญากันมั้ยว่า
ถ้าผมและลูกน้องขึ้นไปแล้วบ้านพังขึ้นมา จะบาดเจ็บหรือตาย เฮียจะรับผิดชอบ เด๋วเอาพยานมาเซ็นด้วย ทุกคนเค้าก้อรักชีวิตนะคับ
เฮียยังจะยืนดูยุ่ห่างๆแล้วจะให้พวกผมขึ้นไปมุงต่อ
ลูกค้า : หันไปรับโทรศํพท์พอดี
ช่างที่มากับลูกค้า : ผมเข้าใจน่ะพี่ ที่พี่พูดมาทั้งหมด แต่ผมก้อพูดไมไ่ด้ ผมก็เป็นลูกน้องเค้าอ่ะพี่
ลูกค้า : มันไม่เกี่ยวกับรากฐานหรอกผมดูแล้วมุงต่อได้ มันไม่พังหรอก ขึ้นไปมุงเลย ผมจะดูสิมันจะพังมั้ย?
สรุปคือ ผรม.ไม่ขอทำต่อและเก็บของกลับ ไม่ติดต่อใดๆกับทางลูกค้าอีก เพราะลูกค้าก้อยังเข้าใจว่าตัวเองถูก
และยังส่งข้อความมาขู่อีก ว่าถ้าไม่ติดต่อกลับอาจจะเสียมากกว่าเงินที่คุณได้รับไป
ผู้รู้ช่วยด้วยค่ะ แบบนี้เป็นความผิดของผู้รับเหมาหรือเปล่า
ซึ่งทางลูกค้าเองเดินดูรอบบ้านแล้วและไม่ได้ซีเรียสเรื่องฐานหรือโครงสร้างของตัวบ้าน
ได้ว่าจ้างให้ทาง ผรม. ทำโครงหลังคาเหล็กใหม่และมุงหลังคาโมเนียใหม่ กำหนดแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ
งานเกือบจะแล้วเสร็จ แต่มีปันหาที่พอเริ่มมุงโมเนียไปพอประมานแล้ว ปูนลั่น รอยร้าวของตัวบ้านมีขนาดกว้างขึ้น บ้านเริ่มเอียงไปด้านนึง
ทาง ผรม. ห่วงเรื่องรากฐานและโครงสร้างของบ้านที่ไม่รู้ว่า สร้างได้มาตรฐานมั้ย แล้วสร้างมาแล้วกี่สิบปี
ได้อธิบายให้ทางลูกค้าฟังว่า ถ้าขึ้นมุงโมเนียต่อไปเรื่อยๆ บ้านอาจจะพังลงมาได้ เพราะยังขาดโมเนียอีกมากกว่าพันแผ่น
แต่ทางลูกค้าบอกให้ ผรม. ขึ้นไปมุงต่อผมจะยืนดูอยู่ห่างๆ ซึ่งทาง ผรม. ก็ต้องกลัวตายเป็นธรรมดา จึงบอกให้ทางลูกค้า
เขียนสัญญาหรืออะไรที่มีพยานและหลักฐานว่า ถ้าทาง ผรม. ขึ้นไปมุงโมเนียต่อแล้วเกิดบ้านทล่มลงมา
ได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิต ทางลูกค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด
เพราะในเรื่องของรากฐานทาง ผรม. ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว บ้นสร้างมากี่สิบปีไม่รู้ แล้วทางลูกค้าก้อไม่ไม่ได้ตรวจเช็คใดๆก่อนทำเรย
ทั้งๆที่พยายามอธิบายกันหลายคนว่ามันเป็นที่รากฐานโครงสร้างของตัวบ้านไมไ่ด้เกี่ยวกับโครงหลังคาที่ทำมาใหม่
ทางลูกค้าก้อยังหาว่าโครงหลังคาที่ทำมันไม่ดีต่างหาก ทุกคนเข้าใจรวมถึงช่างอีกคนที่มากับลูกค้าก้อยังเข้าใจ
แล้วทางลูกค้าก้อไม่ได้ทำการตกลงรับผิดชอบถ้าเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นมา ทาง ผรม. จึงไม่ขอทำต่อ
ส่วนเงินที่เบิกไปแล้ว (เหลืองวดสุดท้ายสามหมื่นกว่าที่ลูกค้า) ทาง ผรม. ได้จัดการซื้อวัสดุอุกรณ์จนครบหมดทุกอย่างแล้ว
เหลือเงินงวดสุดท้ายที่รอส่งงาน (พูดง่ายๆ นั่นคือค่าแรงของ ผรม. ในการทำงานนี้)
ตกลงลูกค้าไม่รับปากใดๆ ทาง ผรม. จึงไม่ทำต่อ ก้อห่วงชีวิตตัวเอง ในเมื่อไม่มีการรับประกันใดๆ
เพื่อความสบายทาง ผรม ได้ให้ทางลูกค้าไปตรวจเช็คของวัสดุต่างๆที่ใช้ทาง ผรม. ซื้อไว้ครบ ว่ารวมๆแล้วเป็นเงินเกือบจะเท่าจำนวนที่เบิกมาเรย
แต่ทางลูกค้าจะเอาเรื่อง แบบนี้ใครผิดกันแน่ ว่าด้วยเหตุและผล ขอผู้รู้ช่วยให้ความรู้ด้วยค่ะ
ปล.บทสนทนาระหว่าง ลูกค้ากับผรม.
ลูกค้า : ผมคุมสร้างโรงเรียนมา 3 ที่แล้ว ผมดูแล้วไม่มีไร ขึ้นไปมุงต่อเรย ผมจะยืนดูอยู่ห่างๆตรงนี้
ผรม. : นั่นเฮียคุมตั้งแต่รากฐานมัน เฮียก้อต้องรู้สิว่าอะไรเป็นยังไงได้หรือไม่ได้ แต่นี่ใครสร้างไว้ก้อไม่รุ้ สร้างมากี่สิบปีแล้วก้อไม่รู้
โดนน้ำท่วมรากฐานเป็นยังไงก้อไม่รู้ ผมไม่ได้อยากจะทิ้งงานเลยนะคับ แต่พวกผมยิ่งขึ้นไปมุง ปูนมันลั่นบ่อยและดัง
เฮียลองไปดูสิรอยร้าวมันกว้างขึ้นมา แถมบ้านยังเอนไปข้างนึงแล้ว เฮียขึ้นไปกับผมมั้ย ไปนั่งอยู่บนนั้นเฉยๆ เด่วผมจะมุงต่อให้เสร็จ
หรือไม่เฮียไปนั่งรับลมอยู่ห้องใต้ถุนบ้านก้ได้เด๋วผมจะขึ้นไปมุงให้
ลูกค้า : ขึ้นไปเรยเด๋วผมจะยืนดูอยู่ตรงเนี้ย ดูสิมันจะพังมั้ย
ผรม : อ้าว เฮียพูดแบบนี้ก้อไม่ได้ห่วงชีวิตพวกผมเลยสิคับ ผมยังหางานอีกอีกหลายล้าน งั้นเรามาทำสัญญากันมั้ยว่า
ถ้าผมและลูกน้องขึ้นไปแล้วบ้านพังขึ้นมา จะบาดเจ็บหรือตาย เฮียจะรับผิดชอบ เด๋วเอาพยานมาเซ็นด้วย ทุกคนเค้าก้อรักชีวิตนะคับ
เฮียยังจะยืนดูยุ่ห่างๆแล้วจะให้พวกผมขึ้นไปมุงต่อ
ลูกค้า : หันไปรับโทรศํพท์พอดี
ช่างที่มากับลูกค้า : ผมเข้าใจน่ะพี่ ที่พี่พูดมาทั้งหมด แต่ผมก้อพูดไมไ่ด้ ผมก็เป็นลูกน้องเค้าอ่ะพี่
ลูกค้า : มันไม่เกี่ยวกับรากฐานหรอกผมดูแล้วมุงต่อได้ มันไม่พังหรอก ขึ้นไปมุงเลย ผมจะดูสิมันจะพังมั้ย?
สรุปคือ ผรม.ไม่ขอทำต่อและเก็บของกลับ ไม่ติดต่อใดๆกับทางลูกค้าอีก เพราะลูกค้าก้อยังเข้าใจว่าตัวเองถูก
และยังส่งข้อความมาขู่อีก ว่าถ้าไม่ติดต่อกลับอาจจะเสียมากกว่าเงินที่คุณได้รับไป