พอดีชอบดูหนังแนวสยองขวัญ บวกกับวันนี้ว่างทั้งวันจึงไปดูหนังพักผ่อนครับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้แบ่งเป็น 3 เรื่องย่อยซึ่งทำคล้ายๆกับภาพยนตร์เรื่อง 4แพร่ง และ 5แพร่ง
ผม Spoil กลวิธีการดำเนินเรื่องบวกกับรายละเอียดนิดหน่อยนะครับแต่จะไม่สปอยล์เนื้อเรื่อง
Part 1 "Green Sonata"
เริ่มเรื่องไปได้ 10นาที นึกว่ามาดูผิดเรื่องหรือเปล่า เพราะพาร์ทนี้เป็นหนังเรต R ทั้งเรื่องเลย
ซึ่งการทำหนังเรต R กับหนังแนวสยองขวัญมารวมกัน ผมว่ามันเป็นสมการที่ลงตัวนะ มันทำให้มีอะไรที่น่าติดตามมากขึ้น
แต่ก้ต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะหนังในพาร์ทนี้จะเน้นไปที่เรตR พิศวาสกันทั้งเรื่อง จะมีฉากสยองขวัญเพียงแค่ฉากเดียวในตอนจบเท่านั้น
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 8/10 ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ไปอย่างเนิบๆ มีความน่าติดตามถึงเหตุการณ์ในทุกๆฉาก แต่พอดูจบแล้วก้ยังไม่ได้เกิดความรุ้สึกประทับใจ หนังจะไปสนุกเพราะเน้นทางเรตR มากกว่า เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และการตัดสินใจของตัวละครแต่ละตัว
Part 2 "17.00น.
หนังเริ่มเรื่องมาแบบเปลี่ยนรสชาติ คือเพิ่มความฮาของนักแสดงนำอย่าง บีม กวี มากขึ้น แต่ไม่เลย คือบีมเล่นได้ดีนะครับ แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่บทมากกว่า ในตอนนี้จะใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญหลายๆเรื่อง คือเล่าเหตุการณ์ปัจจุบันก่อน แล้วจึงค่อยเล่าเหตุการณ์ในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 5/10 หนังพยายามทำให้เเราสนุกแบบหักมุมนิดๆในตอนท้ายแต่มันยังไม่สุด รู้สึกว่ามันคิดแบบง่ายๆไปหน่อย ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ปมบางอย่างก้ไม่ได้แก้ ไม่ได้ให้เราเอากลับไปคิด แต่เกิดความงงและไม่เข้าใจ ประกอบกับความพยายามที่จะ "ฮา" แต่ก้ไม่ฮาเท่าไหร่
Part 3 "Honey Moon Suite"
Part นี้นำแสดงโดย พิงกี้ สาวิกา การเล่าเรื่องในตอนแรกเยิ่นเย้อมากกกกกก มีการหักมุมในตอนจบซึ่งมันสนุกก้จริง แต่มันเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ ทำให้มันน่าตื่นเต้นน้อยลง
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 7/10 ผมหักคะแนนในความเยิ่นเย้อไปหน่อย แต่ก้ได้คะแนนมาจากการใช้เทคนิคหักมุมบ้าง รวมทั้งตัวประกอบก้เล่นได้ค่อนข้างดี
สรุปหนังเรื่องนี้ผมให้คะแนน 6/10 บอกตามตรงด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่าไม่ปลื้มเท่าไหร่
เพราะหนังไม่ค่อยเข้าคอนเซ็ปต์กับชื่อเรื่องที่ว่า The Room ห้อง หลอก หลอน เท่าไหร่
และการแบ่งเป็นพาร์ทๆแบบนี้เหมือนกับหนัง 4แพร่ง 5แพร่ง มันทำให้เราคิดตอนแรกว่ามันจะต้องสนุก
แต่หนังเรื่องนี้จะแตกต่างกับ 4แพร่ง 5แพร่ง ค่อนข้างมาก
The Room ใช้การเล่าเรื่องเริ่มต้นเพื่อบรรยายค่อนข้างยาว เยิ่นเย้อ และใช้เหตุการณ์ที่เล่ามาปิดสรุปในตอนจบได้ไม่ค่อยประทับใจ
ส่วน 4แพร่ง 5แพร่ง ใช้การเล่าเรื่องเริ่มต้นเพื่อบรรยายไม่ได้นานเท่าไหร่ แต่กลับใช้เหตุการณ์ตรงนั้นดำเนินเรื่องไปอย่างสนุกและในตอนจบก้ทำได้ดี
[CR] วิจารณ์ภาพยนตร์ เรื่อง The Room ห้อง หลอก หลอน [ไม่Spoilเนื้อเรื่อง]
ภาพยนตร์เรื่องนี้แบ่งเป็น 3 เรื่องย่อยซึ่งทำคล้ายๆกับภาพยนตร์เรื่อง 4แพร่ง และ 5แพร่ง
ผม Spoil กลวิธีการดำเนินเรื่องบวกกับรายละเอียดนิดหน่อยนะครับแต่จะไม่สปอยล์เนื้อเรื่อง
Part 1 "Green Sonata"
เริ่มเรื่องไปได้ 10นาที นึกว่ามาดูผิดเรื่องหรือเปล่า เพราะพาร์ทนี้เป็นหนังเรต R ทั้งเรื่องเลย
ซึ่งการทำหนังเรต R กับหนังแนวสยองขวัญมารวมกัน ผมว่ามันเป็นสมการที่ลงตัวนะ มันทำให้มีอะไรที่น่าติดตามมากขึ้น
แต่ก้ต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะหนังในพาร์ทนี้จะเน้นไปที่เรตR พิศวาสกันทั้งเรื่อง จะมีฉากสยองขวัญเพียงแค่ฉากเดียวในตอนจบเท่านั้น
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 8/10 ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ไปอย่างเนิบๆ มีความน่าติดตามถึงเหตุการณ์ในทุกๆฉาก แต่พอดูจบแล้วก้ยังไม่ได้เกิดความรุ้สึกประทับใจ หนังจะไปสนุกเพราะเน้นทางเรตR มากกว่า เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และการตัดสินใจของตัวละครแต่ละตัว
Part 2 "17.00น.
หนังเริ่มเรื่องมาแบบเปลี่ยนรสชาติ คือเพิ่มความฮาของนักแสดงนำอย่าง บีม กวี มากขึ้น แต่ไม่เลย คือบีมเล่นได้ดีนะครับ แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่บทมากกว่า ในตอนนี้จะใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญหลายๆเรื่อง คือเล่าเหตุการณ์ปัจจุบันก่อน แล้วจึงค่อยเล่าเหตุการณ์ในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 5/10 หนังพยายามทำให้เเราสนุกแบบหักมุมนิดๆในตอนท้ายแต่มันยังไม่สุด รู้สึกว่ามันคิดแบบง่ายๆไปหน่อย ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ปมบางอย่างก้ไม่ได้แก้ ไม่ได้ให้เราเอากลับไปคิด แต่เกิดความงงและไม่เข้าใจ ประกอบกับความพยายามที่จะ "ฮา" แต่ก้ไม่ฮาเท่าไหร่
Part 3 "Honey Moon Suite"
Part นี้นำแสดงโดย พิงกี้ สาวิกา การเล่าเรื่องในตอนแรกเยิ่นเย้อมากกกกกก มีการหักมุมในตอนจบซึ่งมันสนุกก้จริง แต่มันเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ ทำให้มันน่าตื่นเต้นน้อยลง
ใน Part นี้ผมให้คะแนน 7/10 ผมหักคะแนนในความเยิ่นเย้อไปหน่อย แต่ก้ได้คะแนนมาจากการใช้เทคนิคหักมุมบ้าง รวมทั้งตัวประกอบก้เล่นได้ค่อนข้างดี
สรุปหนังเรื่องนี้ผมให้คะแนน 6/10 บอกตามตรงด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่าไม่ปลื้มเท่าไหร่
เพราะหนังไม่ค่อยเข้าคอนเซ็ปต์กับชื่อเรื่องที่ว่า The Room ห้อง หลอก หลอน เท่าไหร่
และการแบ่งเป็นพาร์ทๆแบบนี้เหมือนกับหนัง 4แพร่ง 5แพร่ง มันทำให้เราคิดตอนแรกว่ามันจะต้องสนุก
แต่หนังเรื่องนี้จะแตกต่างกับ 4แพร่ง 5แพร่ง ค่อนข้างมาก
The Room ใช้การเล่าเรื่องเริ่มต้นเพื่อบรรยายค่อนข้างยาว เยิ่นเย้อ และใช้เหตุการณ์ที่เล่ามาปิดสรุปในตอนจบได้ไม่ค่อยประทับใจ
ส่วน 4แพร่ง 5แพร่ง ใช้การเล่าเรื่องเริ่มต้นเพื่อบรรยายไม่ได้นานเท่าไหร่ แต่กลับใช้เหตุการณ์ตรงนั้นดำเนินเรื่องไปอย่างสนุกและในตอนจบก้ทำได้ดี