ใครเคยรู้สึกเศร้า สับสน คิดว่าตัวเองกำลังใส่หน้ากากอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะถอดยังไงบ้างมั้ย
บางทีก็อยากไปพบจิตแพทย์ แต่ก็ไม่อยากเล่าเรื่องอะไรทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปพบทำไม ขี้เกียจไปด้วย เดินทางอีก เสียเวลา เสียเงิน ลองไปอ่านๆตามเว็บมา กำลังสงสัยว่าตัวเองน่าจะเป็น โรคบุคลิกภาพแปรปรวน ประเภทParanoid personality disorder แล้วก็อาจมี Affective personality disorder ด้วย จริงๆ แล้วเหมือนจะมีหลายอย่างเลย อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่เด่นใช่สุดเลยคือพารานอยด์เนี่ยแหละ
ขอเตือนก่อนว่าเราเป็นคนพูดเล่าเรื่องไม่รู้เรื่อง เวลาจะพูดอะไร บางทีสิ่งที่อยากพูดมันแวบเข้ามาในหัว แต่แล้วก็แวบหายไปเลย เหมือนกับลืมไปในชั่วพริบตา แล้วเวลาพูดก็จะเรียงลำดับคำเพี้ยน ไม่รู้จะใช้คำไหนดี
พอเริ่มเขียนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะมันแล้วแฮะ
เรากังวลเรื่องการเป็นตัวของตัวเองเนี่ยแหละ เวลาอ่านคำแนะนำให้เข้าสังคม ก็มักจะเจอคำว่า "ให้เป็นตัวของตัวเอง" กันใช่มั้ย แต่พอเราอ่านเจอคำนั้นทีไรแล้วมันก็มืดแปดด้านมาก คือเราไม่รู้ว่าไอ้การเป็นตัวของตัวเองเนี่ยมันทำยังไง ตัวเรามีนิสัยยังไงเรายังไม่รู้เลย เรามีบุคลิกภาพหลายอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ จนเราคิดว่าถ้าหากต้องอยู่กับคนอื่นแล้ว เราจะไม่เคยถอดหน้ากากออกเลย
ยกตัวอย่างโดยการใช้สีละกัน อย่างเช่น
อยู่กับแม่ - หน้ากากสีแดง (เราจะค่อนข้างก้าวร้าว แต่ก็จะบ๊องๆด้วยในยามลัลล้า แต่ถ้าทะเลาะกันนี่จะก้าวร้าวสุดแล้ว)
อยู่กับพี่สาวแท้ๆ(ซึ่งเป็นคนที่มี authority figure สูงมาก คือเป็นคนมั่นใจ พูดตรง) - หน้ากากสีขาว (เราจะหงอบ้าง แล้วก็เกร็ง ก้าวร้าวบ้างแล้วแต่อารมณ์ ตอนที่หงอก็จะคิดอยู่ว่านี่ไม่ใช่เรา แต่พอทะเลาะกันเมื่อไหร่ ก็จะก้าวร้าว แล้วพออารมณ์เย็นลง เราก็จะกลับมาหงอใหม่ จนงงว่าตัวเองเป็นยังไงกันแน่ จะหงอ หรือจะกร้าว)
อยู่กับเพื่อน(บางคน ที่นิสัยร่าเริง ติงต๊อง) - หน้ากากสีเหลือง (เราจะเป็นคนเฮฮามาก กวนประสาทสุดขั้ว ไร้สาระ ติ๊งต๊องจนเอ๋อ ค่อนข้างพูดมากเลย แต่ต้องอยู่เป็นหมู่นะ คือมี3คนขึ้นไป แต่ถ้าอยู่กันสองคนปุ๊บ เราจะกลายเป็นหน้ากากสีฟ้าไป คือเงียบๆ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่) << อาจจะคิดว่าเราเป็นคนเฮฮา แต่เราเหนื่อยมาก เพราะรู้สึกว่ากำลังฝืนอยู่
อยู่กับเพื่อน(บางคน ที่ไม่ค่อยคุยด้วย และอยู่ในกลุ่มของคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่) - หน้ากากสีฟ้า (เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ หน้าเคร่งขรึม ถกปัญหาวิชาการ รู้สึกเกร็ง)
อยู่กับเพื่อน(บางคนที่ติ๋มๆ เงียบๆ) - หน้ากากสีน้ำตาลเข้ม (เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ต่างจากหน้ากากสีฟ้าตรงที่ เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่แบบเอ็นดูอีกฝ่าย อธิบายไม่ถูกแฮะ คือไม่รู้สึกเกร็ง แต่จะพูดจาหรือทำสีหน้าแบบเอ็นดูน่ะ)
อยู่กับเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบ - หน้ากากสีกากี (เราจะเฮฮา ร่าเริง แต่ก็จะทำตัวผู้ใหญ่ เอ็นดูอีกฝ่าย)
อยู่กับคนที่เด็กกว่า แต่ไม่เด็กขนาดสิบขวบ และมี authority figure - หน้ากากสีฟ้า
อยู่กับคนที่เด็กกว่า แต่ไม่เด็กขนาดสิบขวบ เป็นเด็กเฮฮา น่ารัก - หน้ากากสีเหลือง
อยู่กับคนที่โตกว่า แต่ยังไม่แก่ อาจจะช่วงอายุ20-40 (โดยที่คนนั้นต้องมี authority figure ด้วย) - หน้ากากสีชมพู (เราจะเงียบ หงอเลย รู้สึกเกร็งมาก)
อยู่กับคนที่โตกว่า แต่ยังไม่แก่ อาจจะช่วงอายุ20-40 เป็นคนดูใจดี - หน้ากากสีเขียว (เราจะชวนคุยบ้าง เฮฮาบ้างเล็กน้อย ไม่หงอ แต่ก็ยังคงเกร็งอยู่ดี)
แต่ถ้าคนหลายกลุ่มนี้มาอยู่ด้วยกัน จะเป็นอะไรที่สับสนมาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้หน้ากากไหน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะใช้หน้ากากเลยนะ แต่มันทำไปโดยอัตโนมัติเลย
(ยังมีสีอื่นอีก แต่เอาแค่นี้ก่อน เพราะแค่นี้ก็งงจะแย่แล้ว)
ส่วนการเจอเพื่อนใหม่ เราก็จะเป็นตามอารมณ์ ณ ตอนนั้นเลยว่าจะใช้หน้ากากไหน โดยที่"ยัง"ไม่สนใจเรื่อง authority figure ของอีกฝ่าย แต่พอคุยๆกันไปสักพักจนรู้เองแล้วว่าเพื่อนใหม่คนนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหน พอเจอกันครั้งต่อไป เราก็จะเปลี่ยนไปใช้หน้ากากประจำกลุ่มเลย เคยพยายามฝืนใช้หน้ากากกลุ่มอื่นแล้ว แต่มันเหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ แล้วก็อยากหนีออกจากอีกฝ่าย วิ่งหนีไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้
แม้ว่าจะได้เจอเพื่อนเยอะ มากหน้าหลายตา แต่เราไม่สามารถทำให้ "สนิท" ได้ เราไม่มีปัญหาเรื่องเจอคนใหม่ เพราะมันมีเรื่องคุยให้เยอะแยะ เช่น เคยเรียนที่ไหน ชอบกินไร บ้านอยู่ไหน คำถามเบวิกทั้งหลาย แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องคุยก็จะหมดไป เพื่อนใหม่ที่ได้เจอก็จะตีออกห่าง เพราะเขาเองก็มีเพื่อนของเขาอยู่แล้ว
คนที่จะคุยก็มีแต่เพื่อนที่โรงเรียน เพราะมีความจำเป็นต้องคุย(และแน่นอนว่าเราก็ยังคงใส่หน้ากาก อาจจะมีนึกคึกสลับหน้ากากใส่ไม่ตรงตามกลุ่มที่จัดเอาไว้ ตามอารมณ์บ้างนานๆที จนเราสงสัยว่าตัวเองเป็นไบโพลาร์รึเปล่า แต่ก็อาจจะไม่ใช่) แล้วพอปิดเทอมเช่นตอนนี้ เราก็จะหายไปเลย อยู่ในบ้าน สบายใจ ไม่ออกไปไหน ขี้เกียจออก ขี้เกียจไปเที่ยว (เดี๋ยวเข้าประเด็นเรื่องขี้เกียจตอนล่างๆ) จนแม่สงสัยว่าเป็นโรคกลัวสังคม
โรคกลัวสังคม พอท่านแม่สงสัย เราก็ไปหาอ่านเลย อ่านๆดูก็คิดว่าไม่ใช่ เราไม่มีปัญหากับการออกไปนอกบ้าน ไปห้าง ไปดูหนัง ซื้อข้าวกิน สั่งอาหาร ซื้อตั๋วหนัง ทำได้สบายมาก เราอยู่กับคนหมู่มากได้ ไม่กลัว จะมีก็แต่รู้สึก awkward ตอนอยู่ในลิฟท์ แต่ก็น่าจะมีหลายคนที่เป็นแบบนั้น (แต่ถ้าต้องไปพูดคุย หรือเจอคนรู้จักนี่อีกเรื่องนะ เพราะจะเข้าข่ายการใส่หน้ากาก)
อ้อ ลืมบอกไปว่าเราไม่มีเพื่อนสนิท 0 เรียกได้ว่า 0 คนที่ใกล้ที่สุดคงเป็นแม่ แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี เราสนิทกับตัวเองที่สุด แล้วก็พอใจที่ได้อยู่คนเดียว เพราะไม่ต้องฝืนอะไรทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากไปรับรู้เหตุการณ์ ความเฮฮาน่าสนุกของเพื่อนคนอื่นๆ ล่ะก็ เราก็จะอิจฉา เราอยากไปเที่ยวแบบนั้นบ้าง มีคนคุย พูดเฮฮากันได้ทุกเรื่องแบบนั้นบ้าง จัดปาร์ตี้อะไรงี้ เราไม่เคยไปปาร์ตี้เลย น่าอิจฉามากเลย แม้ว่าพออยู่คนเดียวก็สบายดี ไปเที่ยว ไปไหนสบาย ดูหนัง ดูหนังสือคนเดียว สะดวก สบาย ชอบเลยด้วย ไม่ต้องแคร์ใคร
แล้วเราก็จะไม่ให้เพื่อนหรือคนรู้จัก(นอกจากแม่กับพี่)รู้เด็ดขาดว่าเราอยู่คนเดียว เหมือนอายล่ะมั้ง
จนมีบ้างที่เราก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ เคยร้องไห้ด้วยนะ แต่แปปเดียวหาย ประมาณ 3-25 นาที แล้วแต่อารมณ์ เคยคิดฆ่าตัวตายด้วยแหละ คิดเรื่อยเปื่อย ส่วนมากจะเป็นเรื่องอนาคตของตัวเอง อยากตาย แต่กลัวเจ็บ มันขัดกันเองเนอะ (ถ้าอารมณ์ตอนนั้นมาเขียนนี่ วิธีการเขียนคงอีกแบบเลยล่ะ เพราะตอนนี้ไม่มีอารมณ์คิดฆ่าตัวตายเลยจ้ะ เป็น 0) มันมักมาเป็นเป็นพักๆ นะ เดี๋ยวก็ปกติดี เดี๋ยวก็เศร้า แต่คงไม่กล้าฆ่าตัวตายจริง100% เพราะกลัวเจ็บมากกก เป็นคนรักตัวเอง กลัวบาดเจ็บ มีบางวันอารมณ์ขึ้นลงจนเราเหนื่อย ถึงได้ชักจะสงสัยเรื่องไบโพลาร์ แต่เราก็ไม่มีอาการแมเนีย คลุ้มคลั่งอะไรนะ จึงคิดว่าไม่น่าใช่ (รึเปล่า??)
มาต่อที่เรื่องขี้เกียจ
เราเป็นคนที่ขี้เกียจมากกกกกกกกกกกก เราขี้เกียจเก็บล้างจาน เราจึงขี้เกียจทำอาหารเพราะมันต้องเก็บล้าง แล้วก็ขี้เกียจแต่งตัวออกจากบ้าน จึงทำให้เรามักจะอดข้าวตั้งแต่เช้ายันเย็น จนในที่สุดทนหิวไม่ไหว ต้องออกไปซื้ออาหารข้างนอกตอนเย็นๆประมาณ4โมง เรื่องขี้เกียจเก็บล้างนี่ปัญหาโลกแตกที่เรามักจะเถียงกับแม่อยู่บ่อยๆว่าไม่ให้แม่ทำกับข้าว
เราขี้เกียจตากผ้า เราก็จะไม่ซักผ้าทั้งๆแค่โยนเข้าเครื่อง แต่นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของหลายๆคน
เราอยากดูหนัง แต่ขี้เกียจเดินทาง แล้วยังต้องแต่งตัวอีก เราจึงไม่ไปดูหนัง
เราต้องไปหาหมอ แต่ขี้เกียจเดินทาง แล้วก็แต่งตัว จึงไม่ไปหาหมอ
มีอย่างอื่นอีก แต่นึกออกแค่นี้
เราสังเกตตัวเองว่าจะชอบนึกผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นนำไปก่อนเลย คงเป็นผลมาจากพารานอยด์(รึเปล่า?)
เขียนยาวเฟื้อยเลยแฮะ สุดยอด ทั้งๆที่คิดว่าไม่รู้จะเขียนอะไรแท้ๆ แต่จะเห็นได้ว่าเราเขียนสะเปะสะปะ ไม่รู้เรื่องมาก นี่ขนาดมีให้ลบแก้ไขได้นะ ถ้าเป็นพูดล่ะก็ เราคงเลิกพูดไปเลย เพราะพูดไม่ทันสิ่งที่คิดในหัว
เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อน (นึกออก+มีอารณ์เขียนเท่านี้ ขี้เกียจเขียนต่อ)
สรุปประเด็น: เรางงว่าตัวเองเป็นอะไร(เป็นคน/มนุษย์จ้ะ) มีบุคลิกยังไง และมีปัญหาอะไร ต้องไปพบจิตแพทย์มั้ย (ไม่อยากไป) แล้วก็มีทางแก้ไขอะไรบ้าง
ขอบคุณทุกคนมากกกกก
ใครเคยรู้สึกสับสน คิดว่าตัวเองกำลังใส่หน้ากากอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะถอดยังไงบ้างมั้ย
บางทีก็อยากไปพบจิตแพทย์ แต่ก็ไม่อยากเล่าเรื่องอะไรทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปพบทำไม ขี้เกียจไปด้วย เดินทางอีก เสียเวลา เสียเงิน ลองไปอ่านๆตามเว็บมา กำลังสงสัยว่าตัวเองน่าจะเป็น โรคบุคลิกภาพแปรปรวน ประเภทParanoid personality disorder แล้วก็อาจมี Affective personality disorder ด้วย จริงๆ แล้วเหมือนจะมีหลายอย่างเลย อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่เด่นใช่สุดเลยคือพารานอยด์เนี่ยแหละ
ขอเตือนก่อนว่าเราเป็นคนพูดเล่าเรื่องไม่รู้เรื่อง เวลาจะพูดอะไร บางทีสิ่งที่อยากพูดมันแวบเข้ามาในหัว แต่แล้วก็แวบหายไปเลย เหมือนกับลืมไปในชั่วพริบตา แล้วเวลาพูดก็จะเรียงลำดับคำเพี้ยน ไม่รู้จะใช้คำไหนดี
พอเริ่มเขียนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะมันแล้วแฮะ
เรากังวลเรื่องการเป็นตัวของตัวเองเนี่ยแหละ เวลาอ่านคำแนะนำให้เข้าสังคม ก็มักจะเจอคำว่า "ให้เป็นตัวของตัวเอง" กันใช่มั้ย แต่พอเราอ่านเจอคำนั้นทีไรแล้วมันก็มืดแปดด้านมาก คือเราไม่รู้ว่าไอ้การเป็นตัวของตัวเองเนี่ยมันทำยังไง ตัวเรามีนิสัยยังไงเรายังไม่รู้เลย เรามีบุคลิกภาพหลายอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ จนเราคิดว่าถ้าหากต้องอยู่กับคนอื่นแล้ว เราจะไม่เคยถอดหน้ากากออกเลย
ยกตัวอย่างโดยการใช้สีละกัน อย่างเช่น
อยู่กับแม่ - หน้ากากสีแดง (เราจะค่อนข้างก้าวร้าว แต่ก็จะบ๊องๆด้วยในยามลัลล้า แต่ถ้าทะเลาะกันนี่จะก้าวร้าวสุดแล้ว)
อยู่กับพี่สาวแท้ๆ(ซึ่งเป็นคนที่มี authority figure สูงมาก คือเป็นคนมั่นใจ พูดตรง) - หน้ากากสีขาว (เราจะหงอบ้าง แล้วก็เกร็ง ก้าวร้าวบ้างแล้วแต่อารมณ์ ตอนที่หงอก็จะคิดอยู่ว่านี่ไม่ใช่เรา แต่พอทะเลาะกันเมื่อไหร่ ก็จะก้าวร้าว แล้วพออารมณ์เย็นลง เราก็จะกลับมาหงอใหม่ จนงงว่าตัวเองเป็นยังไงกันแน่ จะหงอ หรือจะกร้าว)
อยู่กับเพื่อน(บางคน ที่นิสัยร่าเริง ติงต๊อง) - หน้ากากสีเหลือง (เราจะเป็นคนเฮฮามาก กวนประสาทสุดขั้ว ไร้สาระ ติ๊งต๊องจนเอ๋อ ค่อนข้างพูดมากเลย แต่ต้องอยู่เป็นหมู่นะ คือมี3คนขึ้นไป แต่ถ้าอยู่กันสองคนปุ๊บ เราจะกลายเป็นหน้ากากสีฟ้าไป คือเงียบๆ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่) << อาจจะคิดว่าเราเป็นคนเฮฮา แต่เราเหนื่อยมาก เพราะรู้สึกว่ากำลังฝืนอยู่
อยู่กับเพื่อน(บางคน ที่ไม่ค่อยคุยด้วย และอยู่ในกลุ่มของคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่) - หน้ากากสีฟ้า (เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ หน้าเคร่งขรึม ถกปัญหาวิชาการ รู้สึกเกร็ง)
อยู่กับเพื่อน(บางคนที่ติ๋มๆ เงียบๆ) - หน้ากากสีน้ำตาลเข้ม (เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ต่างจากหน้ากากสีฟ้าตรงที่ เราจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่แบบเอ็นดูอีกฝ่าย อธิบายไม่ถูกแฮะ คือไม่รู้สึกเกร็ง แต่จะพูดจาหรือทำสีหน้าแบบเอ็นดูน่ะ)
อยู่กับเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบ - หน้ากากสีกากี (เราจะเฮฮา ร่าเริง แต่ก็จะทำตัวผู้ใหญ่ เอ็นดูอีกฝ่าย)
อยู่กับคนที่เด็กกว่า แต่ไม่เด็กขนาดสิบขวบ และมี authority figure - หน้ากากสีฟ้า
อยู่กับคนที่เด็กกว่า แต่ไม่เด็กขนาดสิบขวบ เป็นเด็กเฮฮา น่ารัก - หน้ากากสีเหลือง
อยู่กับคนที่โตกว่า แต่ยังไม่แก่ อาจจะช่วงอายุ20-40 (โดยที่คนนั้นต้องมี authority figure ด้วย) - หน้ากากสีชมพู (เราจะเงียบ หงอเลย รู้สึกเกร็งมาก)
อยู่กับคนที่โตกว่า แต่ยังไม่แก่ อาจจะช่วงอายุ20-40 เป็นคนดูใจดี - หน้ากากสีเขียว (เราจะชวนคุยบ้าง เฮฮาบ้างเล็กน้อย ไม่หงอ แต่ก็ยังคงเกร็งอยู่ดี)
แต่ถ้าคนหลายกลุ่มนี้มาอยู่ด้วยกัน จะเป็นอะไรที่สับสนมาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้หน้ากากไหน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะใช้หน้ากากเลยนะ แต่มันทำไปโดยอัตโนมัติเลย
(ยังมีสีอื่นอีก แต่เอาแค่นี้ก่อน เพราะแค่นี้ก็งงจะแย่แล้ว)
ส่วนการเจอเพื่อนใหม่ เราก็จะเป็นตามอารมณ์ ณ ตอนนั้นเลยว่าจะใช้หน้ากากไหน โดยที่"ยัง"ไม่สนใจเรื่อง authority figure ของอีกฝ่าย แต่พอคุยๆกันไปสักพักจนรู้เองแล้วว่าเพื่อนใหม่คนนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหน พอเจอกันครั้งต่อไป เราก็จะเปลี่ยนไปใช้หน้ากากประจำกลุ่มเลย เคยพยายามฝืนใช้หน้ากากกลุ่มอื่นแล้ว แต่มันเหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ แล้วก็อยากหนีออกจากอีกฝ่าย วิ่งหนีไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้
แม้ว่าจะได้เจอเพื่อนเยอะ มากหน้าหลายตา แต่เราไม่สามารถทำให้ "สนิท" ได้ เราไม่มีปัญหาเรื่องเจอคนใหม่ เพราะมันมีเรื่องคุยให้เยอะแยะ เช่น เคยเรียนที่ไหน ชอบกินไร บ้านอยู่ไหน คำถามเบวิกทั้งหลาย แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องคุยก็จะหมดไป เพื่อนใหม่ที่ได้เจอก็จะตีออกห่าง เพราะเขาเองก็มีเพื่อนของเขาอยู่แล้ว
คนที่จะคุยก็มีแต่เพื่อนที่โรงเรียน เพราะมีความจำเป็นต้องคุย(และแน่นอนว่าเราก็ยังคงใส่หน้ากาก อาจจะมีนึกคึกสลับหน้ากากใส่ไม่ตรงตามกลุ่มที่จัดเอาไว้ ตามอารมณ์บ้างนานๆที จนเราสงสัยว่าตัวเองเป็นไบโพลาร์รึเปล่า แต่ก็อาจจะไม่ใช่) แล้วพอปิดเทอมเช่นตอนนี้ เราก็จะหายไปเลย อยู่ในบ้าน สบายใจ ไม่ออกไปไหน ขี้เกียจออก ขี้เกียจไปเที่ยว (เดี๋ยวเข้าประเด็นเรื่องขี้เกียจตอนล่างๆ) จนแม่สงสัยว่าเป็นโรคกลัวสังคม
โรคกลัวสังคม พอท่านแม่สงสัย เราก็ไปหาอ่านเลย อ่านๆดูก็คิดว่าไม่ใช่ เราไม่มีปัญหากับการออกไปนอกบ้าน ไปห้าง ไปดูหนัง ซื้อข้าวกิน สั่งอาหาร ซื้อตั๋วหนัง ทำได้สบายมาก เราอยู่กับคนหมู่มากได้ ไม่กลัว จะมีก็แต่รู้สึก awkward ตอนอยู่ในลิฟท์ แต่ก็น่าจะมีหลายคนที่เป็นแบบนั้น (แต่ถ้าต้องไปพูดคุย หรือเจอคนรู้จักนี่อีกเรื่องนะ เพราะจะเข้าข่ายการใส่หน้ากาก)
อ้อ ลืมบอกไปว่าเราไม่มีเพื่อนสนิท 0 เรียกได้ว่า 0 คนที่ใกล้ที่สุดคงเป็นแม่ แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี เราสนิทกับตัวเองที่สุด แล้วก็พอใจที่ได้อยู่คนเดียว เพราะไม่ต้องฝืนอะไรทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากไปรับรู้เหตุการณ์ ความเฮฮาน่าสนุกของเพื่อนคนอื่นๆ ล่ะก็ เราก็จะอิจฉา เราอยากไปเที่ยวแบบนั้นบ้าง มีคนคุย พูดเฮฮากันได้ทุกเรื่องแบบนั้นบ้าง จัดปาร์ตี้อะไรงี้ เราไม่เคยไปปาร์ตี้เลย น่าอิจฉามากเลย แม้ว่าพออยู่คนเดียวก็สบายดี ไปเที่ยว ไปไหนสบาย ดูหนัง ดูหนังสือคนเดียว สะดวก สบาย ชอบเลยด้วย ไม่ต้องแคร์ใคร
แล้วเราก็จะไม่ให้เพื่อนหรือคนรู้จัก(นอกจากแม่กับพี่)รู้เด็ดขาดว่าเราอยู่คนเดียว เหมือนอายล่ะมั้ง
จนมีบ้างที่เราก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ เคยร้องไห้ด้วยนะ แต่แปปเดียวหาย ประมาณ 3-25 นาที แล้วแต่อารมณ์ เคยคิดฆ่าตัวตายด้วยแหละ คิดเรื่อยเปื่อย ส่วนมากจะเป็นเรื่องอนาคตของตัวเอง อยากตาย แต่กลัวเจ็บ มันขัดกันเองเนอะ (ถ้าอารมณ์ตอนนั้นมาเขียนนี่ วิธีการเขียนคงอีกแบบเลยล่ะ เพราะตอนนี้ไม่มีอารมณ์คิดฆ่าตัวตายเลยจ้ะ เป็น 0) มันมักมาเป็นเป็นพักๆ นะ เดี๋ยวก็ปกติดี เดี๋ยวก็เศร้า แต่คงไม่กล้าฆ่าตัวตายจริง100% เพราะกลัวเจ็บมากกก เป็นคนรักตัวเอง กลัวบาดเจ็บ มีบางวันอารมณ์ขึ้นลงจนเราเหนื่อย ถึงได้ชักจะสงสัยเรื่องไบโพลาร์ แต่เราก็ไม่มีอาการแมเนีย คลุ้มคลั่งอะไรนะ จึงคิดว่าไม่น่าใช่ (รึเปล่า??)
มาต่อที่เรื่องขี้เกียจ
เราเป็นคนที่ขี้เกียจมากกกกกกกกกกกก เราขี้เกียจเก็บล้างจาน เราจึงขี้เกียจทำอาหารเพราะมันต้องเก็บล้าง แล้วก็ขี้เกียจแต่งตัวออกจากบ้าน จึงทำให้เรามักจะอดข้าวตั้งแต่เช้ายันเย็น จนในที่สุดทนหิวไม่ไหว ต้องออกไปซื้ออาหารข้างนอกตอนเย็นๆประมาณ4โมง เรื่องขี้เกียจเก็บล้างนี่ปัญหาโลกแตกที่เรามักจะเถียงกับแม่อยู่บ่อยๆว่าไม่ให้แม่ทำกับข้าว
เราขี้เกียจตากผ้า เราก็จะไม่ซักผ้าทั้งๆแค่โยนเข้าเครื่อง แต่นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของหลายๆคน
เราอยากดูหนัง แต่ขี้เกียจเดินทาง แล้วยังต้องแต่งตัวอีก เราจึงไม่ไปดูหนัง
เราต้องไปหาหมอ แต่ขี้เกียจเดินทาง แล้วก็แต่งตัว จึงไม่ไปหาหมอ
มีอย่างอื่นอีก แต่นึกออกแค่นี้
เราสังเกตตัวเองว่าจะชอบนึกผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นนำไปก่อนเลย คงเป็นผลมาจากพารานอยด์(รึเปล่า?)
เขียนยาวเฟื้อยเลยแฮะ สุดยอด ทั้งๆที่คิดว่าไม่รู้จะเขียนอะไรแท้ๆ แต่จะเห็นได้ว่าเราเขียนสะเปะสะปะ ไม่รู้เรื่องมาก นี่ขนาดมีให้ลบแก้ไขได้นะ ถ้าเป็นพูดล่ะก็ เราคงเลิกพูดไปเลย เพราะพูดไม่ทันสิ่งที่คิดในหัว
เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อน (นึกออก+มีอารณ์เขียนเท่านี้ ขี้เกียจเขียนต่อ)
สรุปประเด็น: เรางงว่าตัวเองเป็นอะไร(เป็นคน/มนุษย์จ้ะ) มีบุคลิกยังไง และมีปัญหาอะไร ต้องไปพบจิตแพทย์มั้ย (ไม่อยากไป) แล้วก็มีทางแก้ไขอะไรบ้าง
ขอบคุณทุกคนมากกกกก