Edge of Tomorrow (2014)
หนังจากรู้สึกว่าแอ็คชั่น blockbuster ปีนี้ต่างจัดแอ็คชั่นมากระปริบกระปรอยเสียเหลือเกิน (X-Men เด็ดแค่ตอนสู้เซนทิเนล, Godzilla มาเต็มแค่ช่วงท้าย, CA แทบหลับ, Spider-Man ก็เน้น visual effects มากกว่า) มารู้สึกอิ่มจาก Edge of Tomorrow เนี่ยแหละครับ ขอมอบรางวัล The best blockbuster movies of 2014 ให้เลยครับ
โลกกำลังทำสงครามรับมือการจู่โจมจาก 'มิมิค' ศัตรูจากต่างดาว, 'ผู้พันเคจ' (Tom Cruise) นายทหารประชาสัมพันธ์ผู้ไม่เคยออกรบถูกจับลดยศไปเป็นพลทหารออกศึกแถวหน้า ซึ่งเขาเสียชีวิตทันทีในการออกรบครั้งแรก แต่แล้วเขากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเดิมเป็นลูป หลังจากวนลูปอยู่หลายครั้งเขาก็ได้เข้าช่วยเหลือ 'ริต้า' (Emily Blunt) ทหารหญิงจากหน่วยรบพิเศษผู้เคยชนะศึกที่เวอร์ดัน ซึ่งเธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการเอาชนะสงคราม และที่สำคัญคือเธอเคยมีความสามารถในการ reset เวลาเหมือนกับเคจ!! เธอได้กลายมาเป็นครูสอนให้เคจออกรบและหาวิธีใช้ความสามารถในการ reset เวลาปราบศัตรูจากต่างดาว
1.
The best blockbuster movies of 2014
ขอมอบรางวัลหนัง blockbuster ยอดเยี่ยมของปีนี้ให้เลยครับ มันมีองค์ประกอบของความเป็นหนัง blockbuster ครบถ้วนตั้งแต่นักแสดงนำระดับ movie stars ที่ผู้ชมรู้จักวงกว้าง, พล็อตหนังไม่ซับซ้อน เข้าใจได้ไม่ยาก, เดินเรื่องด้วยการมอบภารกิจให้ตัวละครทำให้สำเร็จ โดยมีองค์ประกอบคือต้องให้คนดูเอาใจช่วย, อารมณ์ขันกำลังดี และที่สำคัญคือมีฉากแอ็คชั่นเอาใจตลาด ซึ่ง Edge of Tomorrow นำเสนอทั้งหมดนี้ได้อย่างสวยงาม ตอบโจทย์ความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม
2.
"Groundhog Day" ver. action-thriller
หากนึกถึงหนังที่ใช้ลูกเล่น 'วนลูปซ้ำ' เท่าที่ผมนึกออกก็มี Groundhog Day ซึ่งหยิบลูกเล่นลูปมาใช้เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้พัฒนานิสัยตัวละคร, Run Lola Run เล่าเหตุการณ์เดิม 3 รูปแบบ 3 ผลลัพธ์, Source Code หนัง sci-fi ที่ใช้ลูกเล่นย้อนเวลาไปยังจุดเดิมได้ 8 นาทีแบบวนลูปซ้ำ ซึ่งทั้งสามเรื่องก็สามารถดึงประโยชน์จากการวนลูปซ้ำมาใช้เดินเรื่องได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ Edge of Tomorrow ที่ใส่พล็อตให้ตัวเอกแก้ไขข้อผิดพลาดจากการวนลูปซ้ำโดยมีเป้าหมายคือการเดินทางไปปราบตัวแม่ของศัตรู
3.
เดินเรื่องรวดเร็วแม่นยำด้วยการใช้ประโยชน์ของลูกเล่น 'loop-repeat'
แม้ว่าหนังจะเริ่มเรื่องรวดเร็วจนคนดูแบบผมแอบตกใจเล็กน้อยถึงที่มาที่ไป ฮ่าๆ แต่หลังจากเข้าสู่ลูกเล่น 'ลูปซ้ำ' นี่ต้องขอชมเลยครับว่าเขาใช้ประโยชน์ของลูปซ้ำได้คุ้มมาก การข้ามตอนซ้ำเพื่อเดินเรื่องไปข้างหน้า การโผล่ข้ามลูป มุกตลกในช่วงที่หนังผ่อนคันเร่ง (หลายฉากนี่ฮาแบบไม่ทันตั้งตัว) และที่สำคัญที่ทำให้น่าติดตามก็คือ 'หนังเดินหน้าไปไกลขึ้นในทุกลูป'
4.
ความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร
ต้องขอชมการเขียนบทสักนิดที่ให้เคจค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองแทบจะในทุกลูป (character development) เราสังเกตได้เลยจากนายทหารประชาสัมพันธ์บุคลิกขี้เล่นอารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน เมื่อเจอลูปบ่อย ๆ ก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากนายทหารธรรมดากลายเป็นผู้นำภารกิจที่มีเป้าหมายหลังจากรู้จักริต้า ความเปลี่ยนแปลงยังคงอยู่แม้กระทั่งในช่วงความผูกพันที่เขามีต่อริต้า ซึ่งต้องชมการแสดงของทอม ครูซที่เข้าถึงในแต่ละช่วงลูปได้อย่างดีครับ
5.
ทอม ครูซคือ Action Stars คนโปรดของผม
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มยุค 2000s เป็นต้นมา ทอม ครูซจะหันมาเอาดีในการเป็นนักแสดงหนังแอ็คชั่น blockbuster แม้ว่าช่วงหลังจะเฟลขาดทุนไปหลายงานตั้งแต่ Knight and Day, Jack Reacher แม้กระทั่ง Oblivion แต่อย่างไรก็ตามผมยังคงไว้ใจชื่อชั้นทอม ครูซว่ามีความสามารถที่จะแบกหนังคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
หากพูดกันแบบไม่ดูเรื่องรายรับกำไร-ขาดทุน ผมชื่นชอบการแสดงของทอม ครูซในหนังประเภทนี้มาตลอด ตั้งแต่ Mission: Impossible ทุกภาค, ฉายเดี่ยว War of the Worlds, Minority Report, Valkyrie, The Last Samurai, Oblivion พวกนี้คือมาดพี่แกหล่อเท่มีเสน่ห์ชวนติดตาม แม้กระทั่งไปเล่นหนังดราม่ามาดขรึมอย่าง Collateral ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นตัวเอง แล้วยิ่งใน Edge of Tomorrow เหมือนเป็นการการันตีว่าตูก็เหมือนเดิมน่ะแหละ แต่หนังใหญ่สองเรื่องหลังจาก MI:4 มันทะลึ่งแป้กเอง ฮ่าๆๆ
6.
แอ็คชั่นเยอะแต่ไม่ว้าว
หากถามว่า Edge of Tomorrow มีฉากแอ็คชั่นเยอะไหม ผมตอบเลยว่าเยอะ แต่พอถามว่ามีฉากไหนน่าจดจำบ้าง ผมกลับนึกไม่ออกแฮะ คือหนังทำฉากแอ็คชั่นออกมาได้ดีแหละ ทั้งการดีไซน์ชุด, การออกแบบอาวุธ, ฉากโดดร่มลงสมรภูมิ แต่มันอยู่ในลักษณะของดี สร้างความตื่นเต้นได้ตามมาตรฐานแต่ไม่ได้ว้าวอะไรเมื่อเทียบกับหนัง blockbuster ปีเดียวกันอย่าง X-Men ที่ผมว้าวกับฉากเปิดเรื่องที่สู้กับเซนทิเนล หรือการต่อสู้ระหว่างก๊อดซิลล่ากับมูโต้แบบดิบ ๆ ที่ได้อิทธิพลจากการปะทะกันของสัตว์ป่าใน Godzilla ซึ่งทั้งสองฉากนี้มันน่าจดจำกว่า ส่วน Edge of Tomorrow เยอะแต่ไม่ว้าว
โดยรวมแล้ว Edge of Tomorrow อาจจะไม่ใช่ผลงาน sci-fi action/thriller ที่ถูกจดจำในฐานะหนัง sci-fi (เหมือนอย่าง Source Code, Oblivion) แต่มันจะถูกจดจำในฐานะหนังแอ็คชั่นที่สร้างความบันเทิงได้เป็นอย่างดีอีกเรื่องแน่นอนครับ
--
Live, Die, Repeat
Director: Doug Liman
novel "All You Need Is Kill" by: Hiroshi Sakurazaka
Screenplay: Christopher McQuarrie, Jez Butterworth, John-Henry Butterworth
Genre: Action, Sci-fi
8/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า:
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms (ช่วงนี้กำลังแชร์หนังสั้นทุกวัน ติดตามกันได้เลยนะครับ ที่แท็ก #หนังสั้นโปรดของข้าพเจ้า)
ขอมอบรางวัล 'The best blockbuster movies of 2014' ให้แก่ Edge of Tomorrow ครับ
หนังจากรู้สึกว่าแอ็คชั่น blockbuster ปีนี้ต่างจัดแอ็คชั่นมากระปริบกระปรอยเสียเหลือเกิน (X-Men เด็ดแค่ตอนสู้เซนทิเนล, Godzilla มาเต็มแค่ช่วงท้าย, CA แทบหลับ, Spider-Man ก็เน้น visual effects มากกว่า) มารู้สึกอิ่มจาก Edge of Tomorrow เนี่ยแหละครับ ขอมอบรางวัล The best blockbuster movies of 2014 ให้เลยครับ
โลกกำลังทำสงครามรับมือการจู่โจมจาก 'มิมิค' ศัตรูจากต่างดาว, 'ผู้พันเคจ' (Tom Cruise) นายทหารประชาสัมพันธ์ผู้ไม่เคยออกรบถูกจับลดยศไปเป็นพลทหารออกศึกแถวหน้า ซึ่งเขาเสียชีวิตทันทีในการออกรบครั้งแรก แต่แล้วเขากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเดิมเป็นลูป หลังจากวนลูปอยู่หลายครั้งเขาก็ได้เข้าช่วยเหลือ 'ริต้า' (Emily Blunt) ทหารหญิงจากหน่วยรบพิเศษผู้เคยชนะศึกที่เวอร์ดัน ซึ่งเธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการเอาชนะสงคราม และที่สำคัญคือเธอเคยมีความสามารถในการ reset เวลาเหมือนกับเคจ!! เธอได้กลายมาเป็นครูสอนให้เคจออกรบและหาวิธีใช้ความสามารถในการ reset เวลาปราบศัตรูจากต่างดาว
1. The best blockbuster movies of 2014
ขอมอบรางวัลหนัง blockbuster ยอดเยี่ยมของปีนี้ให้เลยครับ มันมีองค์ประกอบของความเป็นหนัง blockbuster ครบถ้วนตั้งแต่นักแสดงนำระดับ movie stars ที่ผู้ชมรู้จักวงกว้าง, พล็อตหนังไม่ซับซ้อน เข้าใจได้ไม่ยาก, เดินเรื่องด้วยการมอบภารกิจให้ตัวละครทำให้สำเร็จ โดยมีองค์ประกอบคือต้องให้คนดูเอาใจช่วย, อารมณ์ขันกำลังดี และที่สำคัญคือมีฉากแอ็คชั่นเอาใจตลาด ซึ่ง Edge of Tomorrow นำเสนอทั้งหมดนี้ได้อย่างสวยงาม ตอบโจทย์ความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม
2. "Groundhog Day" ver. action-thriller
หากนึกถึงหนังที่ใช้ลูกเล่น 'วนลูปซ้ำ' เท่าที่ผมนึกออกก็มี Groundhog Day ซึ่งหยิบลูกเล่นลูปมาใช้เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้พัฒนานิสัยตัวละคร, Run Lola Run เล่าเหตุการณ์เดิม 3 รูปแบบ 3 ผลลัพธ์, Source Code หนัง sci-fi ที่ใช้ลูกเล่นย้อนเวลาไปยังจุดเดิมได้ 8 นาทีแบบวนลูปซ้ำ ซึ่งทั้งสามเรื่องก็สามารถดึงประโยชน์จากการวนลูปซ้ำมาใช้เดินเรื่องได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ Edge of Tomorrow ที่ใส่พล็อตให้ตัวเอกแก้ไขข้อผิดพลาดจากการวนลูปซ้ำโดยมีเป้าหมายคือการเดินทางไปปราบตัวแม่ของศัตรู
3. เดินเรื่องรวดเร็วแม่นยำด้วยการใช้ประโยชน์ของลูกเล่น 'loop-repeat'
แม้ว่าหนังจะเริ่มเรื่องรวดเร็วจนคนดูแบบผมแอบตกใจเล็กน้อยถึงที่มาที่ไป ฮ่าๆ แต่หลังจากเข้าสู่ลูกเล่น 'ลูปซ้ำ' นี่ต้องขอชมเลยครับว่าเขาใช้ประโยชน์ของลูปซ้ำได้คุ้มมาก การข้ามตอนซ้ำเพื่อเดินเรื่องไปข้างหน้า การโผล่ข้ามลูป มุกตลกในช่วงที่หนังผ่อนคันเร่ง (หลายฉากนี่ฮาแบบไม่ทันตั้งตัว) และที่สำคัญที่ทำให้น่าติดตามก็คือ 'หนังเดินหน้าไปไกลขึ้นในทุกลูป'
4. ความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร
ต้องขอชมการเขียนบทสักนิดที่ให้เคจค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองแทบจะในทุกลูป (character development) เราสังเกตได้เลยจากนายทหารประชาสัมพันธ์บุคลิกขี้เล่นอารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน เมื่อเจอลูปบ่อย ๆ ก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากนายทหารธรรมดากลายเป็นผู้นำภารกิจที่มีเป้าหมายหลังจากรู้จักริต้า ความเปลี่ยนแปลงยังคงอยู่แม้กระทั่งในช่วงความผูกพันที่เขามีต่อริต้า ซึ่งต้องชมการแสดงของทอม ครูซที่เข้าถึงในแต่ละช่วงลูปได้อย่างดีครับ
5. ทอม ครูซคือ Action Stars คนโปรดของผม
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มยุค 2000s เป็นต้นมา ทอม ครูซจะหันมาเอาดีในการเป็นนักแสดงหนังแอ็คชั่น blockbuster แม้ว่าช่วงหลังจะเฟลขาดทุนไปหลายงานตั้งแต่ Knight and Day, Jack Reacher แม้กระทั่ง Oblivion แต่อย่างไรก็ตามผมยังคงไว้ใจชื่อชั้นทอม ครูซว่ามีความสามารถที่จะแบกหนังคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
หากพูดกันแบบไม่ดูเรื่องรายรับกำไร-ขาดทุน ผมชื่นชอบการแสดงของทอม ครูซในหนังประเภทนี้มาตลอด ตั้งแต่ Mission: Impossible ทุกภาค, ฉายเดี่ยว War of the Worlds, Minority Report, Valkyrie, The Last Samurai, Oblivion พวกนี้คือมาดพี่แกหล่อเท่มีเสน่ห์ชวนติดตาม แม้กระทั่งไปเล่นหนังดราม่ามาดขรึมอย่าง Collateral ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นตัวเอง แล้วยิ่งใน Edge of Tomorrow เหมือนเป็นการการันตีว่าตูก็เหมือนเดิมน่ะแหละ แต่หนังใหญ่สองเรื่องหลังจาก MI:4 มันทะลึ่งแป้กเอง ฮ่าๆๆ
6. แอ็คชั่นเยอะแต่ไม่ว้าว
หากถามว่า Edge of Tomorrow มีฉากแอ็คชั่นเยอะไหม ผมตอบเลยว่าเยอะ แต่พอถามว่ามีฉากไหนน่าจดจำบ้าง ผมกลับนึกไม่ออกแฮะ คือหนังทำฉากแอ็คชั่นออกมาได้ดีแหละ ทั้งการดีไซน์ชุด, การออกแบบอาวุธ, ฉากโดดร่มลงสมรภูมิ แต่มันอยู่ในลักษณะของดี สร้างความตื่นเต้นได้ตามมาตรฐานแต่ไม่ได้ว้าวอะไรเมื่อเทียบกับหนัง blockbuster ปีเดียวกันอย่าง X-Men ที่ผมว้าวกับฉากเปิดเรื่องที่สู้กับเซนทิเนล หรือการต่อสู้ระหว่างก๊อดซิลล่ากับมูโต้แบบดิบ ๆ ที่ได้อิทธิพลจากการปะทะกันของสัตว์ป่าใน Godzilla ซึ่งทั้งสองฉากนี้มันน่าจดจำกว่า ส่วน Edge of Tomorrow เยอะแต่ไม่ว้าว
โดยรวมแล้ว Edge of Tomorrow อาจจะไม่ใช่ผลงาน sci-fi action/thriller ที่ถูกจดจำในฐานะหนัง sci-fi (เหมือนอย่าง Source Code, Oblivion) แต่มันจะถูกจดจำในฐานะหนังแอ็คชั่นที่สร้างความบันเทิงได้เป็นอย่างดีอีกเรื่องแน่นอนครับ
-- Live, Die, Repeat
Director: Doug Liman
novel "All You Need Is Kill" by: Hiroshi Sakurazaka
Screenplay: Christopher McQuarrie, Jez Butterworth, John-Henry Butterworth
Genre: Action, Sci-fi
8/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms (ช่วงนี้กำลังแชร์หนังสั้นทุกวัน ติดตามกันได้เลยนะครับ ที่แท็ก #หนังสั้นโปรดของข้าพเจ้า)