คนเราคิดไม่เหมือนกัน รสนิยมการดูหนังก็ไม่เหมือนกัน
คนหลายคนดำเนินชีวิตปกติเหมือนกัน มุ่งหาความมั่นคง แต่ก็มีบางคนไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น
หนังบางเรื่องมีเป้าหมายชัดเจน ตรงไปตรงมาว่าจะสื่ออะไร จะมีหักมุมมั๋ย จะมี Conflict เจ๋งๆหรือป่าว แต่ก็มีหนังบางเรื่องที่เขาไม่คิดจะเล่าเป็นเส้นตรงดิ่งไปหาจุดมุ่งหมายและเหตุผล แต่กลับเล่ารายละเอียดข้างทาง ไม่ต้องมี Conflict ใดๆ เรียบๆเรื่อยๆ แต่คนดูจะซึบซับเอานิสัยและตัวตนของตัวละครเอาเอง
หนังหลายเรื่องบอกเลย ว่าฉันจะทำอะไร ฉันเป็นคนแบบไหน แบบตรงๆผ่านคำพูดหรือการทำกระทำเพียงช่วงสั้นๆ สร้างคาแรคเตอร์ฉาบฉวย...แต่กับหนังบางเรื่อง เขาเล่ารายละเอียดพฤติกรรมแทนคำพูด เล่าบรรยากาศของหนังแทนเดินเส้นเรื่อง อาจจะนานหน่อยแต่เราจะเข้าใจความรู้สึกของตัวละครมากกว่าการเล่าแบบแรก
หนังทั้ง 2 แบบ ไม่มีใครถูกใครผิด แต่อารมณ์ที่ได้รับจะแตกต่างกันออกไป คงเป็นที่มาง่ายๆของคำว่า หนังตลาด กับ หนังอาร์ต
#InsideLlewynDavis อยู่ในแบบหลัง
ทั้งเรื่องสรุปย่อๆได้แค่วลีสั้นๆเท่านั้น “ชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จของนักดนตรีรักอิสระคนหนึ่ง” หนังจะเปิดมุมมองความคิดของคนรักอิสระ ว่า ตัวตนเขาเป็นอย่างไร ชีวิตนี้หลงใหลแต่ในพรสวรรค์ของตัวเอง และก็ไม่แคร์อะไรกับสิ่งรอบข้างมาก แม้กระทั่งไม่มีเงินจะกิน ฉันก็มีความสุขได้กับสิ่งที่ฉันชอบ นั่นคือ การเล่นดนตรี แต่หนังเรื่องนี้โชคไม่ดี ที่พรสวรรค์และความพยายามไม่สามารถสร้างฝันให้เป็นจริง แต่ถึงกระนั้น ถ้าให้นับหนึ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาก็คงจะเลือกมีชีวิตแบบเดิม
รีวิว Inside Llewyn Davis ฝันที่ไม่เป็นจริง
คนหลายคนดำเนินชีวิตปกติเหมือนกัน มุ่งหาความมั่นคง แต่ก็มีบางคนไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น
หนังบางเรื่องมีเป้าหมายชัดเจน ตรงไปตรงมาว่าจะสื่ออะไร จะมีหักมุมมั๋ย จะมี Conflict เจ๋งๆหรือป่าว แต่ก็มีหนังบางเรื่องที่เขาไม่คิดจะเล่าเป็นเส้นตรงดิ่งไปหาจุดมุ่งหมายและเหตุผล แต่กลับเล่ารายละเอียดข้างทาง ไม่ต้องมี Conflict ใดๆ เรียบๆเรื่อยๆ แต่คนดูจะซึบซับเอานิสัยและตัวตนของตัวละครเอาเอง
หนังหลายเรื่องบอกเลย ว่าฉันจะทำอะไร ฉันเป็นคนแบบไหน แบบตรงๆผ่านคำพูดหรือการทำกระทำเพียงช่วงสั้นๆ สร้างคาแรคเตอร์ฉาบฉวย...แต่กับหนังบางเรื่อง เขาเล่ารายละเอียดพฤติกรรมแทนคำพูด เล่าบรรยากาศของหนังแทนเดินเส้นเรื่อง อาจจะนานหน่อยแต่เราจะเข้าใจความรู้สึกของตัวละครมากกว่าการเล่าแบบแรก
หนังทั้ง 2 แบบ ไม่มีใครถูกใครผิด แต่อารมณ์ที่ได้รับจะแตกต่างกันออกไป คงเป็นที่มาง่ายๆของคำว่า หนังตลาด กับ หนังอาร์ต
#InsideLlewynDavis อยู่ในแบบหลัง
ทั้งเรื่องสรุปย่อๆได้แค่วลีสั้นๆเท่านั้น “ชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จของนักดนตรีรักอิสระคนหนึ่ง” หนังจะเปิดมุมมองความคิดของคนรักอิสระ ว่า ตัวตนเขาเป็นอย่างไร ชีวิตนี้หลงใหลแต่ในพรสวรรค์ของตัวเอง และก็ไม่แคร์อะไรกับสิ่งรอบข้างมาก แม้กระทั่งไม่มีเงินจะกิน ฉันก็มีความสุขได้กับสิ่งที่ฉันชอบ นั่นคือ การเล่นดนตรี แต่หนังเรื่องนี้โชคไม่ดี ที่พรสวรรค์และความพยายามไม่สามารถสร้างฝันให้เป็นจริง แต่ถึงกระนั้น ถ้าให้นับหนึ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาก็คงจะเลือกมีชีวิตแบบเดิม