สวัสดีเพื่อนพันทิปครับ ช่วงนี้ประเด็นเรื่องน้ำมันมีการถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับประเทศ จนเห็นได้ว่าน้ำมันนับเป็นปัญหาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดความขัดแย้งทางความคิดในประเทศเราแล้ว แต่สิ่งสำคัญในประเด็นต่างๆนั้นย่อมเป็นข้อมูล วันนี้เจ้าของกระทู้จึงได้นำบทความเรื่อง Highest and Cheapest Gasoline Prices by Country ซึ่งทางBloomberg ได้จัดทำขึ้น มาแปลและเรียบเรียงให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นข้อมูลกันครับ
น้ำมันแพงคำนี้คงเป็นคำที่ชินหูตลอดมาในช่วงหลายๆปีนี้ แต่คำว่าแพงนั้นเป็นคำที่จำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบ ไม่สามารถยกสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วกล่าวว่าแพงได้หากไม่เกิดการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น การเปรียบเทียบนั้นอาจเปรียบเทียบได้กับหลายอย่างอาทิเช่น ราคาสินค้าชนิดเดียวกันกับร้านอื่น, รายได้ของตน, ความยากของการสรรหา นั่นก็ขึ้นกับแต่ละคนจะพิจารณา
น้ำมันก็เช่นกัน เพื่อเติมน้ำมันในถังขนาด 39 แกลลอน(1 แกลลอน มีค่าประมาณ 3.8 ลิตร) ในรถ Chevrolet Suburban ให้เต็ม สำหรับประเทศนอร์เวย์นั้นคิดเป็นราคา $381.81 ในประเทศเวเนซุเอลากลับใช้เงินเพียง $1.56 เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้รถในประเทศอินเดียอาจต้องใช้เงินที่ได้จากการทำงานเกินกว่า 1 วันเพื่อเติมเพียงแค่ 1 แกลลอน จะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ต่างกันในแต่ละประเทศแล้ว สิ่งที่กำหนดความแพงของน้ำมันนั้นมีปัจจัยมาจากรายได้เฉลี่ยของคนในประเทศด้วยเช่นกัน
ในบทความนี้จะแสดงข้อมูลราคาน้ำมันของ61ประเทศซึ่งถูกจัดลำดับด้วยเกณฑ์ 2 อย่าง
1. ราคาน้ำมันซึ่งเฉลี่ยมาจากแต่ละปั้ม (Rank by most expensive gas)
2. Pain at the Pump ซึ่งวัดจากเปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละวันที่จะสามารถนำเอามาซื้อน้ำมัน 1 แกลลอนได้ (Rank by pain at the pump)
ซึ่งตัวผมคงไม่ได้นำเอามาพูดทั้งหมด แต่จะพูดเพียงที่เผมคิดว่าน่าสนใจเท่านั้น ส่วนผู้ใดสนใจจะอ่านบทความเต็มๆซึ่งมีทั้งหมด 61 ประเทศ ก็สามารถติดตามอ่านต่อได้ที่ Credit ด้านล่างกระทู้เลยครับ เอาละ มาเริ่มกันเลย
Chevrolet Suburban
ผมจะเริ่มที่ประเทศที่มีราคาน้ำมันในปั้มที่แพงสุด 3 อันดับแรกของโลกก่อน
Norway
Price per gallon of gasoline: $9.79
Rank by most expensive gas: 1
Rank by pain at the pump: 52 (3.6 percent of a day’s wages)
นอร์เวย์ยังคงรักษาอันดับในเรื่องราคาน้ำมันที่แพงที่สุดในโลกได้อยู่อีกครั้ง โดยประเทศนี้จะไม่มีการนำเงินของประเทศไปใช้ในการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมัน แต่จะนำไปใช้ในการพัฒนาสวัสดิการของประเทศ อาทิเช่น ค่าเล่าเรียนฟรี หรือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่แพงของนอร์เวย์ยังทำให้ประเทศนี้เป็นประเทศที่ Electric Vehicle หรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิง ขายดีที่สุดในโลก ในหลายเดือนในช่วงปี 2013 รถ Tesla’s luxury Model S เป็นรถที่ขายดีที่สุดในประเทศในขณะที่ The Nissan Leaf ก็อยู่ในอันดับต้นๆเช่นกัน
เนื่องจากประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ชาวนอร์เวย์จึงต้องรับเอาราคาน้ำมันที่มีราคาสูงหรือจะเลือกไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงเช่นกัน ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อวันของชาวนอร์เวย์อยู่ที่ $273 ซึ่งจะต้องใช้ 3.6 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน
Netherlands
Price per gallon of gasoline: $9.46
Rank by most expensive gas: 2
Rank by pain at the pump: 39 (6.9 percent of a day’s wages)
เศรษฐกิจของชาวดัตช์พึ่งผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากมาก ด้วย GDP ที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว 1.4 เปอร์เซนต์ ในช่วงควอเตอร์แรกของปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่แพงจึงส่งผลเล็กน้อยต่อรายจ่ายของแต่ละครอบครัว เนื่องจากเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการใช้จักรยานต่อประชากรมากที่สุดในโลก มีแถวของจักรยานที่จอดอยู่มากมายทั้งที่สถานทีรถไฟ สวน หรือพิพิธภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐานมากมายของประเทศที่สนับสนุนการขับขี่จักรยาน อาทิเช่น เลนจักรยาน อุโมงค์ หรือแม้แต่สัญญาณไฟเพื่อให้ผู้ขับขี่จักรยานมีความสะดวก รายได้เฉลี่ยต่อวันของคนทีนี่คือ $136 ซึ่งจะต้องใช้ 6.9 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน
Italy
Price per gallon of gasoline: $9.34
Rank by most expensive gas: 3
Rank by pain at the pump: 32 (9.4 percent of a day’s wages)
อิตาลีกำลังเผชิญความยากลำบากเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดมาอย่างยาวนาน จึงส่งผลโดยตรงกับราคาของน้ำมัน นอกจากนี้ GDP ยังหดตัวลงในช่วงควอเตอร์แรกหลังจากที่มีการเพิ่มขึ้นในควอเตอร์สุดท้ายของปีที่แล้วประมาณ 0.1 เปอร์เซนต์
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นรวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลโดยตรงกับรถชื่อดังที่มีบ้านเกิดในประเทศนี้อย่าง Fiat และ Ferrari รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆในประเทศด้วย(อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบริษัทผลิตรถยนต์จำนวนมาก) ราคาน้ำมันของอิตาลีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้วประมาณ 8.5 เปอร์เซนต์ ส่งผลให้ประเทศนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 ในเรื่องราคาน้ำมันที่มีราคาแพงของโลก โดยรายได้เฉลี่ยนต่อวันของประชากรอิตาลีคือ $99 ซึ่งจะต้องใช้ 9.4 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน
[Pain at the Pump]น้ำมันแพง อย่างไหนถึงเรียกว่าแพง แล้วแต่ละประเทศเป็นอย่างไร มาดูกัน
น้ำมันแพงคำนี้คงเป็นคำที่ชินหูตลอดมาในช่วงหลายๆปีนี้ แต่คำว่าแพงนั้นเป็นคำที่จำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบ ไม่สามารถยกสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมาแล้วกล่าวว่าแพงได้หากไม่เกิดการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น การเปรียบเทียบนั้นอาจเปรียบเทียบได้กับหลายอย่างอาทิเช่น ราคาสินค้าชนิดเดียวกันกับร้านอื่น, รายได้ของตน, ความยากของการสรรหา นั่นก็ขึ้นกับแต่ละคนจะพิจารณา
น้ำมันก็เช่นกัน เพื่อเติมน้ำมันในถังขนาด 39 แกลลอน(1 แกลลอน มีค่าประมาณ 3.8 ลิตร) ในรถ Chevrolet Suburban ให้เต็ม สำหรับประเทศนอร์เวย์นั้นคิดเป็นราคา $381.81 ในประเทศเวเนซุเอลากลับใช้เงินเพียง $1.56 เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้รถในประเทศอินเดียอาจต้องใช้เงินที่ได้จากการทำงานเกินกว่า 1 วันเพื่อเติมเพียงแค่ 1 แกลลอน จะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ต่างกันในแต่ละประเทศแล้ว สิ่งที่กำหนดความแพงของน้ำมันนั้นมีปัจจัยมาจากรายได้เฉลี่ยของคนในประเทศด้วยเช่นกัน
ในบทความนี้จะแสดงข้อมูลราคาน้ำมันของ61ประเทศซึ่งถูกจัดลำดับด้วยเกณฑ์ 2 อย่าง
1. ราคาน้ำมันซึ่งเฉลี่ยมาจากแต่ละปั้ม (Rank by most expensive gas)
2. Pain at the Pump ซึ่งวัดจากเปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละวันที่จะสามารถนำเอามาซื้อน้ำมัน 1 แกลลอนได้ (Rank by pain at the pump)
ซึ่งตัวผมคงไม่ได้นำเอามาพูดทั้งหมด แต่จะพูดเพียงที่เผมคิดว่าน่าสนใจเท่านั้น ส่วนผู้ใดสนใจจะอ่านบทความเต็มๆซึ่งมีทั้งหมด 61 ประเทศ ก็สามารถติดตามอ่านต่อได้ที่ Credit ด้านล่างกระทู้เลยครับ เอาละ มาเริ่มกันเลย
ผมจะเริ่มที่ประเทศที่มีราคาน้ำมันในปั้มที่แพงสุด 3 อันดับแรกของโลกก่อน
Rank by most expensive gas: 1
Rank by pain at the pump: 52 (3.6 percent of a day’s wages)
นอร์เวย์ยังคงรักษาอันดับในเรื่องราคาน้ำมันที่แพงที่สุดในโลกได้อยู่อีกครั้ง โดยประเทศนี้จะไม่มีการนำเงินของประเทศไปใช้ในการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมัน แต่จะนำไปใช้ในการพัฒนาสวัสดิการของประเทศ อาทิเช่น ค่าเล่าเรียนฟรี หรือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่แพงของนอร์เวย์ยังทำให้ประเทศนี้เป็นประเทศที่ Electric Vehicle หรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิง ขายดีที่สุดในโลก ในหลายเดือนในช่วงปี 2013 รถ Tesla’s luxury Model S เป็นรถที่ขายดีที่สุดในประเทศในขณะที่ The Nissan Leaf ก็อยู่ในอันดับต้นๆเช่นกัน
เนื่องจากประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ชาวนอร์เวย์จึงต้องรับเอาราคาน้ำมันที่มีราคาสูงหรือจะเลือกไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงเช่นกัน ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อวันของชาวนอร์เวย์อยู่ที่ $273 ซึ่งจะต้องใช้ 3.6 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน
Rank by most expensive gas: 2
Rank by pain at the pump: 39 (6.9 percent of a day’s wages)
เศรษฐกิจของชาวดัตช์พึ่งผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากมาก ด้วย GDP ที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว 1.4 เปอร์เซนต์ ในช่วงควอเตอร์แรกของปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่แพงจึงส่งผลเล็กน้อยต่อรายจ่ายของแต่ละครอบครัว เนื่องจากเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการใช้จักรยานต่อประชากรมากที่สุดในโลก มีแถวของจักรยานที่จอดอยู่มากมายทั้งที่สถานทีรถไฟ สวน หรือพิพิธภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐานมากมายของประเทศที่สนับสนุนการขับขี่จักรยาน อาทิเช่น เลนจักรยาน อุโมงค์ หรือแม้แต่สัญญาณไฟเพื่อให้ผู้ขับขี่จักรยานมีความสะดวก รายได้เฉลี่ยต่อวันของคนทีนี่คือ $136 ซึ่งจะต้องใช้ 6.9 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน
Rank by most expensive gas: 3
Rank by pain at the pump: 32 (9.4 percent of a day’s wages)
อิตาลีกำลังเผชิญความยากลำบากเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดมาอย่างยาวนาน จึงส่งผลโดยตรงกับราคาของน้ำมัน นอกจากนี้ GDP ยังหดตัวลงในช่วงควอเตอร์แรกหลังจากที่มีการเพิ่มขึ้นในควอเตอร์สุดท้ายของปีที่แล้วประมาณ 0.1 เปอร์เซนต์
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นรวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลโดยตรงกับรถชื่อดังที่มีบ้านเกิดในประเทศนี้อย่าง Fiat และ Ferrari รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆในประเทศด้วย(อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบริษัทผลิตรถยนต์จำนวนมาก) ราคาน้ำมันของอิตาลีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้วประมาณ 8.5 เปอร์เซนต์ ส่งผลให้ประเทศนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 ในเรื่องราคาน้ำมันที่มีราคาแพงของโลก โดยรายได้เฉลี่ยนต่อวันของประชากรอิตาลีคือ $99 ซึ่งจะต้องใช้ 9.4 เปอร์เซนต์ของเงินจำนวนนี้เพื่อจะซื้อน้ำมัน 1 แกลลอน