มีบทความอยากให้อ่าน

กระทู้สนทนา
เก็บความคร่าวๆ จาก Ted Talks ของ Jonathan Haidt แปลซับไทยโดย สฤณี อาชวานันทกุล ดูเต็มๆ ได้ที่ http://www.ted.com/talks/jonathan_haidt_on_the_moral_mind.html

นิสัยพื้นฐานที่แบ่งพวกลิเบอรัลและคอนเซอร์เวทีฟ คือ Openness การเปิดตัวเองออกไปสู่สิ่งใหม่ คนที่เปิดตัวมากๆ เดินทางท่องเที่ยว ลองผิดลองถูก ก็จะมีแนวโน้มว่าเป็นลิเบอรัล พวกที่ไม่ค่อยเปิดตัวเอง ชอบอยู่กับความคุ้นเคยเดิมๆ ก็จะมีแนวโน้มว่าเป็นคอนเซอร์เวทีฟ

ปัญหามันเริ่มต้นตรงนี้ เมื่อมีคนที่มีนิสัยเหมือนๆ กัน มีความเชื่อทางการเมืองเหมือนๆ กัน มารวมตัวเป็นกลุ่มคน พวกเขาจะแชร์ความคิด ความเชื่อ เฉพาะกับคนในกลุ่ม เมื่อคนมารวมกลุ่มกันมากเข้า ก็จะค่อยๆ ปิดตัวเอง เราก็จะได้การแบ่งแยกกันเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือลิเบอรัลและคอนเซอร์เวทีฟ

(มีอีกกลุ่มเป็นกลางๆ ไม่เข้ากลุ่มไหน และปฏิเสธการแทรกแซงของรัฐทุกอย่าง กลุ่มนี้เรียกว่า libertarian แต่ประเด็นหลักๆ จะโฟกัสไปที่ลิเบอรัลและคอนเซอร์เวทีฟ)

โจนาธาน ไฮดต์ บอกว่าเมื่อคนมารวมกลุ่มกัน มันจะกลายเป็นอีกเรื่องไปเลย จิตวิทยาหมู่กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความคิดเรา มากกว่านิสัยหรือความเชื่อดั้งเดิมของเราเสียอีก

กลายเป็นว่าคนที่เคย Openness ก็จะไม่ Openness อีกต่อไปแล้ว แต่จะยึดติดอยู่กับกลุ่มตัวเอง อย่างที่มีเพื่อนในนี้บางคน เคยทิ้งคอมเมนต์ไว้ โดยตั้งข้อสังเกตถึงพวกที่อ้างอุดมการณ์ลิเบอรัลในเมืองไทยตอนนี้ ว่าทำไมไปๆ มาๆ จึงดูเหมือนพวกคอนเซอร์เวทีฟหัวรุนแรงเข้าไปทุกที ในขณะที่พวกคอนเซอร์เวทีฟที่ไม่ Openness อยู่แล้วตั้งแต่แรก ก็จะยิ่งปิดตัวเอง ยิ่งพยายามรักษาสภาพเดิมให้คงอยู่ต่อไป

คนเราเมื่อมารวมกลุ่มกันเยอะๆ จะถูกครอบงำโดย "แมทริกซ์ทางศีลธรรม" ของกลุ่มตัวเอง คำว่าแมทริกซ์ในที่นี้ โจนาธาน ไฮดต์ อธิบายว่ามันเหมือนกับในหนังเรื่อง The Matrix ที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกแมทริกซ์ โดยคิดว่าเป็นโลกแห่งความจริงสูงสุด

วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่มีการแบ่งฝักฝ่ายกันอย่างสุดขั้ว จึงไม่ใช่การที่เรายืนหยัดอยู่ในแมทริกซ์ทางศีลธรรมของฝ่ายตัวเอง แล้วก็ไปตัดสินฝ่ายตรงข้ามว่าผิด เลว หรือโง่ ด้วยการด่าทอ กล่าวหา เสียดสีเหน็มแนม ฝ่ายตรงข้ามไปเรื่อยๆ เพราะนั่นมันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น

วิธีการแก้ปัญหาจริงๆ เราต้องออกมายืนนอกแมทริกซ์ของตัวเองเสียก่อน เพื่อทำความเข้าใจว่าศีลธรรมที่เราทุกคน ทุกฝ่าย กำลังยึดถืออยู่ มันมีเหตุผล ที่มาที่ไปอย่างไร

โจนาธาน ไฮดต์ เสนอว่ามนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิด ถูกกำหนดเงื่อนไขทางชีววิทยาและสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด ทำให้มนุษย์ทุกสังคม ทุกยุคสมัย เรียนศีลธรรมโดยตั้งอยู่บนรากฐาน 5 ประการเหมือนกันหมด คือ

1. ความปลอดภัย 2. ความเท่าเทียม 3. ความจงรักภักดีต่อกลุ่ม 4. ความเคารพนับถือ 5. ความสะอาดบริสุทธิ์

เราแต่ละคนจะมีระดับศีลธรรมของตัวเอง โดยปรับจูน 5 รากฐานนี้ให้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

เมื่อลองเอา 5 รากฐานนี้ไปถามความเห็นของพวกลิเบอรัลและคอนเซอร์เวทีฟทั่วโลก ก็จะพบว่าพวกลิเบอรัลจะให้ความสำคัญกับศีลธรรมข้อ 1 และ 2

ในขณะที่พวกคอนเซอร์เวทีฟ จะให้ความสำคัญกับศีลธรรมข้อ 3 4 และ 5

เรื่องก็จะไปกันใหญ่ เมื่อนำแนวคิดนี้มาพิจารณาระบบสังคมในระดับประเทศ ที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมาอยู่ร่วมกันต้องการความร่วมมือของประชาชนทุกคนให้มาอยู่ร่วมกัน ประเด็นคือ เมื่อผู้คนยึดถือศีลธรรมต่างกัน โดยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่ถูกครอบงำโดยแมทริกซ์ทางศีลธรรมของฝ่ายตัวเอง

ประเทศที่พัฒนามานานระยะหนึ่งจนแข็งแกร่ง อาจจะไปเบียดขับหรือส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มน้อยที่มีปัญหา เพื่อรักษาส่วนรวมให้คงสภาพเดิมไว้ พวกคอนเซอร์เวทีฟก็บอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ในขณะที่พวกลิเบอรัล ที่ยึดถือความปลอดภัยและความเท่าเทียม ก็จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อช่วยเหลือ ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้

ตัวอย่างที่เห็นในตอนนี้ คือเสื้อเหลืองก็จะบอกว่าคนที่สะอาดบริสุทธิ์กว่า มีค่าความเป็นคนมากกว่า เราต้องสามัคคีกันเพื่อไปแสดงความเคารพนับถือเขา แล้วการทำแบบนี้ก็จะโดนเสื้อแดงด่าว่าดัดจริต

ส่วนเสื้อแดงก็จะบอกว่าคนเราเท่าเทียม มีสิทธิมีเสียงเท่ากัน ต้องไปเลือกตั้งให้ได้ และพวกแกอย่ามาข่มขู่คุกคามพวกฉัน แล้วคำโต้เถียงก็วนเวียนไปมาอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ แล้วการทำแบบนี้ก็จะโดนเสื้อเหลืองด่าว่าโง่

อย่างที่อธิบายไว้ตอนต้น โจนาธาน ไฮดต์ บอกว่าวิธีการแก้ปัญหาจริงๆ เราต้องออกมายืนนอกแมทริกซ์ของตัวเองเสียก่อน แล้วจะรู้ทันทีเลย ว่าเราไม่สามารถสรุปตัดสินใครได้เลย

ผู้ที่ยังปิดตัวเองอยู่ในแมทริกซ์ศีลธรรม ก็จะคอยไปทะเลาะ ด่าทอ เสียดสีเหน็บแนม กับฝ่ายตรงข้าม เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่ตนเองต้องทำเพื่อโลก

แต่มันจะดีกว่าไหม? ถ้าเรามี Openness อย่างแท้จริง โดยกินยาเม็ดของมอร์เฟียส แล้วออกไปยืนอยู่นอกแมทริกซ์ เพื่อเข้าใจว่าสังคมต้องการศีลธรรมทุกข้อ และต้องการคนทุกแบบ เราต้องให้น้ำหนักกับรากฐานศีลธรรมแบบต่างๆ มาช่วยถ่วงดุลย์กันและกันไว้

อยู่ที่ตัวท่านๆแล้วหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่