จริง ๆ ครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นไตรกีฬาครั้งแรกของเราหรอกนะคะ แต่เป็นครั้งแรกที่ว่ายน้ำในทะเลได้สักที เราเริ่มต้นคิดเรื่องไตรกีฬาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพราะมีเพื่อนพูดว่า หลังจากผ่านมาราธอนแล้ว เดี๋ยวเราก็จะเริ่มขี้เกียจซ้อมวิ่งแล้ว เพราะเราก็ไม่ใช่คนประเภทมุ่งมั่นกับการทำเวลาให้ดีขึ้น ที่จะซ้อม Interval ลองลงไตรกีฬาเพิ่มดูสิ
ฟังแล้วก็อยากถอนหายใจดัง ๆ คือแม้ว่าจะพอว่ายน้ำได้บ้าง แบบไม่แข็งแรง แต่ปั่นจักรยานไม่เป็นเลย น่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า แต่จะลงทวิกีฬา ก็ต้องหัดปั่นจักรยานเหมือนกันนั่นล่ะ เอาเว้ย ไปไตรกีฬาดูสักทีล่ะกัน
โบนัสออก จัดแจงไปดูจักรยานทันที แล้วก็ซื้อทันทีอีกเช่นกัน ได้ Bianchi DAMA Impulso มา (ตอนแรกอยากได้ถูกกว่านี้ เล็ง Trek 1.2 ไว้ เพราะกลัวตัวเองไม่อยากปั่นจักรยานขึ้นมาจริง ๆ จะเสียดายเงิน แต่ด้วยความมือใหม่มาก ลอง Trek แล้วรู้สึกว่า ระยะเอื้อมไม่พอดีตัว กลัว ก็เลยเปลี่ยน) ได้มาวันแรกลองปั่นในหมู่บ้าน แล้วก็ตามคาด ล้ม ค่ะ พอล้มความไม่มั่นใจก็เกิด อยากจะเลิกความคิด ณ วันนั้นเลยทีเดียว แต่พี่ชายก็เดินมาถามว่า “ตั้งใจจะไปไตรกีฬาจริงไหม ถ้าอยากไปก็ต้องปั่นให้ได้” โอเค คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้สิ แต่ตอนนั้นยังติดว่าต้องไปมาราธอนที่จอมบึงอยู่ ก็เลยคิดว่าพักการหัดปั่นจักรยานไปก่อน ไม่อยากให้บาดเจ็บก่อนไปวิ่ง กลัวถ้าเจ็บอะไรขึ้นมา แล้วจะมีการเจ็บเรื้อรังได้
พอจบจากจอมบึงมาราธอนมา ก็มาพยายามหัดปั่นจักรยาน พอเอาจริง ๆ มันก็ทำได้ พอปั่นได้เข้าที่ ก็พยายามหัดดื่มน้ำตอนปั่นจักรยาน หัดไปได้อาทิตย์แรก ลองปั่นยาว 20 km. ดู AV ก็ราว ๆ เกือบ 20 ค่ะ แต่ก็พอปรับตัวได้ ไม่เจ็บก้นมาก ไม่เมื่อไหล่ ไม่เจ็บมือ แต่เรื่องระบบการหายใจเราอาจจะดีนิดนึง เพราะก็วิ่งมาเป็นปีแล้ว
ต่อมาก็มาเห็นว่ามีงานไตรกีฬาแบบว่ายน้ำในสระของ Bangkok Dash วันที่ 2 มี.ค. ด้วยการว่ายน้ำ 800 เมตร ปั่นจักรยาน 40 km. และ วิ่ง 10 km. เราก็ลองตัวเราก่อนเลยค่ะ ลองว่ายน้ำดู ก็ช้า ๆ แต่ก็ว่ายระยะ 1000 m. ได้ ลองปั่นจักรยานกัดฟันก็ทนจนครบ 40 km. ได้ เพียงแต่ไม่ได้ทำต่อกันนะคะ ส่วนวิ่งช่างมันเถอะ ยังไงก็ต้องวิ่งถึง พอคิดว่าได้ก็สมัครแข่ง วันจริง ก็ทำว่ายน้ำไป 30 นาที ปั่นจักรยาน 1.42 ชม. วิ่งอีก 1.07 ชม. ณ จุดนี้ต้องขอบคุณทาง O2 Max ที่เคยจัด Workshop ก็เลยเตรียมตัวกับอาการขาแข็งหลังจากลงจักรยานจะต้องมาวิ่งไว้แล้ว พอเก็บจักรยาน เดินมารับน้ำ ราดหัวไป 1 แก้ว จิบอีก 2 อึ้ก เดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปราว ๆ กิโลนึงก็เริ่มวิ่งได้เป็นปกติ ความมั่นใจมาพอตัวแล้ว ต่อมาก็เลยสมัครไตรกีฬางาน Amarin Cha-um ก็พยายามซ้อมว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน แต่งานนี้เราไม่สำเร็จค่ะ พลาดที่ว่ายน้ำ ก็คงด้วยเราไม่เคยว่ายทะเล และเราก็กลัวมากเกินไป พยายามจะให้ตัวเองอยู่บนคลื่นให้ได้ เลยว่ายเร็วมาก แล้วหายใจไม่ทัน อยู่ไกลทุ่น พอเรือเค้ามาเก็บเราได้ เราก็เลยรู้สึกว่า เราคงไม่มีปัญญาว่ายอีกกิโลกว่าได้ไหวแน่ ๆ ก็เลย out ออกมาปั่นจักรยานต่อ
ตอนนี้ล่ะค่ะ เริ่มมาเจอชีวิตจริงของการปั่นเล็กน้อยแล้ว แม้ว่า route ของงานนี้จะเรียกได้ว่าง่ายมากเพราะไม่มีเนินใด ๆ ให้ต้องปีนเลย ช่วงต้านลมก็ไม่ได้แรงมาด แต่สำหรับเรามันก็ไม่ง่าย ปั่นไม่ได้ดังใจเลย และการวิ่งก็ร้อนมาก เกิดมาไม่เคยวิ่งแล้วปวดหัว ก็มาเจอเอาวันนั้น ก็ยังบอกตัวเองว่าโชคดีที่ไม่เป็นลมแดด อย่างน้อยก็เข้าเส้นชัยได้ วันนั้นปั่น 42.8 km ใช้เวลา 1.43 ชม. วิ่ง 10.5km ไป 1.13 ชม.
แล้วก็กลับมาถามตัวเองว่า จะแก้ไขยังไงต่อไป จะเปลี่ยนไปเป็น ทวิ หรือจะว่ายน้ำให้ได้ แล้วก็มีบางท่านใน pantip comment บอกเราว่า จะว่ายน้ำไตรกีฬา ก็ต้องหัดว่ายในทะเล ถ้าว่ายได้แล้วก็คือได้เลย เราก็เลยคิดว่า ก็คงต้องหาวิธีว่ายให้ได้ แต่จะทำยังไงล่ะ ไม่รู้จะไปให้ใครหัดว่ายให้ ไม่รู้จะไปว่ายกับใคร เพราะเราก็ดันเล่นกีฬาคนเดียวเลย ดังนั้นสิ่งที่เราคิดได้ก็คือ ก็ลงงานไตรกีฬาต่อไป เพราะถ้าเราไม่ไหว ยังมีเจ้าหน้าที่เค้ามาเก็บเราขึ้นฝั่ง และตั้งใจไว้ว่างานต่อไปขอให้ว่ายได้ไกลกว่าเดิมไปทุก ๆ งานเรื่อย ๆ สักวัน เราก็จะว่ายได้ครบระยะเอง
ดังนั้นก็เลยเป็นที่มาของการสมัครงาน Roboman และเนื่องจากการสมัครงานนี้ ก็เลยได้รับข่าวสารว่ามีคลาสเทรน Multi Sport Training ที่ Twist @Silom Complex ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าเป็นยังไงกับการเทรนแบบนักกีฬา เทรนการใช้กล้ามเนื้อ แต่ตอนนั้นก็อยู่ช่วงนี้เบื่อการออกกำลังกายนิด ๆ เพราะกลับมาวิ่งงาน รพ.ศิครินทร์ และ รพ.พระมงกุฎ แล้ววิ่งได้แย่มาก จนต้องถามตัวเองด้วยซ้ำว่า เราเป็นเป็ดรึเปล่า ทำหลายอย่าง แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง พอมาเทรน ก็เลยเอาเรื่องนี้ถามโค้ชด้วยว่า ทำไมเราถึงวิ่งได้แย่ลงเฉย ๆ โค้ชบอกว่า บางทีก็อาจจะเหมือนหลาย ๆ คนที่เอาแต่ออกกำลัง ใช้กล้ามเนื้อไปเรื่อย ๆ โดยไม่สร้างกล้ามเนื้อ มันก็หมด ก็ฟังแล้วก็ยัง งง ค่ะ โค้ช 555 แต่ก็เข้าคลาสเรียนมาเรื่อย ๆ
สำหรับเราถือว่าคลาสค่อนข้างจะหนัก เพราะปีกว่า ๆ ที่เราวิ่งมา เราวิ่งอย่างเดียว แทบไม่เคยแตะเวทเทรนนิ่งเลย เพราะงั้นการที่มีเวทเทรนนิ่งเพิ่มมาด้วยเนี่ย ทำเอากล้ามเนื้อเราหนักใจมาก ทั้งแขนและต้นขาปวดเมื่อยมาก (แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมเราไม่มีแรงว่ายน้ำ และแรงปั่นจักรยาน ก็กล้ามเนื้อส่วนนั้นเราแทบไม่มีเลย) ตอนช่วงนี้ทำให้เราค่อนข้างลดการเล่นกีฬาอื่นของเราลงค่อนข้างเยอะมาก แม้ว่าเราจะรู้ว่าอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับเรา คือsign ที่ดีว่า กล้ามเนื้อส่วนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานมันเริ่มตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เราก็จะต้องระวังไม่ให้สิ่งที่กำลังเหมือนจะดีนี้กลายเป็นอาการเจ็บได้ เราก็เลยคิดว่าเราจะไม่ออกกำลังกายอื่นซ้ำลงไปในวันที่เราเมื่อยกล้ามเนื้อ (คนอื่นอาจจะทำได้นะคะ แต่เราคิดว่าเรายังแข็งแกร่งไม่พอค่ะ และไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บค่ะ ในเมื่อเราแค่อยาก “เล่น” กีฬา) ดังนั้นจากเรามีเทรนวันศุกร์ กับ วันอาทิตย์ เราจึงให้ วันพฤหัส วันเสาร์ และ วันจันทร์ เป็นวันพักไปทันที สำหรับ 4 สัปดาห์ที่เทรน จะเหลือวันพุธที่ออกไปวิ่งเล็กน้อยประมาณ 8-10 km.
ในการเทรนทำให้เรารู้จุดอ่อนเราอีกหลายข้อ เราเพิ่งมาสังเกตว่า ปลายเท้าเราจะชอบชี้ออก (เหมือน ๆ จะเป็นตัว V) ที่โค้ชชี้ให้เห็นและบอกว่า ถ้าเท้าเราเป็นแบบนี้ จะทำให้เราปั่นจักรยานแล้วเจ็บเข่าได้ ซึ่งมันเรามาดูรูปตอนงานอัมรินทร์ เราปั่นจักรยานแบบปลายเท้าชี้ออก แล้ววันนั้นเราก็ตึงที่หัวเข่ามาก (เรายังใช้รองเท้าวิ่งปั่นอยู่ค่ะ ยังไม่ได้หัดติดครีท) เราก็เอามาปรับกับการปั่นต่อ ๆ มา พยายามสังเกตปลายเท้าตัวเอง และทำให้ติดเป็นนิสัย (ซึ่งจากภาพงาน Roboman เท้าเราตรงมาข้างหน้าทุกรูปค่ะ)
การวิ่งเราเปลี่ยนให้เราก้าวเท้าสั้นลง แต่รอบขาเร็วขึ้น แรก ๆ ก็ได้ pace ที่ช้ากว่าเดิมค่ะ แต่การหายใจสะดวกขึ้น และทำให้เหนื่อยน้อยลง ตามความคิดเรา เรารู้สึกว่ามันเหมาะกับการจะใช้วิ่งหลังจากลงจักรยาน เพราะมันไปได้เรื่อย ๆ ไม่ใช้แรงที่ขาเยอะ
การว่ายน้ำ เท่าที่เราถาม ๆ โค้ช เราพอจับใจความได้ว่า ถ้าตัวตรง (โค้ชจะชอบใช้คำว่าต้อง activate ลำตัวไว้) ว่ายยังไงก็ไม่จม แล้วเราก็มาลองดูตัวเรา ถ้าเราว่ายเปิดหน้าตรง ก้นเราจะโด่งขึ้น ขาจะตก และจังหวะนี้จะทำให้เราเหมือน ๆ จะจม ตอนว่ายน้ำ เราต้องตั้งสมาธิบอกตัวเองไว้ว่าตัวต้องตรง ตัวเริ่มไม่ตรงก็เกร็งก้นไว้ ทำให้ติดนิสัย มันจะเป็นธรรมชาติไปเองสักวัน
คิดว่าเตรียมตัว เตรียมใจมาพอสมควรล่ะ แม้ว่า จะยุ่งจนเกือบ ๆ จะไม่ได้ซ้อมแต่ละกีฬา แต่อย่างน้อย ก็ซ้อมแยกกีฬา เต็มระยะแล้ว
ตัดมาวันแข่งจริง สิ่งที่คิดไว้ ตอนแรกว่าจะลองว่ายน้ำวอร์มสัก 400 เมตร (ไป 200 เมตรแล้วกลับ) เพราะจากการซ้อมว่ายน้ำ เราคิดว่าระบบหายใจเราจะเริ่มไปได้ตอนระยะ 600 เมตร (ประมาณ 20 นาทีแรก) แต่พอเวลาจริง มองทะเลทีไรก็ยังกลัวอยู่ดี ตอนแรกว่าจะไปสะกิดโค้ชขอให้ช่วยพาลองว่ายดู แต่ก็คิดว่ามันคงดูตลกมากเลยว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะแข่ง ยังจะมากลัวอยู่ดี ก็เลยไม่ได้วอร์ม (จริง ๆ ลืมไปว่าน่าจะลองวิ่งวอร์ม 3 km. แทน)
แผนต่อมา เราจะออกตัวเป็นคนสุดท้าย และอยู่ติดทุ่นไว้ ก็ตามแผนค่ะ ออกตัวเป็นคนสุดท้าย อยู่ใกล้ ๆ ทุ่น ไปทีละร้อยเมตร เกาะทุ่นหายใจบ้าง แต่แล้ว พอใกล้ ๆ 300 เมตร คน wave 2 ตามมาทันแล้วค่ะ (มีการปล่อยตัวเป็น 2 wave ถึงเราจะออกตัวคนสุดท้ายของ wave แรก ก็ยังเหลือคน wave 2 อีก) สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ มีมือใครสักคนนี่ล่ะค่ะ ตบหมวกฉลามน้อยของเราหลุดออกจากหัวทีเดียว (ดีว่าแว่นไม่เป็นอะไรนะคะ) แล้วแม้ว่าจะมัดผมไว้แล้วก็ตาม เราดันมีผมหน้าม้าที่มันยาวปิดตาอยู่ ดังนั้นตั้งแต่ระยะราว ๆ 300 เมตร ก็เหมือนการว่ายอยู่ท่ามกลางสาหร่ายเลยทีเดียวค่ะ (บอกตัวเองว่าคราวหน้าจะมัดจุกผมข้างหน้า แถมติดกิ๊บด้วยล่ะค่ะ) การว่ายต่อจากนี้ ก็มีการแก้ปัญหาเพิ่มด้วยว่าถ้าจังหวะไหนจะเงยหน้าตรงมองทาง จะต้องใช้มือซ้ายปัดผมขึ้นก่อน แล้วพอเปิดมือขวาก็เงยหน้ามอง แล้วพอระยะทุ่น 600 เมตร ก็ตามคาด เราเกาะทุ่นนี้พักหายใจแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่หอบแล้ว ดังนั้นพอกลับตัวที่ 750 เมตรได้ เราก็จ้วงกลับทีเดียว ไม่ได้ต้องเกาะทุ่นไหนอีกแล้ว ขึ้นจากน้ำมา พิธีกรประกาศว่าได้ Qualified พอดี 1 ชม. เป๊ะ เสียงตบมือเยอะมาก (ก็เข้าคนจะสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ)
พอเปลี่ยนมาจักรยาน จำได้ว่าโค้ชบอกว่า ขึ้นจากน้ำแล้วให้ระวังเรื่องทานน้ำ ทานเจล เพราะว่ายน้ำเราจะกินลมเข้าไปเยอะ รีบทานเจลอาจจะอาเจียนออกมาได้ พอขึ้นมาก็เลย จิบน้ำเปล่านิดหน่อย แล้วก็เอาจักรยานออกไป แผนคือทานเจลที่กิโลที่ 5 และกิโลที่ 35 แต่ก็มีเรื่องเบลอนั่นล่ะค่ะ คือ ดันเอาผ้าเช็ดหน้าพาดบ่าไปทำไมก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็ปาไปกิโลที่ 3 จะปาทิ้งก็ไม่ดีเหมือนทิ้งขยะไปเรื่อย ก็คอยพยายามดึงไม่ให้มันปลิวไปติดหน้าใครตลอดเวลา แม้ว่าการปั่นในรันเวย์ของสนามบินจะทำให้เราไม่ต้องผจญกับรถพ่วงดูดก็ตาม แต่ก็ดันมีเนินให้ปีน เราก็พยายามปรับเกียร์ให้เราปั่นสบาย แต่มันคงไม่ถูกหลัก (ก็คิดอยู่ว่าเราไปช้าจัง) จนมีพี่ท่านหนึ่งตะโกนบอก ก่อนจะปั่นทิ้งเพื่อไม่ให้โดนเรื่อง Drafting ว่า “น้อง จานหน้าไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ถ้าขึ้นเนินใช้หลังใหญ่ ลงเนินใช้หลังเล็ก แล้วก็ปั่นส่งแรงไปเลย” รู้สึกดีค่ะ มีคนใจดีมาบอกด้วย ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ และสนามนี้ลมต้านแรงดีมากไปนิดนะคะ โดยเฉพาะ 3 km. สุดท้ายที่เราคิดว่าจะผ่อนแรง เพราะถ้า Sprint ช่วงท้ายพอหยุดแล้วตะคริวมันอาจจะมาถามหาได้ แต่ก็ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกัน และแล้วเมื่อถึงจุด Transition เบรกปุ๊บ เท้าแตะพื้นปั๊ป กรี๊ดลั่นว่า ตะคริวกินค่ะ ดีว่าเจ้าหน้าที่ไว เข้ามาถือจักรยานไว้ทันก็เลยไม่เจ็บตัวไป
แล้วก็เดินกระย่องกระแย่งเก็บจักรยาน ทานน้ำ เอาน้ำราดหัว ก็เริ่มออกวิ่ง คราวนี้เริ่มปรับตัวได้ เริ่มออกวิ่งได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ความรู้สึก ช่วงวิ่งแรก ๆ เราจะเผลอนึกว่า ตัวเองวิ่งช้าไป (ร่างกายมักจะจำความเร็วมาจากจักรยานเมื่อกี้) หันไปมองนาฬิกา pace 6 เพียว ๆ เชียว สำหรับตัวเองมันเร็วไปค่ะ ค่อย ๆ ถอยความเร็ว มาเลี้ยงไว้แถว ๆ 6.3 – 6.4 ก็คิดว่าน่าจะไปได้ครบ 10 km. แต่พอกิโลที่ 8 จะจบอยู่แล้ว รู้สึกว่าลมมันต้านมาแรงเกินสู้ ความเร็วก็เลยดิ่งไปแถว ๆ pace 7 ไปเลย จบ 10.6 km ที่ เวลา 1.12 ชม. ตลอดเวลาวิ่ง เราจะเอาน้ำราดตั้งแต่หัวมาให้ตัวเปียกเกือบตลอดค่ะ เพื่อป้องกันความร้อน
และแล้ว 4 ชม. ของเราก็ผ่านไป แม้ว่าเราจะเข้าคนที่เกือบโหล่ เราก็มีความสุขและสนุกค่ะ เราว่ากีฬาประเภทนี้เค้ามีเสน่ห์อยู่ที่เราได้ออกกำลังเต็มที่ แต่ร่างกายบาดเจ็บค่อนข้างน้อย ร่างกายเราไม่ช้ำ และ ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ขนาดขับรถกลับมาเองถึงกรุงเทพฯ คราวนี้ก็ไม่ยักจะสลบ
(ขอบคุณรูปจาก โปรตุ้ม Shutterrunning นะคะ รูปสวยทุกรุปค่ะ)
วันนี้ขอเรียกตัวเองว่า นักไตรกีฬา (ระดับเตรียมอนุบาล)ได้เต็มปากสักที กับงาน Roboman U-Tapao
ฟังแล้วก็อยากถอนหายใจดัง ๆ คือแม้ว่าจะพอว่ายน้ำได้บ้าง แบบไม่แข็งแรง แต่ปั่นจักรยานไม่เป็นเลย น่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า แต่จะลงทวิกีฬา ก็ต้องหัดปั่นจักรยานเหมือนกันนั่นล่ะ เอาเว้ย ไปไตรกีฬาดูสักทีล่ะกัน
โบนัสออก จัดแจงไปดูจักรยานทันที แล้วก็ซื้อทันทีอีกเช่นกัน ได้ Bianchi DAMA Impulso มา (ตอนแรกอยากได้ถูกกว่านี้ เล็ง Trek 1.2 ไว้ เพราะกลัวตัวเองไม่อยากปั่นจักรยานขึ้นมาจริง ๆ จะเสียดายเงิน แต่ด้วยความมือใหม่มาก ลอง Trek แล้วรู้สึกว่า ระยะเอื้อมไม่พอดีตัว กลัว ก็เลยเปลี่ยน) ได้มาวันแรกลองปั่นในหมู่บ้าน แล้วก็ตามคาด ล้ม ค่ะ พอล้มความไม่มั่นใจก็เกิด อยากจะเลิกความคิด ณ วันนั้นเลยทีเดียว แต่พี่ชายก็เดินมาถามว่า “ตั้งใจจะไปไตรกีฬาจริงไหม ถ้าอยากไปก็ต้องปั่นให้ได้” โอเค คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้สิ แต่ตอนนั้นยังติดว่าต้องไปมาราธอนที่จอมบึงอยู่ ก็เลยคิดว่าพักการหัดปั่นจักรยานไปก่อน ไม่อยากให้บาดเจ็บก่อนไปวิ่ง กลัวถ้าเจ็บอะไรขึ้นมา แล้วจะมีการเจ็บเรื้อรังได้
พอจบจากจอมบึงมาราธอนมา ก็มาพยายามหัดปั่นจักรยาน พอเอาจริง ๆ มันก็ทำได้ พอปั่นได้เข้าที่ ก็พยายามหัดดื่มน้ำตอนปั่นจักรยาน หัดไปได้อาทิตย์แรก ลองปั่นยาว 20 km. ดู AV ก็ราว ๆ เกือบ 20 ค่ะ แต่ก็พอปรับตัวได้ ไม่เจ็บก้นมาก ไม่เมื่อไหล่ ไม่เจ็บมือ แต่เรื่องระบบการหายใจเราอาจจะดีนิดนึง เพราะก็วิ่งมาเป็นปีแล้ว
ต่อมาก็มาเห็นว่ามีงานไตรกีฬาแบบว่ายน้ำในสระของ Bangkok Dash วันที่ 2 มี.ค. ด้วยการว่ายน้ำ 800 เมตร ปั่นจักรยาน 40 km. และ วิ่ง 10 km. เราก็ลองตัวเราก่อนเลยค่ะ ลองว่ายน้ำดู ก็ช้า ๆ แต่ก็ว่ายระยะ 1000 m. ได้ ลองปั่นจักรยานกัดฟันก็ทนจนครบ 40 km. ได้ เพียงแต่ไม่ได้ทำต่อกันนะคะ ส่วนวิ่งช่างมันเถอะ ยังไงก็ต้องวิ่งถึง พอคิดว่าได้ก็สมัครแข่ง วันจริง ก็ทำว่ายน้ำไป 30 นาที ปั่นจักรยาน 1.42 ชม. วิ่งอีก 1.07 ชม. ณ จุดนี้ต้องขอบคุณทาง O2 Max ที่เคยจัด Workshop ก็เลยเตรียมตัวกับอาการขาแข็งหลังจากลงจักรยานจะต้องมาวิ่งไว้แล้ว พอเก็บจักรยาน เดินมารับน้ำ ราดหัวไป 1 แก้ว จิบอีก 2 อึ้ก เดิน ๆ วิ่ง ๆ ไปราว ๆ กิโลนึงก็เริ่มวิ่งได้เป็นปกติ ความมั่นใจมาพอตัวแล้ว ต่อมาก็เลยสมัครไตรกีฬางาน Amarin Cha-um ก็พยายามซ้อมว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน แต่งานนี้เราไม่สำเร็จค่ะ พลาดที่ว่ายน้ำ ก็คงด้วยเราไม่เคยว่ายทะเล และเราก็กลัวมากเกินไป พยายามจะให้ตัวเองอยู่บนคลื่นให้ได้ เลยว่ายเร็วมาก แล้วหายใจไม่ทัน อยู่ไกลทุ่น พอเรือเค้ามาเก็บเราได้ เราก็เลยรู้สึกว่า เราคงไม่มีปัญญาว่ายอีกกิโลกว่าได้ไหวแน่ ๆ ก็เลย out ออกมาปั่นจักรยานต่อ
ตอนนี้ล่ะค่ะ เริ่มมาเจอชีวิตจริงของการปั่นเล็กน้อยแล้ว แม้ว่า route ของงานนี้จะเรียกได้ว่าง่ายมากเพราะไม่มีเนินใด ๆ ให้ต้องปีนเลย ช่วงต้านลมก็ไม่ได้แรงมาด แต่สำหรับเรามันก็ไม่ง่าย ปั่นไม่ได้ดังใจเลย และการวิ่งก็ร้อนมาก เกิดมาไม่เคยวิ่งแล้วปวดหัว ก็มาเจอเอาวันนั้น ก็ยังบอกตัวเองว่าโชคดีที่ไม่เป็นลมแดด อย่างน้อยก็เข้าเส้นชัยได้ วันนั้นปั่น 42.8 km ใช้เวลา 1.43 ชม. วิ่ง 10.5km ไป 1.13 ชม.
แล้วก็กลับมาถามตัวเองว่า จะแก้ไขยังไงต่อไป จะเปลี่ยนไปเป็น ทวิ หรือจะว่ายน้ำให้ได้ แล้วก็มีบางท่านใน pantip comment บอกเราว่า จะว่ายน้ำไตรกีฬา ก็ต้องหัดว่ายในทะเล ถ้าว่ายได้แล้วก็คือได้เลย เราก็เลยคิดว่า ก็คงต้องหาวิธีว่ายให้ได้ แต่จะทำยังไงล่ะ ไม่รู้จะไปให้ใครหัดว่ายให้ ไม่รู้จะไปว่ายกับใคร เพราะเราก็ดันเล่นกีฬาคนเดียวเลย ดังนั้นสิ่งที่เราคิดได้ก็คือ ก็ลงงานไตรกีฬาต่อไป เพราะถ้าเราไม่ไหว ยังมีเจ้าหน้าที่เค้ามาเก็บเราขึ้นฝั่ง และตั้งใจไว้ว่างานต่อไปขอให้ว่ายได้ไกลกว่าเดิมไปทุก ๆ งานเรื่อย ๆ สักวัน เราก็จะว่ายได้ครบระยะเอง
ดังนั้นก็เลยเป็นที่มาของการสมัครงาน Roboman และเนื่องจากการสมัครงานนี้ ก็เลยได้รับข่าวสารว่ามีคลาสเทรน Multi Sport Training ที่ Twist @Silom Complex ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าเป็นยังไงกับการเทรนแบบนักกีฬา เทรนการใช้กล้ามเนื้อ แต่ตอนนั้นก็อยู่ช่วงนี้เบื่อการออกกำลังกายนิด ๆ เพราะกลับมาวิ่งงาน รพ.ศิครินทร์ และ รพ.พระมงกุฎ แล้ววิ่งได้แย่มาก จนต้องถามตัวเองด้วยซ้ำว่า เราเป็นเป็ดรึเปล่า ทำหลายอย่าง แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง พอมาเทรน ก็เลยเอาเรื่องนี้ถามโค้ชด้วยว่า ทำไมเราถึงวิ่งได้แย่ลงเฉย ๆ โค้ชบอกว่า บางทีก็อาจจะเหมือนหลาย ๆ คนที่เอาแต่ออกกำลัง ใช้กล้ามเนื้อไปเรื่อย ๆ โดยไม่สร้างกล้ามเนื้อ มันก็หมด ก็ฟังแล้วก็ยัง งง ค่ะ โค้ช 555 แต่ก็เข้าคลาสเรียนมาเรื่อย ๆ
สำหรับเราถือว่าคลาสค่อนข้างจะหนัก เพราะปีกว่า ๆ ที่เราวิ่งมา เราวิ่งอย่างเดียว แทบไม่เคยแตะเวทเทรนนิ่งเลย เพราะงั้นการที่มีเวทเทรนนิ่งเพิ่มมาด้วยเนี่ย ทำเอากล้ามเนื้อเราหนักใจมาก ทั้งแขนและต้นขาปวดเมื่อยมาก (แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมเราไม่มีแรงว่ายน้ำ และแรงปั่นจักรยาน ก็กล้ามเนื้อส่วนนั้นเราแทบไม่มีเลย) ตอนช่วงนี้ทำให้เราค่อนข้างลดการเล่นกีฬาอื่นของเราลงค่อนข้างเยอะมาก แม้ว่าเราจะรู้ว่าอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับเรา คือsign ที่ดีว่า กล้ามเนื้อส่วนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานมันเริ่มตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เราก็จะต้องระวังไม่ให้สิ่งที่กำลังเหมือนจะดีนี้กลายเป็นอาการเจ็บได้ เราก็เลยคิดว่าเราจะไม่ออกกำลังกายอื่นซ้ำลงไปในวันที่เราเมื่อยกล้ามเนื้อ (คนอื่นอาจจะทำได้นะคะ แต่เราคิดว่าเรายังแข็งแกร่งไม่พอค่ะ และไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บค่ะ ในเมื่อเราแค่อยาก “เล่น” กีฬา) ดังนั้นจากเรามีเทรนวันศุกร์ กับ วันอาทิตย์ เราจึงให้ วันพฤหัส วันเสาร์ และ วันจันทร์ เป็นวันพักไปทันที สำหรับ 4 สัปดาห์ที่เทรน จะเหลือวันพุธที่ออกไปวิ่งเล็กน้อยประมาณ 8-10 km.
ในการเทรนทำให้เรารู้จุดอ่อนเราอีกหลายข้อ เราเพิ่งมาสังเกตว่า ปลายเท้าเราจะชอบชี้ออก (เหมือน ๆ จะเป็นตัว V) ที่โค้ชชี้ให้เห็นและบอกว่า ถ้าเท้าเราเป็นแบบนี้ จะทำให้เราปั่นจักรยานแล้วเจ็บเข่าได้ ซึ่งมันเรามาดูรูปตอนงานอัมรินทร์ เราปั่นจักรยานแบบปลายเท้าชี้ออก แล้ววันนั้นเราก็ตึงที่หัวเข่ามาก (เรายังใช้รองเท้าวิ่งปั่นอยู่ค่ะ ยังไม่ได้หัดติดครีท) เราก็เอามาปรับกับการปั่นต่อ ๆ มา พยายามสังเกตปลายเท้าตัวเอง และทำให้ติดเป็นนิสัย (ซึ่งจากภาพงาน Roboman เท้าเราตรงมาข้างหน้าทุกรูปค่ะ)
การวิ่งเราเปลี่ยนให้เราก้าวเท้าสั้นลง แต่รอบขาเร็วขึ้น แรก ๆ ก็ได้ pace ที่ช้ากว่าเดิมค่ะ แต่การหายใจสะดวกขึ้น และทำให้เหนื่อยน้อยลง ตามความคิดเรา เรารู้สึกว่ามันเหมาะกับการจะใช้วิ่งหลังจากลงจักรยาน เพราะมันไปได้เรื่อย ๆ ไม่ใช้แรงที่ขาเยอะ
การว่ายน้ำ เท่าที่เราถาม ๆ โค้ช เราพอจับใจความได้ว่า ถ้าตัวตรง (โค้ชจะชอบใช้คำว่าต้อง activate ลำตัวไว้) ว่ายยังไงก็ไม่จม แล้วเราก็มาลองดูตัวเรา ถ้าเราว่ายเปิดหน้าตรง ก้นเราจะโด่งขึ้น ขาจะตก และจังหวะนี้จะทำให้เราเหมือน ๆ จะจม ตอนว่ายน้ำ เราต้องตั้งสมาธิบอกตัวเองไว้ว่าตัวต้องตรง ตัวเริ่มไม่ตรงก็เกร็งก้นไว้ ทำให้ติดนิสัย มันจะเป็นธรรมชาติไปเองสักวัน
คิดว่าเตรียมตัว เตรียมใจมาพอสมควรล่ะ แม้ว่า จะยุ่งจนเกือบ ๆ จะไม่ได้ซ้อมแต่ละกีฬา แต่อย่างน้อย ก็ซ้อมแยกกีฬา เต็มระยะแล้ว
ตัดมาวันแข่งจริง สิ่งที่คิดไว้ ตอนแรกว่าจะลองว่ายน้ำวอร์มสัก 400 เมตร (ไป 200 เมตรแล้วกลับ) เพราะจากการซ้อมว่ายน้ำ เราคิดว่าระบบหายใจเราจะเริ่มไปได้ตอนระยะ 600 เมตร (ประมาณ 20 นาทีแรก) แต่พอเวลาจริง มองทะเลทีไรก็ยังกลัวอยู่ดี ตอนแรกว่าจะไปสะกิดโค้ชขอให้ช่วยพาลองว่ายดู แต่ก็คิดว่ามันคงดูตลกมากเลยว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะแข่ง ยังจะมากลัวอยู่ดี ก็เลยไม่ได้วอร์ม (จริง ๆ ลืมไปว่าน่าจะลองวิ่งวอร์ม 3 km. แทน)
แผนต่อมา เราจะออกตัวเป็นคนสุดท้าย และอยู่ติดทุ่นไว้ ก็ตามแผนค่ะ ออกตัวเป็นคนสุดท้าย อยู่ใกล้ ๆ ทุ่น ไปทีละร้อยเมตร เกาะทุ่นหายใจบ้าง แต่แล้ว พอใกล้ ๆ 300 เมตร คน wave 2 ตามมาทันแล้วค่ะ (มีการปล่อยตัวเป็น 2 wave ถึงเราจะออกตัวคนสุดท้ายของ wave แรก ก็ยังเหลือคน wave 2 อีก) สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ มีมือใครสักคนนี่ล่ะค่ะ ตบหมวกฉลามน้อยของเราหลุดออกจากหัวทีเดียว (ดีว่าแว่นไม่เป็นอะไรนะคะ) แล้วแม้ว่าจะมัดผมไว้แล้วก็ตาม เราดันมีผมหน้าม้าที่มันยาวปิดตาอยู่ ดังนั้นตั้งแต่ระยะราว ๆ 300 เมตร ก็เหมือนการว่ายอยู่ท่ามกลางสาหร่ายเลยทีเดียวค่ะ (บอกตัวเองว่าคราวหน้าจะมัดจุกผมข้างหน้า แถมติดกิ๊บด้วยล่ะค่ะ) การว่ายต่อจากนี้ ก็มีการแก้ปัญหาเพิ่มด้วยว่าถ้าจังหวะไหนจะเงยหน้าตรงมองทาง จะต้องใช้มือซ้ายปัดผมขึ้นก่อน แล้วพอเปิดมือขวาก็เงยหน้ามอง แล้วพอระยะทุ่น 600 เมตร ก็ตามคาด เราเกาะทุ่นนี้พักหายใจแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่หอบแล้ว ดังนั้นพอกลับตัวที่ 750 เมตรได้ เราก็จ้วงกลับทีเดียว ไม่ได้ต้องเกาะทุ่นไหนอีกแล้ว ขึ้นจากน้ำมา พิธีกรประกาศว่าได้ Qualified พอดี 1 ชม. เป๊ะ เสียงตบมือเยอะมาก (ก็เข้าคนจะสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ)
พอเปลี่ยนมาจักรยาน จำได้ว่าโค้ชบอกว่า ขึ้นจากน้ำแล้วให้ระวังเรื่องทานน้ำ ทานเจล เพราะว่ายน้ำเราจะกินลมเข้าไปเยอะ รีบทานเจลอาจจะอาเจียนออกมาได้ พอขึ้นมาก็เลย จิบน้ำเปล่านิดหน่อย แล้วก็เอาจักรยานออกไป แผนคือทานเจลที่กิโลที่ 5 และกิโลที่ 35 แต่ก็มีเรื่องเบลอนั่นล่ะค่ะ คือ ดันเอาผ้าเช็ดหน้าพาดบ่าไปทำไมก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็ปาไปกิโลที่ 3 จะปาทิ้งก็ไม่ดีเหมือนทิ้งขยะไปเรื่อย ก็คอยพยายามดึงไม่ให้มันปลิวไปติดหน้าใครตลอดเวลา แม้ว่าการปั่นในรันเวย์ของสนามบินจะทำให้เราไม่ต้องผจญกับรถพ่วงดูดก็ตาม แต่ก็ดันมีเนินให้ปีน เราก็พยายามปรับเกียร์ให้เราปั่นสบาย แต่มันคงไม่ถูกหลัก (ก็คิดอยู่ว่าเราไปช้าจัง) จนมีพี่ท่านหนึ่งตะโกนบอก ก่อนจะปั่นทิ้งเพื่อไม่ให้โดนเรื่อง Drafting ว่า “น้อง จานหน้าไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ถ้าขึ้นเนินใช้หลังใหญ่ ลงเนินใช้หลังเล็ก แล้วก็ปั่นส่งแรงไปเลย” รู้สึกดีค่ะ มีคนใจดีมาบอกด้วย ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ และสนามนี้ลมต้านแรงดีมากไปนิดนะคะ โดยเฉพาะ 3 km. สุดท้ายที่เราคิดว่าจะผ่อนแรง เพราะถ้า Sprint ช่วงท้ายพอหยุดแล้วตะคริวมันอาจจะมาถามหาได้ แต่ก็ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกัน และแล้วเมื่อถึงจุด Transition เบรกปุ๊บ เท้าแตะพื้นปั๊ป กรี๊ดลั่นว่า ตะคริวกินค่ะ ดีว่าเจ้าหน้าที่ไว เข้ามาถือจักรยานไว้ทันก็เลยไม่เจ็บตัวไป
แล้วก็เดินกระย่องกระแย่งเก็บจักรยาน ทานน้ำ เอาน้ำราดหัว ก็เริ่มออกวิ่ง คราวนี้เริ่มปรับตัวได้ เริ่มออกวิ่งได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ความรู้สึก ช่วงวิ่งแรก ๆ เราจะเผลอนึกว่า ตัวเองวิ่งช้าไป (ร่างกายมักจะจำความเร็วมาจากจักรยานเมื่อกี้) หันไปมองนาฬิกา pace 6 เพียว ๆ เชียว สำหรับตัวเองมันเร็วไปค่ะ ค่อย ๆ ถอยความเร็ว มาเลี้ยงไว้แถว ๆ 6.3 – 6.4 ก็คิดว่าน่าจะไปได้ครบ 10 km. แต่พอกิโลที่ 8 จะจบอยู่แล้ว รู้สึกว่าลมมันต้านมาแรงเกินสู้ ความเร็วก็เลยดิ่งไปแถว ๆ pace 7 ไปเลย จบ 10.6 km ที่ เวลา 1.12 ชม. ตลอดเวลาวิ่ง เราจะเอาน้ำราดตั้งแต่หัวมาให้ตัวเปียกเกือบตลอดค่ะ เพื่อป้องกันความร้อน
และแล้ว 4 ชม. ของเราก็ผ่านไป แม้ว่าเราจะเข้าคนที่เกือบโหล่ เราก็มีความสุขและสนุกค่ะ เราว่ากีฬาประเภทนี้เค้ามีเสน่ห์อยู่ที่เราได้ออกกำลังเต็มที่ แต่ร่างกายบาดเจ็บค่อนข้างน้อย ร่างกายเราไม่ช้ำ และ ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ขนาดขับรถกลับมาเองถึงกรุงเทพฯ คราวนี้ก็ไม่ยักจะสลบ
(ขอบคุณรูปจาก โปรตุ้ม Shutterrunning นะคะ รูปสวยทุกรุปค่ะ)