เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อต้นปี ได้เข้าหุ้นกับคนรู้จักที่ชักชวนทำธุรกิจ มีจำนวน 6 หุ้นส่วน ต่อมา เมื่อปลายเดือนเมษา ได้แจ้งกับผู้ถือหุ้นว่าต้องการถอนหุ้นคืน เพราะไม่มีเวลาดูแลกิจการ ซึ่งผมได้ประกาศขายหุ้นแล้วแต่ไม่มีใครต้องการ เพราะสภาวะกิจการขาดสภาพคล่อง เมื่อวันก่อนผมจึงแจ้งหุ้นส่วนไปว่าผมขอเป็นสินค้าภายในร้านแทนเงินก็ได้ หุ้นส่วนตอบกลับมาว่าได้ แต่ต้องเป็นราคาสินค้าที่บวกกำไรไปคนละครึ่งทาง เพราะถือว่าเราถอนหุ้นตอนกิจการขาดทุน จะได้เงินกลับคืนไปเต็มจำนวนได้อย่างไร
ผมมองว่าไม่แฟร์ จึงโต้กลับไปว่า กิจการนั้นไม่ได้ขาดทุนหรอก แค่ขาดสภาพคล่อง เพราะเมื่อขายสินค้าได้ ไม่เคยมีการแบ่งกำไรคืนมาเลย แต่นำไปลงทุนซื้อสินค้าใหม่เข้าร้าน กำไรจึงจมอยู่ในสินค้าคงเหลือเหล่านั้น ผมอธิบายเรื่องงบดุล ว่าสถานะการเงินของกิจการที่แท้จริง ควรคำนวนมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี หักหนี้ที่เตรียมจ่าย สุดท้ายคือส่วนของเจ้าของที่จะนำมาแบ่งกันได้ แต่หุ้นส่วนกลับไม่เช้าใจ (คือไม่มีพื้นฐานด้านบัญชี/ธุรกิจ) พยายามอธิบายว่ากิจการขาดทุน เพราะไม่มีเงิน จะถอนออกไปก็นับว่าเห็นแก่ตัวแล้ว ยังจะหวังได้คืนเต็มอีก ซึ่งในมุมของผม ผมมองว่าการที่มูลค่าสินทรัพย์ในร้านมากขึ้น ย่อมแปลว่ามันไม่ใช่ขาดทุนหรอก แต่มันคือกำไรที่ยังไม่ realize คุยกันยังไงก็ไม่เข้าใจ ผมจึงบอกให้ไปทำบัญชีมาแล้วค่อยคุยกัน มันเป็นความประมาทของผมเองในจุดนี้ครับ ที่ตั้งแต่เปิดกิจการมา ผมไม่เคยเห็นสมุดฝากเงินของหุ้นส่วน ที่เป็นคนถือเงินร้าน ผมไม่เคยเห็นการทำบัญชีเป็นกิจจะลักษณะเลย เพราะผมมองว่า คนรู้จักกัน ไว้ใจกัน เดี๋ยวพอมีกำไรเขาคงมาแบ่งกัน ทำให้สุดท้าย เมื่อไม่มีการบันทึกบัญชี แล้วผมไปเรียกร้องจะดูตอนนี้ ยังไงผมก็เสียเปรียบอยู่ดี
วันนี้ผมจึงตัดสินใจเข้าไปสำรวจสินค้าเองในร้าน หลังจากไม่เคยเข้าไปเลย 2 เดือน นับจากประกาศการถอนหุ้น ซึ่งในระหว่างนี้ผมก็ยังไม่ได้อะไรคืนมาเลย เพราะถูกผัดผ่อนว่ายังจ่ายเงินเจ้าหนี้ไม่หมด ผมพยายามเข้าใจ แต่พอผมเข้าไปเห็นสินค้าใหม่วางในร้าน มีหุ้นส่วนใหม่เข้ามาโดยที่ผมไม่รู้ ผมเกิดคำถามขึ้นมากมาย ถ้าขาดทุนจริง แล้วเขาเอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้าใหม่เข้าร้าน? แล้วทำไมเขาไม่เคลียร์เงินให้ผม? แต่ผมก็ไม่อยากมีปัญหาจึงเข้าไปยืนจดและถ่ายรูปเงียบๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหุ้นส่วนคู่นึง พยายามจะขับไล่ผมออกจากร้าน ด้วยเหตุผลว่าผมถอนหุ้นแล้วไม่มีสิทธิเข้าร้าน ให้ผมรอเค้าส่งเอกสารรายการสินค้ามาให้เอง ซึ่งผมก็ตอบกลับไปว่า ในเมื่อเงินผมยังอยู่ในร้าน ผมย่อมมีสิทธิที่จะเข้ามาดูไม่ใช่หรือ
หุ้นส่วนใหม่เริ่มเข้ามากระแทกตัวผม แล้วใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ผมจึงเปิดประตูออกไปด้วยความโมโห จนไปชนเข้ากับทรัพย์สินที่วางอยู่บริเวณนั้น ทำให้หุ้นส่วนคนนั้นเข้ามาต่อยจนผมล้มลง เตะปากผมไปสองที ซ้ำยังเรียกเด็กฝึกงานในร้านมาจัดการผมอีก (เด็กคนนั้นยังพูดว่าพอเถอะพี่ เลย) ผมสาบานได้ว่าผมไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลย เพราะเค้าตัวใหญ่กว่าผมมาก ผมจึงไปแจ้งความลงบันทึกไว้ (เหตุการณ์เป็นไปตามที่ผมคิด เค้าแจ้งความผมกลับด้วย ข้อหาทำลายทรัพย์สินและร่างกายเขา)
ผมยอมรับครับว่าเรื่องการทำร้ายร่างกาย ผมไม่เก็บมาเป็นอารมณ์มาก เพราะสิ่งที่ผมเป็นกังวลมากกว่านั้น คือเงินของผมจะได้คืนเม่ือไร ดูท่าแล้วคงได้คืนเป็นของแล้ว ยังมาบวกกำไรผม แบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆนะ คือผมยังต้องไปหาร้านอื่นฝากวางขาย ซึ่งสินค้าไม่ใช่สินค้าหมุนเร็ว มีโอกาสตกรุ่น ผมยังต้องรับความเสี่ยงในการนำไปขายต่ออีก สิ่งท่ีผมระบายมันคือความคับข้องใจว่า ผมพลาดเอง ที่ไปลงทุนโดยไม่ได้ตกลงกันให้ดี การเซนสัญญา การจดทะเบียนก็ไม่เคยมี ที่สำคัญ บัญชีร้านผมไม่เคยเห็นเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
สุดท้ายก็ขอความรู้จากผู้รู้หรือมีประสบการณ์ประมานนี้แล้วกันครับ ว่าผมควรทำอย่างไร และเรื่องนี้มันน่าจะจบเช่นไรได้บ้าง ผมอยากได้ส่วนของผมคืน แค่นั้น แล้วผมก็เลิกยุ่งกับคนพวกนี้แล้วครับ ผมเข็ดแล้ว
ขอบคุณมากครับ
รบกวนปรึกษากรณีถอนหุ้นห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนครับ
ผมมองว่าไม่แฟร์ จึงโต้กลับไปว่า กิจการนั้นไม่ได้ขาดทุนหรอก แค่ขาดสภาพคล่อง เพราะเมื่อขายสินค้าได้ ไม่เคยมีการแบ่งกำไรคืนมาเลย แต่นำไปลงทุนซื้อสินค้าใหม่เข้าร้าน กำไรจึงจมอยู่ในสินค้าคงเหลือเหล่านั้น ผมอธิบายเรื่องงบดุล ว่าสถานะการเงินของกิจการที่แท้จริง ควรคำนวนมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี หักหนี้ที่เตรียมจ่าย สุดท้ายคือส่วนของเจ้าของที่จะนำมาแบ่งกันได้ แต่หุ้นส่วนกลับไม่เช้าใจ (คือไม่มีพื้นฐานด้านบัญชี/ธุรกิจ) พยายามอธิบายว่ากิจการขาดทุน เพราะไม่มีเงิน จะถอนออกไปก็นับว่าเห็นแก่ตัวแล้ว ยังจะหวังได้คืนเต็มอีก ซึ่งในมุมของผม ผมมองว่าการที่มูลค่าสินทรัพย์ในร้านมากขึ้น ย่อมแปลว่ามันไม่ใช่ขาดทุนหรอก แต่มันคือกำไรที่ยังไม่ realize คุยกันยังไงก็ไม่เข้าใจ ผมจึงบอกให้ไปทำบัญชีมาแล้วค่อยคุยกัน มันเป็นความประมาทของผมเองในจุดนี้ครับ ที่ตั้งแต่เปิดกิจการมา ผมไม่เคยเห็นสมุดฝากเงินของหุ้นส่วน ที่เป็นคนถือเงินร้าน ผมไม่เคยเห็นการทำบัญชีเป็นกิจจะลักษณะเลย เพราะผมมองว่า คนรู้จักกัน ไว้ใจกัน เดี๋ยวพอมีกำไรเขาคงมาแบ่งกัน ทำให้สุดท้าย เมื่อไม่มีการบันทึกบัญชี แล้วผมไปเรียกร้องจะดูตอนนี้ ยังไงผมก็เสียเปรียบอยู่ดี
วันนี้ผมจึงตัดสินใจเข้าไปสำรวจสินค้าเองในร้าน หลังจากไม่เคยเข้าไปเลย 2 เดือน นับจากประกาศการถอนหุ้น ซึ่งในระหว่างนี้ผมก็ยังไม่ได้อะไรคืนมาเลย เพราะถูกผัดผ่อนว่ายังจ่ายเงินเจ้าหนี้ไม่หมด ผมพยายามเข้าใจ แต่พอผมเข้าไปเห็นสินค้าใหม่วางในร้าน มีหุ้นส่วนใหม่เข้ามาโดยที่ผมไม่รู้ ผมเกิดคำถามขึ้นมากมาย ถ้าขาดทุนจริง แล้วเขาเอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้าใหม่เข้าร้าน? แล้วทำไมเขาไม่เคลียร์เงินให้ผม? แต่ผมก็ไม่อยากมีปัญหาจึงเข้าไปยืนจดและถ่ายรูปเงียบๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหุ้นส่วนคู่นึง พยายามจะขับไล่ผมออกจากร้าน ด้วยเหตุผลว่าผมถอนหุ้นแล้วไม่มีสิทธิเข้าร้าน ให้ผมรอเค้าส่งเอกสารรายการสินค้ามาให้เอง ซึ่งผมก็ตอบกลับไปว่า ในเมื่อเงินผมยังอยู่ในร้าน ผมย่อมมีสิทธิที่จะเข้ามาดูไม่ใช่หรือ
หุ้นส่วนใหม่เริ่มเข้ามากระแทกตัวผม แล้วใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ผมจึงเปิดประตูออกไปด้วยความโมโห จนไปชนเข้ากับทรัพย์สินที่วางอยู่บริเวณนั้น ทำให้หุ้นส่วนคนนั้นเข้ามาต่อยจนผมล้มลง เตะปากผมไปสองที ซ้ำยังเรียกเด็กฝึกงานในร้านมาจัดการผมอีก (เด็กคนนั้นยังพูดว่าพอเถอะพี่ เลย) ผมสาบานได้ว่าผมไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลย เพราะเค้าตัวใหญ่กว่าผมมาก ผมจึงไปแจ้งความลงบันทึกไว้ (เหตุการณ์เป็นไปตามที่ผมคิด เค้าแจ้งความผมกลับด้วย ข้อหาทำลายทรัพย์สินและร่างกายเขา)
ผมยอมรับครับว่าเรื่องการทำร้ายร่างกาย ผมไม่เก็บมาเป็นอารมณ์มาก เพราะสิ่งที่ผมเป็นกังวลมากกว่านั้น คือเงินของผมจะได้คืนเม่ือไร ดูท่าแล้วคงได้คืนเป็นของแล้ว ยังมาบวกกำไรผม แบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆนะ คือผมยังต้องไปหาร้านอื่นฝากวางขาย ซึ่งสินค้าไม่ใช่สินค้าหมุนเร็ว มีโอกาสตกรุ่น ผมยังต้องรับความเสี่ยงในการนำไปขายต่ออีก สิ่งท่ีผมระบายมันคือความคับข้องใจว่า ผมพลาดเอง ที่ไปลงทุนโดยไม่ได้ตกลงกันให้ดี การเซนสัญญา การจดทะเบียนก็ไม่เคยมี ที่สำคัญ บัญชีร้านผมไม่เคยเห็นเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
สุดท้ายก็ขอความรู้จากผู้รู้หรือมีประสบการณ์ประมานนี้แล้วกันครับ ว่าผมควรทำอย่างไร และเรื่องนี้มันน่าจะจบเช่นไรได้บ้าง ผมอยากได้ส่วนของผมคืน แค่นั้น แล้วผมก็เลิกยุ่งกับคนพวกนี้แล้วครับ ผมเข็ดแล้ว
ขอบคุณมากครับ