ผมไม่รู้ว่าทำไมร้านหนังสือมีแต่นิยายน้ำเน่า ไม่ก็พวกนิยายรักของวัยแรกรุ่น ????

ผมขอบ่นหน่อยนะครับ แค่บ่นเฉยๆหากไปกระทบจิตใจคอนิยายน้ำเน่าหรือนิยายวัยรุ่นผมก็ขออภัยด้วยนะครับ
         (คำบ่นนี้มาจากอารมณ์ล้วนๆ)
         (ผมเกริ่นก่อนนะ) แต่ก่อนผมไม่ค่อยจะรักการอ่านเท่าไหร่หรอก พยายามจะอ่านหนังสือจบเป็นเล่มแรก(ไม่จบสักเรื่อง) อาจเป็นเพราะหนังสือที่ผมเลือกอ่านมันยังไม่ถูกจริตกับผมเท่าไหร่มั้ง ผมเริ่มอ่านตั้งแต่นิยายรักอำมตะของไทย(ตอนนั้นกำลังมีความรัก) อ่านไปได้ครึ่งเรื่องมันไม่ได้อะไรเลยนอกจากจะจุดไฟแห่งความอิจฉาพระเอกในใจผม ลองหาเรื่องใหม่ๆ โอ้โห ไฟมันยิ่งโชติช่วงไปใหญ่ พอๆๆๆ   หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นนิยายรักชั้นนำของอเมริกาบ้าง ไม่ต่างจากเดิม ฮ่าๆ   หลังจากนั้นผมก็ไม่อ่านนิยายไปอีกนาน.....  หลังจากนั้นผมก็ไปเจอหนังสือวรรณกรรมรัสเซียเล่มนึงชื่อเรื่อง"สาวน้อยคนนั้น" ถึงชื่อจะดูน่ารักแต่หน้าปกเป็นรูปชายแก่หนวดยาวหน้าเครียดๆหน่อย(แค่น่าปกก็เจ๋งแล้ว)เขามันมองตาผม ผมก็มองตาเขากลับและยิ้มให้ ผมไม่ทันได้เปิดอ่านก็ตัดสินใจซื้อมาทันที แล้วผมก็อ่านจนจบ ถึงแม้ตอนจบพระเอกจะไม่ได้ครองหัวใจของนางเอง แต่ผมก็ได้อะไรมากมากจากหนังสือเล่มนั้น ตอนหลังผมได้รู้ว่าคนเขียนคือ Fyodor Dostoevsky ภูผาแห่งวรรณกรรมรัฐเซีย(เท่เนอะ) และผมก้ติดตามผลงานเขารวมทั้งนักเขียนโนเบลแต่ละเรื่องนี้กินใจชะมัด(ไม่มีฉากที่พระเอกจูบกับนางเอกนะ ฮ่าๆๆๆ) ยิ้ม

         
          (ช่วงบ่นแบบจริงจัง) ผมเซ็งกับการที่หนังสือวรรณโนเบลไม่ก็พวกวรรณกรรมดีๆ ที่มันสะท้อนสังคมหรือไม่ก็สะท้อนคุณค่าความเป็นมนุษย์มันมีน้อยเหลือเกินในร้านหนังสือเพราะมันไม่เป็นที่นิยมเมื่อเทียบกับพวกนิยายน้ำเน่า ในร้านหนังสือจะมีวรรณกรรมโนเบลอยู่ประมาณครึ่งชั้นไม่ก็ไม่มีเลยแต่พวกนิยายน้ำเน่านี่เล่นไปหกชั้น ผมจะหาอ่านทีมันยากเหลือเกิน ผมเข้าใจนะว่าคนเขานิยมอ่านกันแต่มันก็ขัดใจหน่อยๆ  คิดดูถ้ามีเมืองอยู่สองเมือง เมืองนึงร้านหนังสือในเมืองมีแต่นิยายน้ำเน่า กับอีกเมืองที่ร้านหนังสือในเมืองมีแต่หนังวรรณกรรมโนเบล เมื่อเด็กๆของสองเมืองนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่เขาจะอยู่ในสังคมที่แตกต่างกันอย่างไร????  มันไม่ยุติธรรมเลยกับเยาวชนและที่จะไปผูกติดกับค่านิยมเก่าๆที่ผู้ใหญ่เข้านิยมกัน การจะหาวรรณกรรมดีๆอ่านมันช่างยากเหลือเกิน เซ็งๆๆๆๆๆๆๆๆ มีแต่นิยายน้ำเน่าเต็มไปหมด เศร้า     จากอารมณ์ล้วนๆถ้าขัดใจใครก็ขอโทษด้วยนะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ร้านหนังสือคือธุรกิจอย่างนึงนะคะ เขาต้องทำกำไรเพื่อความอยู่รอด ซึ่งหนังสือที่วางจำหน่ายมันเป็นไปตามหลักอุปสงค์ อุปทานน่ะ

  เคยอ่านเจอว่า นักเขียนรุ่นหลังบางคนบอกว่า สนพ กำหนดเลยว่านิยายที่จะเขียนส่ง สนพ ต้องมีฉากนัวเนียกี่เปอร์เซ็นต์ มิน่า หนังสือพวกนี้ถึงเต็มตลาด  นักเขียนอีกท่าน เขียนผลงานออกไปทางด้านปรัชญา ศาสนา ไปหา สนพ ก็ถูกปฏิเสธมาว่า แนวนี้ขายยาก ต้องแนวรักๆ ใคร่ๆ ถึงจะขายออก

   แล้วสมัยนี้เป็นนักเขียนกันง่ายกว่าสมัยนักเขียนชั้นครูเยอะ เขียนเรื่องลงเน็ต ฮิตขึ้นมาก็ได้ตีพิมพ์แล้ว ซึ่งหลายเรื่องที่เคยลองเข้าไปอ่านในเน็ต อ่านแล้วพูดไม่ออก บางเรื่องมีแต่ฉากปั่มปั๊มกันทุกบท เรียกว่าพระเอกไม่ต้องทำมาหากินอะไร  ลากนางเอกขึ้นเตียงเป็นหลัก  แถมนักเขียนรุ่นหลังนี้ต้องเขียนนิยายตามใบสั่ง สนพ เพื่อทำละครอีก แล้วแต่ละเรื่องที่ออกมา หายากที่มีเนื้อหาสาระ มีคติสอนใจ ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต มีแต่เน้นรักๆ ใคร่ๆ คุณชาย คุณหญิง ฯลฯ  แถมเป็นละครออกมาแล้วดังติดตลาด ส่งผลให้หนังสือขายดีขึ้นไปอีก เลยทำให้มีหนังสือประเภทบ๊อกเซ็ตที่ไร้คุณภาพออกมาเต็มไปหมด และออกมาเรื่อยๆ  บางเรื่องขนาดอ่านฟรี ยังอ่านไม่รอด และเสียดายเวลา เสียดายตังค์แทนคนซื้อ

   รู้จักน้องๆ ที่รักการอ่านหลายคน และชอบอ่านนิยายแนวโรแมนติค เพ้อฝัน แต่น้องๆ พวกนี้เป็นสาวมั่น ทำงานเก่ง ตำแหน่งหน้าที่การงานดี เงินเดือนสูง  ยังเคยถามว่าทำไมอ่านนิยายแนวนี้ เขาบอกว่า ชีวิตเขาเครียดกับการงานมากพอแล้ว ขออ่านอะไรที่มันผ่อนคลายบ้าง  บางคนก็อ่านเป็นแนวโรแมนติคคอมเมดี้ไปเลย เขาว่าคลายเครียดดี  เราเคยเอานิยายโบตั๋น  ว วินิจฉัยกุลไปให้อ่าน เขาไม่อ่านกันค่ะ ยังว่าอีกด้วยว่า พี่อ่านอะไรน่ะ เครียดจัง สรุปแลกหนังสือกันอ่านไม่ได้ เขาอ่านของเราไม่รอด เราก็อ่านของเขาไม่รอดเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่