Delay Review ให้กับความงดงามของชีวิตนาย Walter Mitty(2013)

กระทู้สนทนา
“To see things thousands of miles away,
things hidden behind walls and within rooms,
things dangerous to come to, to draw closer,
to see and be amazed and to feel that is the purpose of life.”

The secret life of Walter Mitty (2013)
(เปิดเพลงป๋าโบวี้ประกอบการอ่านจะจ้าบมาก)

ปีที่แล้วเคยให้ 10/10 กับ Gravity จากความสมบูรณ์ของสารและการใช้ภาษาภาพยนต์เพื่อสื่อ (มาตอนนี้ขอลดเหลือ 9 นิด ๆ/10 เพราะบางอย่างที่คิดว่า overrated เกินไป จากกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/31104590 ) เพิ่งได้ชม The secret life of Walter Mitty แม้จะไม่คิดว่าเป็นหนังที่ epic อย่าง Gravity แต่นี่คือหนังที่ "อิ่ม" ที่สุดของปีที่แล้ว

Ben Stiller สร้างชื่อจากนักแสดงตลกที่ผมไม่ค่อยจะชื่นชอบนักกับหนักแต่ละเรื่องของเขา แต่การมากำกับหนังอย่าง Tropic Thunder นั่นกลับทำได้อย่างน่าชื่นชม และมาถึงเรื่องนี้ พูดได้เลยว่า เขาสามารถคุมหนังและสื่อสารของหนังได้เต็มอิ่มไม่ขาดไม่เกินเลยสักนิด (โดยต้องให้เครดิตบทอันน่าประทับใจของ Steve Conrad ด้วย)

สารของหนังก็อยู่ที่ motto ข้างต้นของนิตยสาร Life ที่หนังนำมาล้อเลียน การตามรูปที่หายไปของนิตยสาร กับการตามหาส่วนที่หายไปในชีวิตตัวเอก

พล้อตที่แสนจะง่าย แต่เมื่ออยู่ในมือคนปรุงที่ดี ก็สามารถทำให้หนังสนุกและน่าประทับใจ โดยเฉพาะประเด็นที่ดูตีแสกหน้าคนในปัจจุบันได้อย่างดี (ความดีงามของหนังมีมากเกินกว่าจะเขียนได้ในเนื้อที่จำกัด จึงของวิเคราะห์ผ่านสามตัวละครหลัก)

การที่เราก้มหน้าทำตามสิ่งที่สังคมกำหนดโดยค่อย ๆ ห่างความฝันของตนไปจนหลงลืมมัน บ้างอาจไม่รู้จักตัวเองหรือคิดจะฝัน บ้างอาจต้องทำเพราะเงื่อนไขความรับผิดชอบ เช่นพระเอกของเรื่อง ที่ต้องสละความขบถของตัวเองมารับผิดชอบครอบครัวเมื่อพ่อตายลง

ถ้า Clooney คือ สถานะพระเจ้าของนางเอกเรื่อง Gravity, Sean Penn ก็เป็นสถานะพระเจ้าของพระเอกเรื่องนี้ และคนดูเช่นกัน

นอกจากเขาจะเป็นเงื่อนไขในเรื่องที่ทำให้พระเอกได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาแล้ว ทุกประโยคที่เขาสื่อมายังตีแสกหน้าคนดูได้ช้ดเจน จนต้องหันกลับมามองว่า เรากำลังทำอะไรกับชีวิตให้ไร้แก่นสารอยู่หรือไม่

หนังเริ่มจากการที่พระเอกนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะใส่ให้หน้าสนใจในเว็บหาคู่ ก็ไใ่ต่างจากคนในปัจจุบันที่ต้องพยายามสร้างเรื่องราวของตัวเองเพื่อให้ได้รับความสนใจ แต่ป๋า Sean มาสรุปด้วยประโยคเดียวว่า

"Beautiful things don't ask for attention."

หาก Sean เป็นต้นตอและคำตอบของพระเอก นางเอกของเรื่อง ก็เป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจให้พระเอกออกเดินทางหาคำตอบนั้น

Kristen Wiig ควรได้รับคำชื่นชมกับการแสดงเป็น "คนธรรมดา" ได้อย่างธรรมดาจริง ๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระเอกกล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อตามหาบางอย่าง

และสุดท้าย นาย Walter Mitty ผมชื่นชอบที่เบนกำกับตัวเองและแสดงให้เราเห็นได้ถึงคน ๆ นึงที่อาจไม่ต่างจากเราทุกคน ได้ออกผจญเรื่องราวที่ดูแฟนตาซีแต่ก็ไม่มากเกินกว่าจะยอมรับมาเป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตจริง

ยังไม่นับงานภาพระดับเยี่ยมยอด ดนตรีประกอบที่ส่งเสริมหนังเหลือเกิน และที่ผมชื่นชอบมาก คือสัญลักษณ์เล็ก ๆ จากหนังหลายเรื่อง ที่ดูเบนจะใส่มากเพื่อล้อหนังตัวเองได้คัน ๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือ การเลือกรถเช่าที่เหลือสีแดงกับน้ำเงิน เมื่อพระเอกเลือก สาวก The Matrix อย่างผมก็มั่นใจได้ทันทีว่าการเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่จินตนาการของพระเอกแน่นอน

เอาเป็น หนังเรื่องนี้คือความดีงามให้เรามามองตัวเองว่า วันนี้เรากำลังทำอะไรแก่นสารหลักไม่ใช่เพียงเรื่องเรากล้าพอจะฝันและออกเดินทางตามฝันของเราไหม แต่คือการทำหน้าที่เราต่อผู้อื่นต่างหาก จะเห็นได้ตลอดเรื่อง ไม่ว่าเป็นตัวละครใด ตั้งแต่ แม่ น้องสาว นักบินขี้เมา ชาวประมงชิลี เจ้าของโรงแรม ผู้นำทาง ฯลฯ ไปถึงตัวละครหลักที่กล่าวมา ทุกคนล้วนออกเดินทางไปเพื่อทำหน้าที่ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งนั่นคือการเติมเต็มความหมายและคุณค่าของชีวิต

การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจไม่ใช่การเดินทางตามหาฟิลม์ที่หายไปดังเช่นพระเอก เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งที่เราค้นหาบางทีก็อยู่ในซอกหลืบที่เราหลงลืมจะเห็นมันนั่นเอง


9/10 ให้ความอิ่มเอมนี้กับการเดินทางในชีวิตที่น่าอัศจรรย์นัก

ขอบคุณที่โลกนี้มีหนัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ภาพยนตร์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่