รีวิว X-Men: Days of Future Past ไม่ได้เจ๋งถึงขั้นที่หลายคนอวยกัน คะแนน IMDb เฟ้อโคตรๆๆๆ

X-Men: Days of Future Past (2014)



ออกตัวก่อนว่าดู X-Men มาครบทุกภาค แต่ชอบแค่ในฐานะหนังแอ็คชั่น blockbuster ดูเพลิน ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ได้เป็นแฟนเดนตายอะไรเมื่อเทียบกับที่หลงรัก Batman ฉบับโนแลนหรือ Watchmen ของเฮียแซ็ค

จนเมื่อมาเจอ X-Men First Class ชอบภาคนี้มากที่สุดถึงขั้นใส่ใน top 250 หนังโปรดของตัวเอง เป็นหนังที่พา X-men กลับสู่ความเป็นหนังสะท้อนสถานะในสังคมของคนกลุ่มน้อย รวมถึงการเขียนบทอย่างชาญฉลาดทั้งการแบ่งข้างให้คนดูตัดสินใจเลือกสนับสนุนเองโดยที่ผู้กำกับไม่ได้ชี้นำ และแทรกตัวละครเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้อย่างแนบเนียน

ภาคที่ไม่ชอบที่สุดคือ The Wolverine มันเหมือนเป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ทั่วไปที่เอาตัวละครวูล์ฟเวอรีนไปใช้เฉย ๆ ไม่ได้มีความเป็น X-Men เลย



เรื่องย่อ: เหล่า X-Men จากภาค 1-2-3 กำลังถูกโจมตีจากเซนทิเนลอย่างหนัก พวกเขาเลยส่งวูล์ฟเวอรีน (Hugh Jackman) ย้อนเวลากลับไปหา X-Men First Class เพื่อแก้ไขประวัติศาสตร์ ส่วนถ้าถามว่าทำไมต้องส่งวูล์ฟเวอรีนก็เพราะว่าฮิวจ์ แจ็คแมนเป็นตัวทำเงินนะครับแหม่

1. Reboot รอบสอง
หลังจากตัวละครล้มหายตายจากไปเยอะในภาค The Last Stand จนไม่เหลืออะไรให้เล่นสักเท่าไร ทางสตูดิโอก็เลยจัดการพาไปย้อนถึงจุดกำเนิด X-Men เป็นภาค First Class ซะเลย ซึ่งวิสัยทัศน์ของแมทธิว วอห์นก็คือการ reboot ตั้งต้นใหม่จากศูนย์เหมือน Batman Begins ของโนแลน นั่นเท่ากับเป็นการทำลายนักแสดงแม่เหล็กจากภาคเก่า ๆ ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของสตูดิโอโดยตรง และด้วยความที่ First Class ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เลยเป็นเหตุผลอันสมควรของสตูดิโอที่จะหาทางเอานักแสดงแม่เหล็กกลับมาผสมกับนักแสดงรุ่นใหม่ที่เริ่มมีชื่อเสียง (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็น movie star ก็ปี 2012 จาก The Hunger Games + Silver Linings Playbook) จึงเกิดเป็นการ reboot อีกรอบเพื่อสร้าง timeline ใหม่เป็นจักรวาลคู่ขนานไม่แคร์สื่อ



โดยส่วนตัวผมใช้วิจารณญาณเชื่อข่าวลือที่ว่าวอห์นขอถอนตัวจาก Days of Future Past เพราะวิสัยทัศน์ของเขาไม่ตรงกับแนวการตลาดของสตูดิโอ (ล่าสุดก็ Ant-Man ของ Marvel กับเอ็ดการ์ ไรท์) วอห์นตั้งใจจะทำ X-Men แบบเดิมคือเล่นเรื่องต่อยอดจากวิกฤตขีปนาวุธคิวบาไปสู่สงครามเวียดนามโดยมีเรื่องราวการลอบสังหาร JFK โดยแม็กนีโต้เป็นพื้นหลัง (หนังที่ควรดูประกอบคือ Thirteen Days ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบท First Class ด้วย) ทีนี้โปรดิวเซอร์และสตูดิโออยากให้ใช้นักแสดงเก่าด้วยเลยเกิดเป็นเรื่องย้อนเวลาซึ่งทำให้วอห์นขอถอนตัวไปในที่สุด

องค์ประกอบที่ช่วยให้น้ำหนักเรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้นก็คือการหั่นนักแสดงจาก First Class ออกไปหลายคน และใส่นักแสดงจาก X-Men trilogy กลับมาแทบจะครบทุกตัว รวมถึงพยายามแถ timeline X-Men ให้เป็นโลกเดียวกัน (ซึ่งมีจุดโหว่เยอะมาก) โดยที่ยังมีเรื่อง JFK และสงครามเวียดนามใส่เข้ามาผ่าน ๆ

2. หากคิดว่ามันเป็นหนังใหม่ไม่อิงหนังเก่าก็สนุกดี
หากเราเคยดูแค่ X-Men First Class แล้วมาดูภาคนี้ต่อเลยโดยไม่ต้องไปคิดอะไรให้วุ่นวายก็คงดูได้แบบสบายใจเพราะเส้นเรื่องคู่ขนานเดิมมันแถไม่ขึ้นหลายจุดมาก ๆ เพราะไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเอาไว้ เช่นเรื่องซาเวียร์กับราเวนใน X1 ต่างจาก First Class แถม First Class ก็เพิ่ง reboot ปรับเปลี่ยนใหม่ พอมาใช้มุกโลกคู่ขนานก็เลยแปร่ง ๆ กับโลกเดิมอยู่มาก ส่วนโลกใหม่ก็ชิลด์ ๆ ใช้นักแสดงเดิมหากินต่อได้อีกหลายปี



3. เซนทิเนลเปิดตัวสะแด่วมาก
เป็นฉากแอ็คชั่นที่ผมกรี๊ดกร๊าดมาก มันทั้งเปี่ยมไปด้วยไอเดีย หวือหวา เร้าใจ และที่สำคัญคือความเป็นทีมในแบบ X-Men ที่ร่วมกันต่อสู้กับเซนทิเนล แต่ละคนออกมาจ๊าบมาก เช่นบลิ๊งกับไอซ์แมนนี่แอดมินกรี๊ดมาก ฮ่าๆๆ แถมที่สำคัญคือเซนทิเนลออกมาฉากเดียวก็รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของมันทันทีเลย พี่แกเล่นใช้พลังของมนุษย์กลายพันธุ์ได้ด้วย โหดจริงอะไรจริง ถึงกับต้องย้อนเวลาไปล้มไข่โครงการเลยทีเดียวแหม่ ฉากแอ็คชั่นเปิดหนังได้ใจมาก ฉากนี้ให้ 10/10 เลย



4. Quicksilver
เห็นหลายคนกรี๊ดกร๊าดฉากโชว์ออฟควิกซิลเวอร์ฉบับ X-Men กัน พอเอาเข้าจริงผมชอบแค่ความเกรียนของตัวละคร คือมันเกรียนแบบเกรียนโคตรจริง ๆ สมแล้วที่มาจากหนังเกรียนแบบ Kick-Ass ฮ่าๆๆๆ ส่วนฉากโชว์ออฟแบบนี้ใช้บ่อยไม่ได้เพราะมันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากความกวน...ของตัวละครบวกกับเทคนิคการถ่ายทำจัดเฟรมเรทสูง ๆ ที่ต้องยกนิ้วให้เลย (แต่ถ้าไปรวมทีมสู้แบบใช้ทีมเวิร์คนี่ก็น่าดูอยู่นะ แต่ไม่ใช่ฉายเดี่ยวแน่ ๆ หะหะ)



5. ต่อยอดอุดมการณ์ความขัดแย้งระหว่างซาเวียร์และแม็กนีโต้
หลังจากภาค First Class เพิ่งจะแบ่งแยกให้ซาเวียร์คือตัวแทนของ 'อุดมคติ' ที่ต้องการให้มนุษย์กลายพันธุ์ได้รับการยอมรับและสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้เหมือนคนปกติทั่วไป และแม็กนีโต้คือตัวแทนของการมองโลกตามความเป็นจริง ที่ไม่เชื่อว่ามนุษย์จะยอมรับความแตกต่างจากชนชั้นที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าได้ นั่นหมายถึงการมองมนุษย์เป็นศัตรู

หนังยังคงรักษาเส้นเรื่องเดิมเอาไว้ได้ ทั้งสองคนต้องการผลลัพธ์เดียวกันเพียงแต่ใช้คนละวิธีการ ระหว่างความเชื่อใจในแบบอุดมคติจะเปลี่ยนความคิดมนุษย์ กับการใช้ความรุนแรงขั้นเด็ดขาดไปเลย



ผมชอบการเล่นประเด็นนี้ตรงที่มันใช้มิสทีคเป็นตัวเดินเรื่อง เพียงแต่ความหนักของเนื้อหามันยังไม่ถึงใจแบบ First Class (ส่วนถ้าถามว่าทำไมต้องใช้มิสทีคก็เพราะนางกำลังดังเป็นซุปตาร์นั่นเองแหม่)

6. ทางเลือกของมิสทีค
ก่อนอื่นขอแซวว่านางกำลังดัง บทเลยต้องเด่นหน่อย เด่นขนาดเป็นตัวเดินเรื่องเลยแหม่ ฮ่าๆ ภาคนี้นางกำลังหลงทางครับ ตัวแปรสำคัญของเรื่องอยู่ที่การตัดสินใจของนางเลย หนังก็มาเล่นประเด็นให้ซาเวียร์และแม็กนีโต้เป็นคนกล่อมเธอ ซึ่งผมว่าน่าสนใจดี แต่ก็เช่นเคยมันไม่เข้มข้นสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคิดความอ่านของมิสทีคมันขาดความต่อเนื่องจาก First Class ที่เพิ่งไปอยู่ข้างแม็กนีโต้ แต่ภาคนี้นางแยกตัวออกมาลุยเดี่ยวเองแล้วซะงั้น



7. การกระจายบท
แอบดีใจนิดหน่อยที่อย่างน้อยภาคนี้ก็พอจะลบคำครหาว่าเป็น The Wolverine ภาค 3-4-5 อะไรทำนองนี้ไปได้ เพราะปกติพี่แกเด่นอยู่คนเดียวโดยมีคนอื่นเป็นตัวประกอบ ฮ่าๆ ก็เข้าใจว่าบุคลิกแบบหัวขบถ ยียวน anti-hero แบบนี้แถมยังเป็นนักแสดงระดับฮิวจ์ แจ็คแมนมันย่อมเป็นขวัญใจคนดูแต่นี่มัน X-Men ต้องเล่นเป็นทีมกระจายบทสิฟะ

การได้เห็น X-Men แท็กทีมกันสู้เซนทิเนลตอนต้นเรื่องและจบเรื่อง (โดยไม่มีวูล์ฟเวอรีน) เป็นส่วนที่ดีที่สุดของฉากแอ็คชั่นในหนังภาคนี้ในสายตาผม การได้เห็นสี่นักแสดงจาก X-Men First Class ได้บทเป็นตัวเดินเรื่องจนถึงฉากสุดท้ายก็ทำให้ยิ้มได้อยู่

ส่วนพี่วูล์ฟก็เด่นด้วยตัวพี่แกเองได้อยู่แล้ว แถมออกจอเยอะด้วย win-win ทุกฝ่ายแหละมั้ง(เนอะ)



+++++
สรุปแล้วคะแนน IMDb หนังใหม่เดี๋ยวนี้โคตรของโคตรของโคตรโอเว่อร์ เป็นกันแทบทุกเรื่องโดยเฉพาะหนังแฟนคลับเยอะ ๆ ถ้าเอาตามปกติภาคนี้ได้ 7 ต้น ๆ ก็ถือว่าสวยแล้ว ไม่ใช่ 8.7 แบบตอนนี้แน่นอน

ส่วนดีคือหากไม่อิงกับอะไรมันก็เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่เล่าเรื่องได้ลื่นไหลดี ตอบโจทย์ความบันเทิงสำหรับหนัง blockbuster สักเรื่องได้
ส่วนด้อยคือดราม่ายังไม่แข็ง แถมยังแถจะรวมนักแสดงแบบไม่เนียนอีก ฉากแอ็คชั่นก็ตื่นตาแค่ตอนสู้กับเซนทิเนล แต่ว่าใครไม่คิดอะไรอยากดูหนังแอ็คชั่นรวมดาวหรือคิดถึงนักแสดงเก่าก็พอไหวอยู่

เรียงความชอบ X-Men First Class > X2 > Days of Future Past > X-Men 1 > The Last Stand > Origins: Wolverine > The Wolverine

ป.ล. ท้ายเครดิตมีฉากสั้น ๆ เผยโฉมอะโพคาลิปส์กำลังสร้างพีรามิด เป็นว่าที่ตัวร้ายในภาค X-Men: Apocalypse ครับ ใครอยากดูก็นั่งเล่นมือถือรอเครดิตหนังจบได้เลยฮะ ย้ำว่าเครดิตหนังจบจริง ๆ รอประมาณ 7-8 นาทีได้

Director: Bryan Singer
Story: Jane Goldman, Simon Kinberg, Matthew Vaughn
Screenplay: Simon Kinberg

Genre: Superhero, Action, Adventure, Fantasy, Thriller
7.5/10

ติดตามรีวิวและบทความต่าง ๆ ได้ที่เพจภาพยนตร์: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่