เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แอปเปิ้ล ได้เปิดตัวเวอร์ชั่นถัดไปของระบบปฏิบัติการบนมือถือ iOS 8 ซึ่งเป็นไปตามคาดที่งานประชุมนักพัฒนา Worldwide Developers Conference ในเมืองซานฟรานซิสโก โดยจะปล่อยตัวเบต้า (สำหรับนักพัฒนา) ออกมาก่อน เริ่มอัพเดตได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนจะปล่อยรุ่นจริงออกมาราวช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงรูปโฉมใหม่หมด สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 7 ผิดกับในปีนี้ที่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง (ทางด้านรูปร่างหน้าตา) มากนัก ซึ่งหลักๆแล้ว จะเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นซะมากกว่า โดยสิ่งที่มาใหม่สำหรับ iOS 8 มีดังนี้
- ระบบการแจ้งเตือน ที่ตอนนี้สามารถทำงานโต้ตอบกันได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ผู้ใช้กำลังฟังเพลงอยู่ สามารถรูดลงบนข้อความที่ปรากฎขึ้นมา (คล้ายๆกับการแจ้งเตือนแบบเลื่อนลง) และเข้าถึงแป้นพิมพ์ เพื่อตอบกลับข้อความจากหน้าแจ้งเตือนได้ในทันที โดยไม่จำเป็นต้องออกจากแอพฯที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น เป็นต้น
- iCloud Drive เป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บไฟล์ คล้ายๆกับ Google Drive หรือ Dropbox โดยรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดจะถูกซิงค์โดยอัตโนมัติกับบัญชี iCloud ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงได้บนทุกๆอุปกรณ์
- การทำงานร่วมกันกับระบบปฏิบัติการเดสก์ทอป OS X Yosemite ซึ่งทำให้การสื่อสารกันข้ามแพลตฟอร์มของแอปเปิ้ล มีความสะดวกราบรื่นมากขึ้น โดยฟีเจอร์อย่าง Handoff ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ที่เริ่มต้นส่งข้อความและอีเมลบนอุปกรณ์ iOS สามารถมองเห็นจดหมายฉบับร่างทันทีบนจอเดสก์ทอป อีกทั้งยังสามารถทำงานบน iPad ได้ดีกับชุดโปรแกรม iWork ด้วย
- รองรับแป้นพิมพ์จากผู้ผลิตภายนอก
- สามารถซื้อสินค้าใน App Store ได้ผ่านทางระบบสแกนลายนิ้วมือ (กว่า 83 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่มีทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแอพฯจากผู้พัฒนาภายนอกด้วย)
- Widgets จากนักพัฒนาอิสระที่ดาวน์โหลดได้จาก App Store สามารถใส่ลงไปใน Notification Center ได้
- ปรับปรุงการทำงานของฟังก์ชั่นค้นหา Spotlight และผู้ช่วยเสียง Siri โดย Spotlight จะมีการเพิ่มช่วงของการค้นหาให้กว้างขึ้น นอกเหนือไปจากไฟล์บนตัวอุปกรณ์ แต่จะค้นหาไปถึงเพลงหรือวีดีโอที่ได้รับการดาวน์โหลดมาจาก iTunes และตารางเวลาฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์บริเวณใกล้เคียง และข้อมูลแผนที่อื่นๆ ในขณะที่ Siri จะสามารถจดจำเพลงได้แล้ว
- แอพฯข้อความ มีการพัฒนามากขึ้นเพื่อให้ต่อสู้กับ WhatsApp, KakaoTalk, WeChat และ Line ได้ โดยมีคุณสมบัติที่เรียกว่า QuickType ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพแป้นพิมพ์ให้สามารถทำนายคำในระหว่างพิมพ์ เพื่อให้การพิมพ์เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถออกจากหรือปิดเสียงข้อความเฉพาะกลุ่มได้ด้วยปุ่มเพียงปุ่มเดียว เช่นเดียวกับการแชร์สถานที่, เพลง หรือวีดีโอ โดยการแชทแบบกลุ่ม จะช่วยส่งไฟล์ไปยังผู้ร่วมสนทนาได้พร้อมกันในครั้งเดียว
- ฟีเจอร์ใหม่อย่าง HealthKit และ HomeKit โดย HealthKit จะเป็นฟีเจอร์เพื่อคนรักสุขภาพ ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลและตามติดการออกกำลังกาย โดยมีการดึงเอาคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของ iPhone 5S อย่างตัวประมวลผลการเคลื่อนไหวในชิป M7 มาใช้ ส่วน HomeKit จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดภายในบ้าน โดยจะช่วยให้ควบคุมระบบไฟ, อุณหภูมิ, ประตูโรงรถ, กล้องวงจรปิด (ระบบรักษาความปลอดภัย) หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ผ่านทางอุปกรณ์ iOS
สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ iOS 8 มีดังนี้ iPhone 4S, iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S, iPod Touch รุ่นที่ 5, iPad 2, iPad with Retina Display, iPad Air, iPad Mini และ iPad Mini with Retina Display น่าเสียดายที่ iPhone 4 และรุ่นเก่ากว่านี้ รวมถึง iPod Touch ตั้งแต่รุ่นที่ 4 ลงไป และ iPad รุ่นดั้งเดิม จะไม่สามารถใช้งานได้
ที่มา CNET
แอปเปิ้ล เปิดตัว iOS 8 กลางงาน WWDC 2014
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แอปเปิ้ล ได้เปิดตัวเวอร์ชั่นถัดไปของระบบปฏิบัติการบนมือถือ iOS 8 ซึ่งเป็นไปตามคาดที่งานประชุมนักพัฒนา Worldwide Developers Conference ในเมืองซานฟรานซิสโก โดยจะปล่อยตัวเบต้า (สำหรับนักพัฒนา) ออกมาก่อน เริ่มอัพเดตได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนจะปล่อยรุ่นจริงออกมาราวช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงรูปโฉมใหม่หมด สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 7 ผิดกับในปีนี้ที่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง (ทางด้านรูปร่างหน้าตา) มากนัก ซึ่งหลักๆแล้ว จะเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นซะมากกว่า โดยสิ่งที่มาใหม่สำหรับ iOS 8 มีดังนี้
- ระบบการแจ้งเตือน ที่ตอนนี้สามารถทำงานโต้ตอบกันได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ผู้ใช้กำลังฟังเพลงอยู่ สามารถรูดลงบนข้อความที่ปรากฎขึ้นมา (คล้ายๆกับการแจ้งเตือนแบบเลื่อนลง) และเข้าถึงแป้นพิมพ์ เพื่อตอบกลับข้อความจากหน้าแจ้งเตือนได้ในทันที โดยไม่จำเป็นต้องออกจากแอพฯที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น เป็นต้น
- iCloud Drive เป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บไฟล์ คล้ายๆกับ Google Drive หรือ Dropbox โดยรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดจะถูกซิงค์โดยอัตโนมัติกับบัญชี iCloud ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงได้บนทุกๆอุปกรณ์
- การทำงานร่วมกันกับระบบปฏิบัติการเดสก์ทอป OS X Yosemite ซึ่งทำให้การสื่อสารกันข้ามแพลตฟอร์มของแอปเปิ้ล มีความสะดวกราบรื่นมากขึ้น โดยฟีเจอร์อย่าง Handoff ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ที่เริ่มต้นส่งข้อความและอีเมลบนอุปกรณ์ iOS สามารถมองเห็นจดหมายฉบับร่างทันทีบนจอเดสก์ทอป อีกทั้งยังสามารถทำงานบน iPad ได้ดีกับชุดโปรแกรม iWork ด้วย
- รองรับแป้นพิมพ์จากผู้ผลิตภายนอก
- สามารถซื้อสินค้าใน App Store ได้ผ่านทางระบบสแกนลายนิ้วมือ (กว่า 83 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่มีทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแอพฯจากผู้พัฒนาภายนอกด้วย)
- Widgets จากนักพัฒนาอิสระที่ดาวน์โหลดได้จาก App Store สามารถใส่ลงไปใน Notification Center ได้
- ปรับปรุงการทำงานของฟังก์ชั่นค้นหา Spotlight และผู้ช่วยเสียง Siri โดย Spotlight จะมีการเพิ่มช่วงของการค้นหาให้กว้างขึ้น นอกเหนือไปจากไฟล์บนตัวอุปกรณ์ แต่จะค้นหาไปถึงเพลงหรือวีดีโอที่ได้รับการดาวน์โหลดมาจาก iTunes และตารางเวลาฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์บริเวณใกล้เคียง และข้อมูลแผนที่อื่นๆ ในขณะที่ Siri จะสามารถจดจำเพลงได้แล้ว
- แอพฯข้อความ มีการพัฒนามากขึ้นเพื่อให้ต่อสู้กับ WhatsApp, KakaoTalk, WeChat และ Line ได้ โดยมีคุณสมบัติที่เรียกว่า QuickType ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพแป้นพิมพ์ให้สามารถทำนายคำในระหว่างพิมพ์ เพื่อให้การพิมพ์เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถออกจากหรือปิดเสียงข้อความเฉพาะกลุ่มได้ด้วยปุ่มเพียงปุ่มเดียว เช่นเดียวกับการแชร์สถานที่, เพลง หรือวีดีโอ โดยการแชทแบบกลุ่ม จะช่วยส่งไฟล์ไปยังผู้ร่วมสนทนาได้พร้อมกันในครั้งเดียว
- ฟีเจอร์ใหม่อย่าง HealthKit และ HomeKit โดย HealthKit จะเป็นฟีเจอร์เพื่อคนรักสุขภาพ ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลและตามติดการออกกำลังกาย โดยมีการดึงเอาคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของ iPhone 5S อย่างตัวประมวลผลการเคลื่อนไหวในชิป M7 มาใช้ ส่วน HomeKit จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดภายในบ้าน โดยจะช่วยให้ควบคุมระบบไฟ, อุณหภูมิ, ประตูโรงรถ, กล้องวงจรปิด (ระบบรักษาความปลอดภัย) หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ผ่านทางอุปกรณ์ iOS
สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ iOS 8 มีดังนี้ iPhone 4S, iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S, iPod Touch รุ่นที่ 5, iPad 2, iPad with Retina Display, iPad Air, iPad Mini และ iPad Mini with Retina Display น่าเสียดายที่ iPhone 4 และรุ่นเก่ากว่านี้ รวมถึง iPod Touch ตั้งแต่รุ่นที่ 4 ลงไป และ iPad รุ่นดั้งเดิม จะไม่สามารถใช้งานได้
ที่มา CNET