คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
บทความจาก http://www.indepencil.com
เดินทางไปตามหามนุษย์ต่างดาวกันเถอะ
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเยอะจริง ๆ ทั้งเรื่องที่มีคนอ้างว่าเห็น UFO เห็นมนุษย์ต่างดาว โดนลักพาตัว เจอปรากฏการณ์ประหลาด ภาพถ่ายสัตว์ประหลาด ภาพถ่ายที่อ้างว่าหลุดออกมาจากองค์กรลับนู่นนี่นั่น รวมทั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่อาจได้มาจากสิ่งมีชีวิตที่ทรง ภูมิปัญญานอกโลก
ถ้าถามว่าแอดมินเชื่อเรื่องมนุษย์ต่าวดาวรึ เปล่า ก็ตอบเลยว่าเชื่อ…เชื่อว่ามีจริง และเชื่อมากด้วย แต่สำหรับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ชาวโลกเล่าขานกันนั้น แอดมินให้ความเชื่อถือไม่เกิน 50% อย่างมากสุดนะ เพราะเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวทุกเรื่องมักจะต้องลงท้ายว่า… “จากนั้นเรื่องก็เงียบไป เพราะรัฐบาลพยายามปิดบังเรื่องนี้” แล้วเรื่องนี้ก็กลายเป็นปริศนาต่อไป…
หากแอดมินเป็นรัฐบาลของประเทศไหนก็ตามที่ สามารถพิสูจน์ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ไม่ว่าจะด้วยการยิงมันตกลงมา บังเอิญเจอ หรืออะไรก็แล้วแต่ แอดมินคงจะรีบประกาศทันทีก่อนที่ประเทศอื่นจะชิงตัดหน้า (ยิ่งเป็นจ้าวแห่งไซไฟอย่างสหรัฐฯ คิดหรือว่าถ้ามีหลักฐานเพียงพอเค้าจะปกปิดเรื่องแบบนี้เอาไว้?) หรือถ้าจะปกปิดเพราะกลัวประชาชนแตกตื่นยิ่งฟังไม่ขึ้นเลย เพราะไม่ว่าจะยังไงประชาชนก็แตกตื่นกันไปเรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประเด็นที่สำคัญกว่านั้นซ่อนอยู่และต้องการจะปิดบัง จริง ๆ ก็ถือว่าเขาทำงานนี้ได้ดีกว่างานอื่น ๆ มาก
สรุปว่าแอดมินเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เรื่องที่มนุษย์ต่างดาวมาเที่ยวโลกเราบ่อย ๆ นั้น แอดมินให้แค่ 50:50 ก็แล้วกัน จะว่าไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้ เพราะบางเรื่องมันก็น่าเชื่อจริง ๆ แต่หากเราเป็นมนุษย์ต่างดาว เราจะลงทุนมหาศาลเพื่อเดินทางข้ามจักรวาลไปลักพาตัวหรือแอบดูชาวโลกนิด ๆ หน่อย ๆ หรือเปล่า?
นักวิทยาศาสตร์มีโครงการมากมายในการเสาะหา เพื่อนร่วมจักรวาล การส่งยานไปสำรวจดาวอังคารก็เป็นหนึ่งในนั้น เราคอยฟังเสียงจากอวกาศมามากกว่า 40 ปีแล้ว เผื่อว่าจะมีสัญญาณที่มนุษย์ต่างดาวส่งมา แต่เราก็ยังไม่เคยได้รับการติดต่อ ไม่เคยแม้แต่พบสัตว์เซลล์เดียวนอกโลกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราทำได้นั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับจักรวาลที่ใหญ่มาก พวกเขาอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้
สัญญาณว้าว! (WOW! Signal)
เราคอยฟังเสียงจักรวาลโดยการแสกนท้องฟ้าขณะ ที่โลกหมุน และมีอยู่ครั้งหนึ่ง…ครั้งเดียวเท่านั้น ที่กล้องโทรทรรศน์วิทยุจับสัญญาณปริศนาจากอวกาศได้ วันนั้นเป็นวันที่ 15 (ต่อกับวันที่ 16) สิงหาคม ค.ศ.1977 กล้องสัญญาณโทรทรรศน์วิทยุจากโอไฮโอจับสัญญาณประหลาดได้ มันเป็นสัญญาณคลื่นวิทยุที่คงที่ แตกต่างจากคลื่นวิทยุอื่น ๆ ในจักรวาล คล้ายเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากดาวอื่นอย่างตั้งใจ คอมพิวเตอร์บันทึกสัญญาณ เป็นตัวอักษรและตัวเลข 6 ตัว (6EQUJ5) มันเด่นชัดมากจนนักดาราศาสตร์ที่ตรวจพบนามว่า เจอร์รี อาร์. เอฮ์แมน เขียนคำหนึ่งคำบนมุมกระดาษว่า…ว้าว! (WOW!) มันจึงถูกเรียกว่าสัญญาณ “ว้าว!” จากนั้นมีการตรวจสอบสัญญาณหย่อมเดิมอีกหลายรอบ แต่สัญญาณนั้นจางหายไป ไม่พบอะไรอีกเลย และนั่นเป็นครั้งเดียวจริง ๆ ที่เราพบสิ่งประหลาดจากการฟังเสียงอวกาศ
เหตุการณ์นี้ทำให้เราตระหนักว่า การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผ่านคลื่นวิทยุนั้นทำได้ยากมาก เพราะจักรวาลมีขนาดใหญ่เกินไป ข้อมูลต้องใช้เวลานานมากในการเดินทาง สัญญาณ WOW! มาจากดวงดาวที่ห่างออกไป 200 ปีแสง ดังนั้นมันต้องใช้เวลา 200 ปีกว่าจะมาถึงเรา และถึงแม้เราจะได้รับสัญญาณนั้น และแปลความหมายออกมาได้ แล้วรีบส่งสัญญาณตอบกลับไปทันที กว่ามนุษย์ต่างดาวจะได้รับก็ต้องใช้เวลาอีก 200 ปี เป็นไปได้มากว่าพวกเขาคงจะลืมไปแล้วว่าส่งอะไรมา และเลิกรอตำตอบไปนานแล้ว หรือที่แย่กว่านั้น ณ วันที่เราได้รับข้อความ ดาวดวงดังกล่าวอาจจะระเบิดตัวเองไปเรียบร้อยแล้วก็ได้ เพราะถ้าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเช่นเดียวกับเรา นั่นก็อาจหมายความว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาน่าจะดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ความฉลาดมาพร้อมกับความซุกซนเสมอ (ทันทีที่ค้นพบสมการ E = mc กำลัง 2 แล้วก็ ตู้มมมม!!! หายวับไปเลย หรืออะไรทำนองนั้นแหละ)
มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน…
โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ 1 ใน 8 ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่ได้ฟังดูพิเศษอะไรมากมาย เพราะโลกเป็นเพียงหนึ่งในสองพันล้านดวงในเกลียวขนาดใหญ่ของแกแล็กซี่ทางช้าง เผือก และทางช้างเผือกก็เป็นเพียงห้วงเล็ก ๆ ในมหาสมุทรจักรวาล เป็นหนึ่งในแสนล้านแกแล็กซี่(หรือมากกว่านั้น) ที่ก่อตัวเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง มันจึงยากที่จะเชื่อว่ามีแค่พวกเราจริง ๆ
มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ไกลออกไปควรจะมีหน้าตา เป็นอย่างไรนั้นมีความเป็นไปได้อย่างไม่จำกัดเลยทีเดียว มันอาจเป็นเพียงเมือกสีเขียว หรือสัตว์ชั้นสูง หรือผู้ที่มีอารยธรรมที่ทันสมัยเหมือนในหนังวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้ มันอาจหน้าตาประหลาดจนเราไม่คิดว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้ และมันอาจจะอาศัยอยู่ตรงไหนของดวงดาวก็ได้ แม้แต่ใจกลางของดวงดาว หรืออาจเป็นเมฆฝุ่นที่ลอยอยู่ในจักรวาล อาจมีชีวิตยืนยาว หรือเกิดและตายเพียงชั่วพริบตา เรียกได้ว่าไม่มีจินตนาการไหนจะมากเกินไปเลย
และถ้าสมมติว่าเราสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ในจักรวาลเพื่อตามหามนุษย์ต่างดาว มันก็ยังเป็นเรื่องไม่ง่ายอยู่ดี การมองหามนุษย์ต่างดาวนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าเราควรจะมองหาอะไรและหาที่ไหน ซึ่งข้อมูลที่เราต้องการอาจจะอยู่บนโลกของเราแล้วก็ได้ หากกฎของฟิสิกส์มีความเหมือนกันในทุก ๆ ที่ กฎของชีวิตก็น่าจะมีความเหมือนกันด้วย แม้อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด แต่เราอาจใช้สิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นคู่มือตามหามนุษย์ต่างดาว เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกต้องการอะไร สิ่งมีชีวิตนอกโลกก็น่าจะต้องการปัจจัยไม่ต่างกันมากนัก
ออกเดินทางด้วยยานอวกาศแห่งความคิด
วันนี้เราจะไปตามหามนุษย์ต่างดาวกันนะ ยานอวกาศก็พร้อมแล้ว แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าที่ไหนบ้างที่น่าจะมีมนุษย์ต่าวดาว ดังนั้นเรามาพิจารณากันไปเป็นข้อ ๆ โดยเอาสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นเกณฑ์ก่อนก็แล้วกัน เพราะมันใกล้ตัวเรามากที่สุด แต่เชื่อไหมว่า แม้แต่สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา รวมทั้งตัวเราเอง เราก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่ามันเกิดขึ้นมายังไง
สิ่งที่จุดชนวนชีวิตบนโลกนั้นยังเป็นปริศนา มันมีหลายทฤษฎี แต่ที่เชื่อถือกันมากมีเพียง 2 ทฤษฎี นั่นคือ…
1. สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นโดยบังเอิญจากแหล่งน้ำซึ่งมีโมเลกุลของกรดอะมิโน เกิดการปะทะและรวมตัวกันจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่แห่งชีวิต
2. ชีวิตอาจถือกำเนิดจากที่ไหนสักแห่งแล้วแพร่จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งโดยดาว เคราะห์น้อยและอุกกาบาต หินเหล่านั้นอาจมีสิ่งมีชีวิตที่ทนต่อสภาวะสุดขั้วได้แช่แข็งอยู่ในนั้น และดาวเคราะห์น้อยก็พาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไปสู่โลกอื่น
แต่ก็ช่างมันเถอะ…มันไม่สำคัญว่าทฤษฎีไหน ถูกต้อง เพราะเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่แน่นอนที่เรารู้ก็คือมันจะต้องมีกฎของการอยู่รอด สิ่งต่าง ๆ อาจมีกฎของตนเอง ที่แน่ ๆ มันต้องอาศัยแหล่งพลังงานหรืออาหาร เมื่อมีอาหาร มีพลังงาน มันก็จะคัดลอกตัวเองเพื่อทดแทนสิ่งที่ตายไป ในที่สุดก็จะเกิดเป็นวิวัฒนาการ เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ได้หลากหลาย เพราะงั้นถ้าจะหามนุษย์ต่างดาว หน้าที่ของเราคือ ต้องตามหาสถานที่ซึ่งจุลินทรีย์สามารถหาอาหาร แบ่งตัว และเติบโตได้
โกลดิล็อกโซน (Goldilocks Zone)
เรารู้มาว่าสิ่งมีชีวิตต้องอาศัยปัจจัยอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ “น้ำ”
ดูเหมือนน้ำจะเป็นกุญแจไปสู่ทุกรูปแบบของ ชีวิต ที่ใดมีน้ำ อาจจะหมายถึงมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ และโชคดีจริง ๆ ที่ น้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่เกลื่อนจักรวาลไปหมด แต่มักอยู่ในรูปแบบผลึกน้ำแข็งหรือก๊าซ การหาน้ำที่เป็นของเหลวจะต้องหาสถานที่ ๆ มีอุณภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อน ไม่หนาว จนเกินไป โซนดังกล่าวเรียกว่า โกลดิล็อกโซน (ชื่อนี้มาจากนิทานเรื่องหนูน้อยผมทองกับหมีสามตัว หมายถึง โซนที่ “just right!” หรือ “เป๊ะเลย!”) ในกาแล็กซีของเรามีดาวเคราะห์อยู่สองดวงเท่านั้นที่อยู่ในโซนนี้ คือ โลก และ ดาวอังคาร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมดาวอังคารจึงเป็นดาวที่ได้รับความสนใจมากนัก เราค้นพบเกลือที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในน้ำ และจากภาพถ่ายดาวเทียม เราพบร่อยรอยการไหลหรือกัดเซาะของน้ำบนพื้นผิว มันอาจยังมีความชื้นอยู่ภายใต้พื้นผิวดาวอังคาร ที่อาจจะสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้
เอเลี่ยนอาจจะอยู่ในดาวยูโรปาก็ได้ (Europa)
แต่ถ้าดาวอังคารไม่มีน้ำเลยสักหยดเดียว มันก็คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่ถ้าเราจะแวะไปที่ยูโรปา ซึ่งเป็นหนึ่งในดวงจันทร์(บริวาร)ของดาวพฤหัส ถึงจะไม่ได้อยู่ในโกลดิล็อกโซน แต่มันก็อยู่ห่างจากดาวอังคารไปแค่ 30 ล้านไมล์เท่านั้นเอง และที่นั่นก็น่าจะมีน้ำในสถานะของเหลวก็ได้นะ
ยูโรปา เป็นดาวที่เล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 2000 ไมล์ และเย็นมากถึง -260 องศา พื้นผิวปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งที่อาจหนาถึง 15 ไมล์ แต่เนื่องจากมันโคจรรอบดาวพฤหัส โดยมีวงโคจรเป็นรูปไข่ การโคจร 1 รอบใช้เวลา 3.6 วัน
ถึงแม้จะเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็ง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่ามันอาจจะมีน้ำที่เป็นของเหลวอยู่ภายใน เพราะแรงดึงดูดจากดาวพฤหัสที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำให้มันยืดและหด เหมือนถูกนวด ทำให้แกนกลางของมันอาจมีความร้อนเพียงพอที่จะละลายน้ำแข็งภายใต้พื้นผิวให้ เป็นของเหลว และถูกปกป้องจากสภาวะสุญญากาศภายนอกด้วยชั้นน้ำแข็งหนา สิ่งมีชีวิตอาจเกิดขึ้นภายในนั้น ใช้ชีวิตอย่างลึกลับอยู่ในโลกอันมืดมิด พวกมันอาจมีรูปร่างและว่ายน้ำคล้ายสัตว์ทะเลบนโลกของเรา อาจมีตัวที่เรืองแสงช่วยในการมองเห็นกันและกันและหาอาหารเหมือนกับสัตว์ทะเล น้ำลึก พวกมันคงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร คงไม่สงสัยเรื่องจักรวาลอันกว้างใหญ่ และหากมีอยู่จริงการจะเสาะหาพวกมันอาจทำได้ยากมาก หรือการที่พวกมันจะวิวัฒนาการจนติดต่อกับเราได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยที เดียว
ลืมเรื่องบ้า ๆ รอบตัวซะ…แล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ!
ก็นั่นแหละ ถ้าคิดถึงว่าเราจะไปไหนก็ได้ในจักรวาล ทางช้างเผือกของเราก็ดูเล็กลงไปทันทีเลย มีดาวไม่กี่ดวงเท่านั้นเองที่น่าจะมีชีวิต เพราะงั้นเราเดินทางออกนอกแกแล็กซี่กันดีกว่า เพื่อไปตามหามนุษย์ต่างดาวในมุมมองที่กว้างกว่าเดิม ออกสู่ความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไกลออกไปมาก ๆ…
ในจักรวาลข้างนอกนั้นมีดวงดาวอยู่มากมาย เราไม่อาจรู้เลยว่ามีดาวฤกษ์ที่เหมือนดวงอาทิตย์อยู่เท่าไร และมีดาวเคราะห์อยู่เท่าไรที่โคจรรอบ ๆ พวกมัน ถ้านั่งอยู่ที่ดาวโลก มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเสาะหาพวกมัน เพราะดาวฤกษ์นั้นใหญ่และสว่างจ้าเกินไป ส่วนดาวเคราะห์นั้นเล็กมากแล้วก็มืดเกินไป เราต้องอาศัยเทคโนโลยีขนาดใหญ่และทันสมัยมาก ๆ
ณ ปัจจุบัน เราไม่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลมาก ๆ จากบนโลกได้ ดังนั้น เราใช้วิธีค้นหามันโดยดูจากการส่ายไปมา เราจะรู้ว่าดาวเคราะห์อยู่ตรงไหน ก็ต่อเมื่อมันโคจรผ่านดาวฤกษ์ของมัน (ขณะที่มันอยู่ระหว่างดาวฤกษ์ของมันกับดาวโลก) เพราะมันจะบังแสงดาวฤกษ์ แล้วเราก็จะรู้ว่ามีบางอย่างอยู่ตรงนั้น เราสามารถตรวจสอบว่ามันอยู่ในโกลดิล็อกโซนหรือไม่ด้วยการดูบันทึกเวลาการ โคจร และสันนิษฐานได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นอาจจะมี…ชีวิต
ถ้ามีดาวสักดวงที่คล้ายกับโลก?
บางทีข้างนอกนั่น
เดินทางไปตามหามนุษย์ต่างดาวกันเถอะ
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเยอะจริง ๆ ทั้งเรื่องที่มีคนอ้างว่าเห็น UFO เห็นมนุษย์ต่างดาว โดนลักพาตัว เจอปรากฏการณ์ประหลาด ภาพถ่ายสัตว์ประหลาด ภาพถ่ายที่อ้างว่าหลุดออกมาจากองค์กรลับนู่นนี่นั่น รวมทั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่อาจได้มาจากสิ่งมีชีวิตที่ทรง ภูมิปัญญานอกโลก
ถ้าถามว่าแอดมินเชื่อเรื่องมนุษย์ต่าวดาวรึ เปล่า ก็ตอบเลยว่าเชื่อ…เชื่อว่ามีจริง และเชื่อมากด้วย แต่สำหรับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ชาวโลกเล่าขานกันนั้น แอดมินให้ความเชื่อถือไม่เกิน 50% อย่างมากสุดนะ เพราะเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวทุกเรื่องมักจะต้องลงท้ายว่า… “จากนั้นเรื่องก็เงียบไป เพราะรัฐบาลพยายามปิดบังเรื่องนี้” แล้วเรื่องนี้ก็กลายเป็นปริศนาต่อไป…
หากแอดมินเป็นรัฐบาลของประเทศไหนก็ตามที่ สามารถพิสูจน์ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ไม่ว่าจะด้วยการยิงมันตกลงมา บังเอิญเจอ หรืออะไรก็แล้วแต่ แอดมินคงจะรีบประกาศทันทีก่อนที่ประเทศอื่นจะชิงตัดหน้า (ยิ่งเป็นจ้าวแห่งไซไฟอย่างสหรัฐฯ คิดหรือว่าถ้ามีหลักฐานเพียงพอเค้าจะปกปิดเรื่องแบบนี้เอาไว้?) หรือถ้าจะปกปิดเพราะกลัวประชาชนแตกตื่นยิ่งฟังไม่ขึ้นเลย เพราะไม่ว่าจะยังไงประชาชนก็แตกตื่นกันไปเรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประเด็นที่สำคัญกว่านั้นซ่อนอยู่และต้องการจะปิดบัง จริง ๆ ก็ถือว่าเขาทำงานนี้ได้ดีกว่างานอื่น ๆ มาก
สรุปว่าแอดมินเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เรื่องที่มนุษย์ต่างดาวมาเที่ยวโลกเราบ่อย ๆ นั้น แอดมินให้แค่ 50:50 ก็แล้วกัน จะว่าไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้ เพราะบางเรื่องมันก็น่าเชื่อจริง ๆ แต่หากเราเป็นมนุษย์ต่างดาว เราจะลงทุนมหาศาลเพื่อเดินทางข้ามจักรวาลไปลักพาตัวหรือแอบดูชาวโลกนิด ๆ หน่อย ๆ หรือเปล่า?
นักวิทยาศาสตร์มีโครงการมากมายในการเสาะหา เพื่อนร่วมจักรวาล การส่งยานไปสำรวจดาวอังคารก็เป็นหนึ่งในนั้น เราคอยฟังเสียงจากอวกาศมามากกว่า 40 ปีแล้ว เผื่อว่าจะมีสัญญาณที่มนุษย์ต่างดาวส่งมา แต่เราก็ยังไม่เคยได้รับการติดต่อ ไม่เคยแม้แต่พบสัตว์เซลล์เดียวนอกโลกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราทำได้นั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับจักรวาลที่ใหญ่มาก พวกเขาอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้
สัญญาณว้าว! (WOW! Signal)
เราคอยฟังเสียงจักรวาลโดยการแสกนท้องฟ้าขณะ ที่โลกหมุน และมีอยู่ครั้งหนึ่ง…ครั้งเดียวเท่านั้น ที่กล้องโทรทรรศน์วิทยุจับสัญญาณปริศนาจากอวกาศได้ วันนั้นเป็นวันที่ 15 (ต่อกับวันที่ 16) สิงหาคม ค.ศ.1977 กล้องสัญญาณโทรทรรศน์วิทยุจากโอไฮโอจับสัญญาณประหลาดได้ มันเป็นสัญญาณคลื่นวิทยุที่คงที่ แตกต่างจากคลื่นวิทยุอื่น ๆ ในจักรวาล คล้ายเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากดาวอื่นอย่างตั้งใจ คอมพิวเตอร์บันทึกสัญญาณ เป็นตัวอักษรและตัวเลข 6 ตัว (6EQUJ5) มันเด่นชัดมากจนนักดาราศาสตร์ที่ตรวจพบนามว่า เจอร์รี อาร์. เอฮ์แมน เขียนคำหนึ่งคำบนมุมกระดาษว่า…ว้าว! (WOW!) มันจึงถูกเรียกว่าสัญญาณ “ว้าว!” จากนั้นมีการตรวจสอบสัญญาณหย่อมเดิมอีกหลายรอบ แต่สัญญาณนั้นจางหายไป ไม่พบอะไรอีกเลย และนั่นเป็นครั้งเดียวจริง ๆ ที่เราพบสิ่งประหลาดจากการฟังเสียงอวกาศ
เหตุการณ์นี้ทำให้เราตระหนักว่า การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผ่านคลื่นวิทยุนั้นทำได้ยากมาก เพราะจักรวาลมีขนาดใหญ่เกินไป ข้อมูลต้องใช้เวลานานมากในการเดินทาง สัญญาณ WOW! มาจากดวงดาวที่ห่างออกไป 200 ปีแสง ดังนั้นมันต้องใช้เวลา 200 ปีกว่าจะมาถึงเรา และถึงแม้เราจะได้รับสัญญาณนั้น และแปลความหมายออกมาได้ แล้วรีบส่งสัญญาณตอบกลับไปทันที กว่ามนุษย์ต่างดาวจะได้รับก็ต้องใช้เวลาอีก 200 ปี เป็นไปได้มากว่าพวกเขาคงจะลืมไปแล้วว่าส่งอะไรมา และเลิกรอตำตอบไปนานแล้ว หรือที่แย่กว่านั้น ณ วันที่เราได้รับข้อความ ดาวดวงดังกล่าวอาจจะระเบิดตัวเองไปเรียบร้อยแล้วก็ได้ เพราะถ้าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเช่นเดียวกับเรา นั่นก็อาจหมายความว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาน่าจะดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ความฉลาดมาพร้อมกับความซุกซนเสมอ (ทันทีที่ค้นพบสมการ E = mc กำลัง 2 แล้วก็ ตู้มมมม!!! หายวับไปเลย หรืออะไรทำนองนั้นแหละ)
มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน…
โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ 1 ใน 8 ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่ได้ฟังดูพิเศษอะไรมากมาย เพราะโลกเป็นเพียงหนึ่งในสองพันล้านดวงในเกลียวขนาดใหญ่ของแกแล็กซี่ทางช้าง เผือก และทางช้างเผือกก็เป็นเพียงห้วงเล็ก ๆ ในมหาสมุทรจักรวาล เป็นหนึ่งในแสนล้านแกแล็กซี่(หรือมากกว่านั้น) ที่ก่อตัวเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง มันจึงยากที่จะเชื่อว่ามีแค่พวกเราจริง ๆ
มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ไกลออกไปควรจะมีหน้าตา เป็นอย่างไรนั้นมีความเป็นไปได้อย่างไม่จำกัดเลยทีเดียว มันอาจเป็นเพียงเมือกสีเขียว หรือสัตว์ชั้นสูง หรือผู้ที่มีอารยธรรมที่ทันสมัยเหมือนในหนังวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้ มันอาจหน้าตาประหลาดจนเราไม่คิดว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้ และมันอาจจะอาศัยอยู่ตรงไหนของดวงดาวก็ได้ แม้แต่ใจกลางของดวงดาว หรืออาจเป็นเมฆฝุ่นที่ลอยอยู่ในจักรวาล อาจมีชีวิตยืนยาว หรือเกิดและตายเพียงชั่วพริบตา เรียกได้ว่าไม่มีจินตนาการไหนจะมากเกินไปเลย
และถ้าสมมติว่าเราสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ ในจักรวาลเพื่อตามหามนุษย์ต่างดาว มันก็ยังเป็นเรื่องไม่ง่ายอยู่ดี การมองหามนุษย์ต่างดาวนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าเราควรจะมองหาอะไรและหาที่ไหน ซึ่งข้อมูลที่เราต้องการอาจจะอยู่บนโลกของเราแล้วก็ได้ หากกฎของฟิสิกส์มีความเหมือนกันในทุก ๆ ที่ กฎของชีวิตก็น่าจะมีความเหมือนกันด้วย แม้อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด แต่เราอาจใช้สิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นคู่มือตามหามนุษย์ต่างดาว เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกต้องการอะไร สิ่งมีชีวิตนอกโลกก็น่าจะต้องการปัจจัยไม่ต่างกันมากนัก
ออกเดินทางด้วยยานอวกาศแห่งความคิด
วันนี้เราจะไปตามหามนุษย์ต่างดาวกันนะ ยานอวกาศก็พร้อมแล้ว แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าที่ไหนบ้างที่น่าจะมีมนุษย์ต่าวดาว ดังนั้นเรามาพิจารณากันไปเป็นข้อ ๆ โดยเอาสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นเกณฑ์ก่อนก็แล้วกัน เพราะมันใกล้ตัวเรามากที่สุด แต่เชื่อไหมว่า แม้แต่สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา รวมทั้งตัวเราเอง เราก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่ามันเกิดขึ้นมายังไง
สิ่งที่จุดชนวนชีวิตบนโลกนั้นยังเป็นปริศนา มันมีหลายทฤษฎี แต่ที่เชื่อถือกันมากมีเพียง 2 ทฤษฎี นั่นคือ…
1. สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นโดยบังเอิญจากแหล่งน้ำซึ่งมีโมเลกุลของกรดอะมิโน เกิดการปะทะและรวมตัวกันจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่แห่งชีวิต
2. ชีวิตอาจถือกำเนิดจากที่ไหนสักแห่งแล้วแพร่จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งโดยดาว เคราะห์น้อยและอุกกาบาต หินเหล่านั้นอาจมีสิ่งมีชีวิตที่ทนต่อสภาวะสุดขั้วได้แช่แข็งอยู่ในนั้น และดาวเคราะห์น้อยก็พาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไปสู่โลกอื่น
แต่ก็ช่างมันเถอะ…มันไม่สำคัญว่าทฤษฎีไหน ถูกต้อง เพราะเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่แน่นอนที่เรารู้ก็คือมันจะต้องมีกฎของการอยู่รอด สิ่งต่าง ๆ อาจมีกฎของตนเอง ที่แน่ ๆ มันต้องอาศัยแหล่งพลังงานหรืออาหาร เมื่อมีอาหาร มีพลังงาน มันก็จะคัดลอกตัวเองเพื่อทดแทนสิ่งที่ตายไป ในที่สุดก็จะเกิดเป็นวิวัฒนาการ เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ได้หลากหลาย เพราะงั้นถ้าจะหามนุษย์ต่างดาว หน้าที่ของเราคือ ต้องตามหาสถานที่ซึ่งจุลินทรีย์สามารถหาอาหาร แบ่งตัว และเติบโตได้
โกลดิล็อกโซน (Goldilocks Zone)
เรารู้มาว่าสิ่งมีชีวิตต้องอาศัยปัจจัยอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ “น้ำ”
ดูเหมือนน้ำจะเป็นกุญแจไปสู่ทุกรูปแบบของ ชีวิต ที่ใดมีน้ำ อาจจะหมายถึงมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ และโชคดีจริง ๆ ที่ น้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่เกลื่อนจักรวาลไปหมด แต่มักอยู่ในรูปแบบผลึกน้ำแข็งหรือก๊าซ การหาน้ำที่เป็นของเหลวจะต้องหาสถานที่ ๆ มีอุณภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อน ไม่หนาว จนเกินไป โซนดังกล่าวเรียกว่า โกลดิล็อกโซน (ชื่อนี้มาจากนิทานเรื่องหนูน้อยผมทองกับหมีสามตัว หมายถึง โซนที่ “just right!” หรือ “เป๊ะเลย!”) ในกาแล็กซีของเรามีดาวเคราะห์อยู่สองดวงเท่านั้นที่อยู่ในโซนนี้ คือ โลก และ ดาวอังคาร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมดาวอังคารจึงเป็นดาวที่ได้รับความสนใจมากนัก เราค้นพบเกลือที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในน้ำ และจากภาพถ่ายดาวเทียม เราพบร่อยรอยการไหลหรือกัดเซาะของน้ำบนพื้นผิว มันอาจยังมีความชื้นอยู่ภายใต้พื้นผิวดาวอังคาร ที่อาจจะสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้
เอเลี่ยนอาจจะอยู่ในดาวยูโรปาก็ได้ (Europa)
แต่ถ้าดาวอังคารไม่มีน้ำเลยสักหยดเดียว มันก็คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่ถ้าเราจะแวะไปที่ยูโรปา ซึ่งเป็นหนึ่งในดวงจันทร์(บริวาร)ของดาวพฤหัส ถึงจะไม่ได้อยู่ในโกลดิล็อกโซน แต่มันก็อยู่ห่างจากดาวอังคารไปแค่ 30 ล้านไมล์เท่านั้นเอง และที่นั่นก็น่าจะมีน้ำในสถานะของเหลวก็ได้นะ
ยูโรปา เป็นดาวที่เล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 2000 ไมล์ และเย็นมากถึง -260 องศา พื้นผิวปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งที่อาจหนาถึง 15 ไมล์ แต่เนื่องจากมันโคจรรอบดาวพฤหัส โดยมีวงโคจรเป็นรูปไข่ การโคจร 1 รอบใช้เวลา 3.6 วัน
ถึงแม้จะเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็ง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่ามันอาจจะมีน้ำที่เป็นของเหลวอยู่ภายใน เพราะแรงดึงดูดจากดาวพฤหัสที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำให้มันยืดและหด เหมือนถูกนวด ทำให้แกนกลางของมันอาจมีความร้อนเพียงพอที่จะละลายน้ำแข็งภายใต้พื้นผิวให้ เป็นของเหลว และถูกปกป้องจากสภาวะสุญญากาศภายนอกด้วยชั้นน้ำแข็งหนา สิ่งมีชีวิตอาจเกิดขึ้นภายในนั้น ใช้ชีวิตอย่างลึกลับอยู่ในโลกอันมืดมิด พวกมันอาจมีรูปร่างและว่ายน้ำคล้ายสัตว์ทะเลบนโลกของเรา อาจมีตัวที่เรืองแสงช่วยในการมองเห็นกันและกันและหาอาหารเหมือนกับสัตว์ทะเล น้ำลึก พวกมันคงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร คงไม่สงสัยเรื่องจักรวาลอันกว้างใหญ่ และหากมีอยู่จริงการจะเสาะหาพวกมันอาจทำได้ยากมาก หรือการที่พวกมันจะวิวัฒนาการจนติดต่อกับเราได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยที เดียว
ลืมเรื่องบ้า ๆ รอบตัวซะ…แล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ!
ก็นั่นแหละ ถ้าคิดถึงว่าเราจะไปไหนก็ได้ในจักรวาล ทางช้างเผือกของเราก็ดูเล็กลงไปทันทีเลย มีดาวไม่กี่ดวงเท่านั้นเองที่น่าจะมีชีวิต เพราะงั้นเราเดินทางออกนอกแกแล็กซี่กันดีกว่า เพื่อไปตามหามนุษย์ต่างดาวในมุมมองที่กว้างกว่าเดิม ออกสู่ความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไกลออกไปมาก ๆ…
ในจักรวาลข้างนอกนั้นมีดวงดาวอยู่มากมาย เราไม่อาจรู้เลยว่ามีดาวฤกษ์ที่เหมือนดวงอาทิตย์อยู่เท่าไร และมีดาวเคราะห์อยู่เท่าไรที่โคจรรอบ ๆ พวกมัน ถ้านั่งอยู่ที่ดาวโลก มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเสาะหาพวกมัน เพราะดาวฤกษ์นั้นใหญ่และสว่างจ้าเกินไป ส่วนดาวเคราะห์นั้นเล็กมากแล้วก็มืดเกินไป เราต้องอาศัยเทคโนโลยีขนาดใหญ่และทันสมัยมาก ๆ
ณ ปัจจุบัน เราไม่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลมาก ๆ จากบนโลกได้ ดังนั้น เราใช้วิธีค้นหามันโดยดูจากการส่ายไปมา เราจะรู้ว่าดาวเคราะห์อยู่ตรงไหน ก็ต่อเมื่อมันโคจรผ่านดาวฤกษ์ของมัน (ขณะที่มันอยู่ระหว่างดาวฤกษ์ของมันกับดาวโลก) เพราะมันจะบังแสงดาวฤกษ์ แล้วเราก็จะรู้ว่ามีบางอย่างอยู่ตรงนั้น เราสามารถตรวจสอบว่ามันอยู่ในโกลดิล็อกโซนหรือไม่ด้วยการดูบันทึกเวลาการ โคจร และสันนิษฐานได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นอาจจะมี…ชีวิต
ถ้ามีดาวสักดวงที่คล้ายกับโลก?
บางทีข้างนอกนั่น
แสดงความคิดเห็น
[มโนล้วนๆ]เป็นไปได้ไหมครับว่า....
เช่นดาวพฤหัสงี้ ผมเข้าใจนะว่าเป็นดาวแก๊ส แต่มันอาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถลอยอยู่ในแก๊สได้ มีร่างกายที่แข็งมากๆจนแรงลมบนดาวไม่สามารถทำอะไรได้ ใช้แก๊สบางอย่างหายใจไม่ต่างจากมนุษย์ที่ใช้ออกซิเจนหายใจ
หรือว่ามันมีทฤษฎีอะไรที่บอกไหมว่าสีงมีชีวิตจะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพแวดล้อมคล้ายโลกเท่านั้น