บทวิเคราะห์ X-MEN : Day of future past

หลังจากรอมานานและแล้ว X-MEN : Day of future past ก็มาจนได้    ต้องบอกก่อนว่าผมเองติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกจนถึง The wolverine ภาคล่าสุด ซึ่งถ้าถามว่าชอบภาคไหนมากที่สุด ผมตอบได้เลยว่า First class (ไม่นับรวมภาคนี้เพราะชอบภาคนี้มากกว่า) เพราะผมชอบในแนวของหนังที่พยายามนำเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาเล่าโดยเติมแต่งไปด้วยจินตนาการของหนังนั้นๆ (คล้ายกับมังกรหยกที่นำเหตุการณ์และบุคคลในประวัติศาสตร์จีนมาเกี่ยวข้อง)



         ครั้งที่แล้วเป็นเรื่องของสมัยสงครามคิวบา มาในครั้งนี้เป็นยุคหลังสงครามเวียดนามและหลังเหตุการณ์สังหาร JFK เริ่มเรื่องแนวทางของเรื่องออกแนวมืดมน สิ้นหวัง กับสภาพเมืองร้าง สงครามระหว่างหุ่นยนต์กับเหล่า Mutant ทำให้นึกถึงหนังดังเรื่อง Terminator แต่จุดเด่นของตอนเปิดเรื่องกลับเป็นฉากร่วมกันสู้กับหุ่นเซนติเนล มีการรวมทีมแบ่งหน้าที่กันสู้ได้อย่างลงตัวสมกับการเป็นทีมของ X-MEN ที่ไม่ได้โชว์เดี่ยวเหมือน wolverine หรือ spidy จึงทำให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น พร้อมกับการโชว์ตัวละครใหม่ๆ ทั้ง Bishop Warpath Blink Sunspot จึงตื่นตาตื่นใจกับการต่อสู้แต่น่าเสียดายที่ตายเร็วไปหน่อยและยังเปิดตัวพลังใหม่ของ Kitty สาวน้อยที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดภาคนี้ขึ้น (ถ้าไม่มีเธอคนเดียวนี่จบเลยนะ ตายหมดอดสร้างต่อ)



         มาถึงฉากที่Bishop ย้อนกลับมาบอกอนาคตและเปิดตัวพระเอกรุ่นเก๋าสูบซิการ์มาอย่างเท่โดยที่ไม่รู้ที่มาเลยว่า 17 ปีหลังจาก Charles และ Ericไปหาหลัง end credit ของภาคที่แล้วไปเจออะไรมาบ้าง ไปได้กรงเล็บอดาเมนเทียมกลับมาได้ยังไง(ปริศนาต่อไปครับเพราะหนังเปลี่ยนtimelineแล้ว คงไม่เล่าถึงแล้วล่ะ)และพระเอกก็เป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะกลับอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ผมชอบนะการที่ wolverine กลับไปในหนังแม้ว่าในการ์ตูนจะเป็นตัว kitty เองเพราะ X-MEN ตั้งแต่ภาคแรก wolverine ดูจะเป็นตัวเอกของเรื่องมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับตัวละครอีกหลายตัวในยุคนั้นจึงเหมาะสมกว่า Kitty ที่เพิ่งมาเด่นเอาภาคสามและยังชอบที่สร้างเหตุผลเรื่องการฟื้นฟูตัวเองได้ของ wolverine จึงทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำภารกิจนี้ได้



         การเล่าของหนังจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดควบคู่กันทั้งในส่วนอดีตที่ Wolverine ย้อนกลับไป รวมทั้งในอนาคตที่ต้องคอยระวังเซนติเนลทำให้ระทึกทั้งสองด้าน ทั้งฉากที่บีบคั้นกว่าเดิมจากการคลั่งของวูฟตอนที่เจอสไตรเกอร์ตอนหนุ่มจนทำให้พลาดไปทำร้ายคิตตี้ซึ่งกลายเป็นเร่งรัดเวลามากขึ้น ทั้งต้องกังวลกับเซนติเนลและกังวลกับอาการบาดเจ็บที่พร้อมจะหมดสติได้ทุกเมื่อ จึงทำให้คนดูลุ้นตลอดเวลา



         ตัวละครในภาคนี้ถือว่ามีพัฒนาการมากกว่าภาคก่อนๆตั้งแต่ Charles เองที่ดูดีมี Conflict ในตัวเองทั้งการเสียเรเวนหรือมิสทีค การเสียเพื่อนรักอย่างอีริคและการเสียการเคลื่อนไหวของขาทั้ง 2 ข้าง จนส่งผลให้บุคลิกท่าทางดูเสเพล ประชดชีวิต ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของผู้ที่ได้ชื่อว่า ครูผู้นำทางเหล่า X-MEN ที่ตอนนี้หลงทางไม่ต่างจากคนอื่นๆ ส่วนเรื่องยาที่ฉีดแล้วทำให้เดินได้นั้นผมกลับมองว่าหนังพยายามใส่เพื่ออธิบายตอนภาค X-MEN: Origin ที่ชาร์ลลงมาจากเครื่องบินแล้วยืนรอเหล่า Mutant ที่หลบหนีออกมาจากที่คุมขังของสไตรเกอร์ ซึ่งถือว่าแถไปนิดนึง (เข้าใจว่าไม่ทันคิดว่าจะสร้างภาค First class ขึ้นมาเลยไม่ได้วางแพลนไว้ก่อน)



         อีกฉากหนึ่งที่สำหรับผมถือเป็นจุดเปลี่ยนของชาร์ลวัยหนุ่มคือการที่ได้ไปคุยกับตัวเองตอนแก่ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้นจากคนที่จิตใจแตกเป็นเสี่ยงๆแต่ก็กลับฟื้นมาได้จากมุมมองของความเป็นครูและการมองโลกในแง่ดีของตนเองในวัยแก่ เหมือนพ่อสอนลูกยังไงยังงั้น



         Eric หรือ Magneto เปิดมาพี่แกโดนจับเป็นคนแรกแต่ต้องบอกว่าตัวละครตัวนี้คล้ายว่าจะเป็นฝั่งร้ายแต่ผมกลับมองว่าไม่ใช่ ผมมองว่าเค้ากลับมีเหตุผลของตัวเองและเชื่อมั่นในความคิดของตนที่ต้องการเพียงปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนโดยที่ไม่สนวิธีการสนแต่เพียงผลลัพธ์เท่านั้น( เหตุการณ์ที่โดนกระทำในอดีตทั้งเรื่องแม่ เพื่อนพ้องที่ตายไปจากการกระทำของมนุษย์ทั้ง อซาเซล เอ็มม่า ฟรอซ รวมทั้ง JFK) แม้กระทั่งต้องทำร้ายเพื่อนที่รู้จักเพื่อปกป้องคนหมู่มาก เค้าก็พร้อมจะทำโดยไม่ลังเล แอบคิดเล็กๆว่าถ้าหากเรเวนไม่ได้เป็นต้นเหตุให้เกิดเซนติเนลแต่เป็นตัวอีริคเองล่ะ เค้าจะยอมตายเพื่อคนอื่นๆอยู่มั้ย??



         ภาคนี้อีริคสามารถควบคุมพลังได้มากกว่าแต่ก่อน    เห็นได้จากการยกสนามเบสบอลทั้งสนาม    แอบจับผิดนิดนึงเรื่องหมวกที่ใส่เพื่อป้องกันชาร์ล ในภาคที่แล้วหมวกใบนั้นไม่ได้มีส่วนผสมของโลหะเพราะอีริคไม่สามารถดึงออกมาจากหัวของเซบาสเตียน ชอร์(Amagedon ตัวร้ายภาคที่แล้ว)ได้    แต่พอมาภาคนี้กลับบังคับมันออกจากกระจกซึ่งดูแปลกๆแต่อาจอธิบายว่าอีริคดัดแปลงมันก่อนหน้านี้เพื่อให้สามารถเรียกหาได้ง่ายก็อาจเป็นไปได้และอีกเรื่องที่คาใจคือเรื่องที่อีริคควบคุมการทำงานของหุ่นเซนติเนล เข้าใจว่าใส่เหล็กเข้าไปทำให้ควบคุมได้แต่ถึงขั้นสั่งให้หุ่นเซนติเนลทำหน้าที่ของตัวเอง    มันดูเยอะไปหน่อยเหมือนไปแก้วงจรให้รับคำสั่งของอีริคมากกว่าการควบคุมโลหะภายในตัว



         Raven หรือ มิสทีค ถือเป็นตัวละครสำคัญของภาคนี้เพราะเลือดของเธอจึงทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น จึงเป็นเหตุให้ทุกคนต้องมาช่วยหยุดยั้งไม่ให้ฆ่า Dr.Trask สำเร็จจะได้ไม่โดนจับตัวไป ในภาคนี้จะบอกว่าเธอเป็นนางเอกก็ไม่ผิดเพราะเด่นมากแถมยังมีคนที่รักเธออยู่หลายคนเลยทั้งชาร์ล แฮงค์หรือแม้แต่อีริคเอง และยังเป็นที่ต้องการตัวของทุกคน    



         เมื่อมาดูที่ความสามารถของเธอเทียบกับความสามารถของเซนติเนลที่เปลี่ยนความสามารถเพื่อสู้กับ Mutant กลับทำให้ผมนึกถึงโร้กในเวอร์ชั่นหุ่นยนต์มากกว่าอีก เพราะมิสทีคแค่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาแต่ไม่ได้รวมถึงพลังความสามารถ จึงดูไม่เข้าเค้ากับการที่จะเอาเลือดของเธอไปพัฒนาเซนติเนล แต่ถ้าเรามองข้ามจุดนี้ไปเอาแค่อรรถรสก็พอจะลืมๆจุดนี้ไปได้



         Wolverine พระเอกของเรื่อง(มั้ง) ในภาคนี้กรงเล็บก็เป็นกรงเล็บธรรมดายังไม่เคลือบอดาเมนเทียมจึงทำให้ดูอ่อนแอไม่ต่างจากภาคที่แล้วแต่ก็ถือเป็นข้อดีและมีจุดให้ขำอยู่บ้างทั้งฉากที่คุยกับอีริค (อารมณ์เหมือนแต่ก่อนชั้นไม่เคยสู้แกได้เลยนะเพราะแกควบคุมโลหะในตัวชั้นได้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว 555)และขำอีกตอนคือฉากที่เดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธแล้วเสียงไม่ดังจนพี่วูฟเองต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจเพราะยังไม่ชิน(แต่ก่อนดังตลอดทำไงได้)



         โดยภาพรวมวูฟเวอรีนในภาคนี้เป็นแค่ตัวเอกไม่ได้เป็นถึงขั้นพระเอกเหมือนตอนภาคก่อนๆ เป็นเหมือนผู้นำทางให้เหล่า First class ดังนั้นฉากที่ถูกซัดลอยไปไกลจนจมน้ำหายไปเลยตอนท้ายเรื่องเหมือนเป็นการบอกกลายๆว่าหมดหน้าที่เอ็งละ นี่เป็นหน้าที่ของรุ่นชั้นว่ะ สรุปถ้าจะบอกว่าไม่ว่าจะกี่ปี วูฟเวอรีนก็สู้เม็กนีโต้ไม่ได้ก็คงจะไม่ผิด



         เรื่องของตัวละครใหม่ที่เพิ่มมาตัวเด่นๆเห็นจะเป็น Quicksilver ที่เร็วขั้นเทพ มาพร้อมกับบุคลิกกวนโอ๊ย สร้างสีสันให้ภาคนี้ได้มากทีเดียวโดยเฉพาะฉากในห้องครัวที่วิ่งไต่กำแพงใส่หูฟังพร้อมกับโจมตีตำรวจกลุ่มนั้นไปด้วย ถือเป็นฉากโชว์พลังของควิกซิลเวอร์แท้ๆ ( แม้ความเร็วจะน้องๆ Flash ก็เถอะ แถมดูเหมือนเกือบจะหยุดเวลาได้ ดูเว่อร์ซะ ) แต่ก็มีข้อสงสัยอยู่นิดนึงว่าความเร็วระดับนั้นเพลงที่ฟังคงต้องปรับให้เร็วมากๆพอกับความเร็วระดับนั้น ( โอ้ แม่เจ้า!!!!) ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ยากมาก คิดว่าเค้าคงจะไม่คิดถึงจุดนี้ คงจะใส่มาเพื่ออรรถรสของหนังซะมากกว่า



         ส่วนตัวละครที่โผล่มาต้นเรื่องทั้ง Bishop Iceman Colossus Sunspot Blink Warpath ก็ถือว่ากระจายบทได้ดีเหมือนเป็นการบอกความสามารถของเซนติเนลผ่านการต่อสู้ของทั้ง Iceman และ Sunspot (สู้กับ Iceman เซนติเนลแปลงร่างกายเป็นไฟ สู้กับ Sunspot เซนติเนลแปลงร่างกายเป็นน้ำแข็ง) ติดใจแต่ Warpath แค่ตัวเดียวที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามีพลังอะไร ตัวผมเองตีความหลังจากดูเองว่าคงเป็นประสาทสัมผัสดีกว่าปกติจากฉากที่ ตะโกนบอกว่า เซนติเนลห่างจากจุดที่อยู่เท่าไหร่แต่เมื่อไปอ่านข้อมูลของตัวละครตัวนี้ก็เสียดายที่หนังทำให้คนดูมองตัวละครตัวนี้อ่อนแอไปเลย



         ฉากที่ตัวละครแต่ละตัวในยุคอนาคตต่อสู้กับเซนติเนลและทยอยตายไปทีละตัวเริ่มจาก Strom ที่ตายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนมาถึงอีริค และกำลังจะถึงชาร์ล ถือเป็นจุดที่บีบคั้นอารมณ์ให้ลุ้นตามไปด้วย ( แม้จะรู้ว่ายังไงวูฟเวอร์รีนก็เปลี่ยนอดีตได้แต่ก็ทำให้คนดูเสียววาบ )



         จากภาพรวมของทั้งเรื่องถือว่าทำออกมาได้ดี ชอบในเรื่องการกระจายบทของหนังที่ทำให้ทุกตัวละครได้โชว์ศักยภาพและไม่แย่งกันเกินไปหรือเด่นแค่ตัวใดตัวหนึ่ง การเล่าเรื่องผ่านเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์และConflictของตัวละคร เรื่องนี้ผมให้ 9 เต็ม 10 ครับ



#เกร็ดจากหนัง

- JFK มีพลังในการโน้มน้าวจิตใจแบบอ่อนๆ
- กระสุนที่ฆ่า JFK เป็นกระสุนวิถีโค้งตามที่ชาร์ลบอกจึงพุ่งเป้ามาที่อีริคว่าเป็นคนฆ่า ในฉากนี้ทำให้นึกถึงกระสุนโค้งได้ในหนังเรื่อง Wanted ที่ James McAvoy แสดง
- Jean Gray ผมสีแดงตอนก่อนจบ เป็นไปได้ว่าเธออาจควบคุม Phoenix ในตัวเองได้แล้ว
- คนที่รู้เรื่องที่วูฟเวอรีนมาจากอนาคตคงมีเพียง ชาร์ล อีริคและแฮงค์เพราะในตอนจบชาร์ลยินดีที่วูฟเวอรีนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเล่าเรื่องหลังจากนั้น



#ข้อสงสัย

- wolverine จะได้ใส่อดาเมนเทียมอีกหรือไม่หลังช่วง Day of future past เพราะคนที่เอาพี่วูฟขึ้นจากน้ำคือ เรเวนในร่างสไตรเกอร์ (สังเกตจากตาสีเหลือง)
- ช่วงที่ถูกเอาขึ้นจากน้ำ ความคิด ความจำจะต่อจากเดิมหรือความจำเสื่อมเหมือนก่อนจะมาจากอนาคต
- ติดตามชมและหวังว่าคงได้รับเฉลยใน The wolverine 2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่