วันนี้ผมมีเรื่องมาแบ่งปันอีกหนึ่งเรื่องครับ
หลายคนที่เคยอ่านกระทู้เก่าของผมจะรู้ว่าช่วงหนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นมะเร็ง ผมได้ออกไปทำงานต่างจังหวัด อยู่หลายปี ระยะทางไกลจากบ้านหลายร้อยโล ผมจึงไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยเท่าไร
จากกระทู้นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/32137686
แต่สิ่งที่ผมจะเล่าวันนี้ มันไม่เกี่ยวกับระยะทางหรอกครับ มันเกี่ยวกับเรื่องเดียวล้วนๆเลย นั้นคือ ความไม่ใส่ใจ ....อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ผมใช้ชีวิตอย่างที่ผมอยากใช้ (วัยรุ่นหลายคนอาจจะเคยคิดเหมือนผม) ใช้ชีวิตโดยมองหา ความสมบูรณ์ ในอุดมคติ จนลืมมองถึงความจริงตรงหน้า ความจริงที่ว่า ชีวิตคนเรา ไม่ได้มีด้านเดียว มันมีส่วนประกอบต่างๆในชีวิตมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ “ครอบครัว”
บางคนบอกว่า ครอบครัวคือส่วนส่วนที่สำคัญที่สุดชีวิต
บางคนบอกว่า ครอบครัวไม่แค่สำคัญที่สุดแต่คือทุกอย่าง
บางคนก็ว่า ครอบครัวคือกุญแจสู่ความสุข หรือต่างๆอีกมากมาย
ผมบอกว่าคำพูดแนวนี้มันถูกหมดแหละครับ รวมถึงไม่ว่าคุณจะจำกัดความหมายของครอบครัวอย่างไร สุดท้ายครอบครัวก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะอยู่ กับคุณไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
และสำหรับบางคนจุดเริ่มต้นของความหมายของชีวิต คุณอาจไม่ต้องออกไปค้นหา ออกไปไกลหลายพัน หลายหมื่นกิโล มันอยู่ใกล้ๆตัวคุณนี้แหละ ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้นเหตุผลก็อยู่ข้างล่างนี้แหละครับ
โดยวันนี้ ผมมีสเตตัสสั้นๆ สองอันในเฟสบุ๊คที่ผมเขียนไว้มาแชร์ให้อ่านกันครับ
อันแรกถูกเขียนขึ้นหลังจากที่ผมรู้ว่าเป็นมะเร็งประมาณสองเดือน และกำลังเริ่มการรักษา มันเป็นสเตตัสสั้นๆ (ปกติผมจะไม่ค่อยเขียนอะไรบนหน้าเฟสเท่าไร ส่วนมากก็จะแชร์เพลง แชร์บทความเก็บไว้อ่าน หรือไม่ก็บ่นๆอะไรเล็กน้อยเท่านั้น) แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันเป็นครั้งแรกที่ผมอยากให้เพื่อนๆในเฟสผมได้อ่าน เป็นสเตตัสที่ผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆในเฟสของผม เป็นมุมหนึ่งของคนตัวเล็กๆในสังคมที่เห็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ในบ้านที่แสนธรรมดา คุณค่าที่มันสามารถเปลี่ยนคำว่า โชคร้าย ให้กลายเป็น โชคดี ทัศนะคติต่างๆในชีวิตถูกมองต่างออกไปมากขึ้นๆเรื่อยๆหลังจากวันนั้น
ลองอ่านอันแรกกันดูครับ มันเป็นสเตตัสสั้นๆที่ไม่มีคำพูดสวยหรูใดๆเลยแต่มันออกมาจากใจจริงๆ
ส่วนอันที่สองนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากผมรักษาตัวไปได้ประมาณ หกเดือนแล้ว เป็นสเตตัสที่ผมเขียนถึงเพื่อนๆเนื่องจากหลายๆคนที่คอยให้กำลังใจผมตลอดการรักษามาตลอด จะได้มีโอกาศมาพูดคุยกันเผื่อมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
โดยสาเหตุที่ผมจำเป็นต้องเขียนสตตัสนี้ขึ้นมาเนื่องจาก การรักษาตามมารตราฐานปกติที่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่สามารถใช้กับผมได้ ก้อนมะเร็งถูกวินิจฉัยว่ายังไม่หายไป จากความมั่นใจว่ารักษาได้แน่ๆถูกท้าทายให้ยากขึ้น ชีวิตถูกทดสอบความแข็งแกร่งอีกครั้ง แต่การรักษาครั้งนี้มันมีบางสิ่งต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นการผ่าตัดใหญ่สองจุดที่กินเวลาหลายชั่วโมง คุณหมอที่จะทำการผ่าตัดจึงจำเป็นต้องแจ้งถึงโอกาสที่จะเกิดในด้านต่างๆกับผม ซึ่งหลายอย่างอาจฟังดูเหมือนมีความไม่แน่นอนอยู่เยอะทีเดียว ซึ่งเหตุผลที่ต้องผ่าตัดเพราะผลประชุม Tumor Conference ที่มีหมอหลายๆแผนกมาประชุมกันว่าจะจัดการกับมะเร็งของผมอย่างไร ลงความเห็นแล้วว่า ฉายแสงต่อก็ไม่ได้เนื่องจากเกินขีดจำกัดแล้ว( ผมฉายแสงไป 49 แสง โดยคนอื่นอยู่ประมาณ 33-35) หรือ คีโมต่ออย่างเดียวก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทางเลือกจึงเหลือเพียงผ่าตัดเสริมเข้ามา เพื่อที่ชีวิตจะได้ยืดยาวออกไป
และนี้คือสเตตัสของวันนั้นครับ
ที่นี้เราลองมาดูกันครับว่าสองสเดตัสนี้สอนอะไรผมบ้าง
1. ตัวผมเองหลังจากกลับมานั่งอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปทั้งสองสเตตัส มันทำให้ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตเกี่ยวกับมุมมอง ทัศนะคติ ต่างๆ เพราะจุด Turn around point ในเรื่องการมองความสุขของชีวิตของผมนั้นมัน คือวันที่ผมเขียน สเตตัสแรกจริงๆ เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่คนๆหนึ่งเห็นมันต่างไป และมันไม่มีความรู้สึกไหนในชีวิตที่ต่ำสุดในชีวิตได้มากกว่านั้นแล้ว แม้แต่วันแรกที่ผมถูกหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง มันก็ไม่สามารถทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของชีวิตได้เท่านี้ ความตาย ความกลัว ความโกรธ ความอึดอัดใจ ฯลฯ มันแพ้ความผูกพันในครอบครัวจริงๆครับ โดยถ้าสังเกตุจากสเตตัสที่สองมันบ่งบอกอย่างเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งว่า ถึงแม้สถานการณ์มันจะดูแย่แค่ไหน มันจะไม่สามารถดึงอารมณ์เราลงไปได้ด้วยเลย ถ้าหากคุณหาจุด turnaround point ในชีวิตเจอ แล้วเราหมั่นพัฒนามันไปเรื่อยๆ ( วันนี้ผมก็กำลังทำมันอยู่ด้วยการเขียนสตัสนี้แหละครับ) ผมเห็นหลายๆคนชอบขึ้นสเตตัสว่า Life is a journey ผมจึงอยากเสนอให้ลองสตาร์ทมันที่บ้านนี้แหละครับ มันทั้งง่ายและยากในเวลาเดียวกันครับ แต่คุ้มค่ากับการเริ่มสตาร์ทแน่นอน
(มีต่อ)
When a son come home กลับมาเถอะลูกบ้านนี้ต้อนรับเสมอ (เรื่องจริงที่ผมอยากให้อ่าน)
หลายคนที่เคยอ่านกระทู้เก่าของผมจะรู้ว่าช่วงหนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นมะเร็ง ผมได้ออกไปทำงานต่างจังหวัด อยู่หลายปี ระยะทางไกลจากบ้านหลายร้อยโล ผมจึงไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยเท่าไร
จากกระทู้นี้ครับ http://ppantip.com/topic/32137686
แต่สิ่งที่ผมจะเล่าวันนี้ มันไม่เกี่ยวกับระยะทางหรอกครับ มันเกี่ยวกับเรื่องเดียวล้วนๆเลย นั้นคือ ความไม่ใส่ใจ ....อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ผมใช้ชีวิตอย่างที่ผมอยากใช้ (วัยรุ่นหลายคนอาจจะเคยคิดเหมือนผม) ใช้ชีวิตโดยมองหา ความสมบูรณ์ ในอุดมคติ จนลืมมองถึงความจริงตรงหน้า ความจริงที่ว่า ชีวิตคนเรา ไม่ได้มีด้านเดียว มันมีส่วนประกอบต่างๆในชีวิตมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ “ครอบครัว”
บางคนบอกว่า ครอบครัวคือส่วนส่วนที่สำคัญที่สุดชีวิต
บางคนบอกว่า ครอบครัวไม่แค่สำคัญที่สุดแต่คือทุกอย่าง
บางคนก็ว่า ครอบครัวคือกุญแจสู่ความสุข หรือต่างๆอีกมากมาย
ผมบอกว่าคำพูดแนวนี้มันถูกหมดแหละครับ รวมถึงไม่ว่าคุณจะจำกัดความหมายของครอบครัวอย่างไร สุดท้ายครอบครัวก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะอยู่ กับคุณไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
และสำหรับบางคนจุดเริ่มต้นของความหมายของชีวิต คุณอาจไม่ต้องออกไปค้นหา ออกไปไกลหลายพัน หลายหมื่นกิโล มันอยู่ใกล้ๆตัวคุณนี้แหละ ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้นเหตุผลก็อยู่ข้างล่างนี้แหละครับ
โดยวันนี้ ผมมีสเตตัสสั้นๆ สองอันในเฟสบุ๊คที่ผมเขียนไว้มาแชร์ให้อ่านกันครับ
อันแรกถูกเขียนขึ้นหลังจากที่ผมรู้ว่าเป็นมะเร็งประมาณสองเดือน และกำลังเริ่มการรักษา มันเป็นสเตตัสสั้นๆ (ปกติผมจะไม่ค่อยเขียนอะไรบนหน้าเฟสเท่าไร ส่วนมากก็จะแชร์เพลง แชร์บทความเก็บไว้อ่าน หรือไม่ก็บ่นๆอะไรเล็กน้อยเท่านั้น) แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันเป็นครั้งแรกที่ผมอยากให้เพื่อนๆในเฟสผมได้อ่าน เป็นสเตตัสที่ผมคิดว่า น่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆในเฟสของผม เป็นมุมหนึ่งของคนตัวเล็กๆในสังคมที่เห็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ในบ้านที่แสนธรรมดา คุณค่าที่มันสามารถเปลี่ยนคำว่า โชคร้าย ให้กลายเป็น โชคดี ทัศนะคติต่างๆในชีวิตถูกมองต่างออกไปมากขึ้นๆเรื่อยๆหลังจากวันนั้น
ลองอ่านอันแรกกันดูครับ มันเป็นสเตตัสสั้นๆที่ไม่มีคำพูดสวยหรูใดๆเลยแต่มันออกมาจากใจจริงๆ
ส่วนอันที่สองนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากผมรักษาตัวไปได้ประมาณ หกเดือนแล้ว เป็นสเตตัสที่ผมเขียนถึงเพื่อนๆเนื่องจากหลายๆคนที่คอยให้กำลังใจผมตลอดการรักษามาตลอด จะได้มีโอกาศมาพูดคุยกันเผื่อมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
โดยสาเหตุที่ผมจำเป็นต้องเขียนสตตัสนี้ขึ้นมาเนื่องจาก การรักษาตามมารตราฐานปกติที่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่สามารถใช้กับผมได้ ก้อนมะเร็งถูกวินิจฉัยว่ายังไม่หายไป จากความมั่นใจว่ารักษาได้แน่ๆถูกท้าทายให้ยากขึ้น ชีวิตถูกทดสอบความแข็งแกร่งอีกครั้ง แต่การรักษาครั้งนี้มันมีบางสิ่งต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นการผ่าตัดใหญ่สองจุดที่กินเวลาหลายชั่วโมง คุณหมอที่จะทำการผ่าตัดจึงจำเป็นต้องแจ้งถึงโอกาสที่จะเกิดในด้านต่างๆกับผม ซึ่งหลายอย่างอาจฟังดูเหมือนมีความไม่แน่นอนอยู่เยอะทีเดียว ซึ่งเหตุผลที่ต้องผ่าตัดเพราะผลประชุม Tumor Conference ที่มีหมอหลายๆแผนกมาประชุมกันว่าจะจัดการกับมะเร็งของผมอย่างไร ลงความเห็นแล้วว่า ฉายแสงต่อก็ไม่ได้เนื่องจากเกินขีดจำกัดแล้ว( ผมฉายแสงไป 49 แสง โดยคนอื่นอยู่ประมาณ 33-35) หรือ คีโมต่ออย่างเดียวก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทางเลือกจึงเหลือเพียงผ่าตัดเสริมเข้ามา เพื่อที่ชีวิตจะได้ยืดยาวออกไป
และนี้คือสเตตัสของวันนั้นครับ
ที่นี้เราลองมาดูกันครับว่าสองสเดตัสนี้สอนอะไรผมบ้าง
1. ตัวผมเองหลังจากกลับมานั่งอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปทั้งสองสเตตัส มันทำให้ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตเกี่ยวกับมุมมอง ทัศนะคติ ต่างๆ เพราะจุด Turn around point ในเรื่องการมองความสุขของชีวิตของผมนั้นมัน คือวันที่ผมเขียน สเตตัสแรกจริงๆ เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่คนๆหนึ่งเห็นมันต่างไป และมันไม่มีความรู้สึกไหนในชีวิตที่ต่ำสุดในชีวิตได้มากกว่านั้นแล้ว แม้แต่วันแรกที่ผมถูกหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง มันก็ไม่สามารถทำให้ผมมองเห็นคุณค่าของชีวิตได้เท่านี้ ความตาย ความกลัว ความโกรธ ความอึดอัดใจ ฯลฯ มันแพ้ความผูกพันในครอบครัวจริงๆครับ โดยถ้าสังเกตุจากสเตตัสที่สองมันบ่งบอกอย่างเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งว่า ถึงแม้สถานการณ์มันจะดูแย่แค่ไหน มันจะไม่สามารถดึงอารมณ์เราลงไปได้ด้วยเลย ถ้าหากคุณหาจุด turnaround point ในชีวิตเจอ แล้วเราหมั่นพัฒนามันไปเรื่อยๆ ( วันนี้ผมก็กำลังทำมันอยู่ด้วยการเขียนสตัสนี้แหละครับ) ผมเห็นหลายๆคนชอบขึ้นสเตตัสว่า Life is a journey ผมจึงอยากเสนอให้ลองสตาร์ทมันที่บ้านนี้แหละครับ มันทั้งง่ายและยากในเวลาเดียวกันครับ แต่คุ้มค่ากับการเริ่มสตาร์ทแน่นอน
(มีต่อ)