อาทิตย์อับแสง (บทที่ 30)
เกษราลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านแปดริ้วกับณัฐให้พีทซี่และเหมียวเปรี้ยวฟังอย่างละเอียดยิบ อาการตกใจและท่าทางขยาดหวาดกลัว ที่แม้พีทซี่จะ…overacting ไปบ้าง แต่ก็ไม่ห่างจากความจริงที่ทั้งสามสาวรู้สึกเท่าไรนัก
“โรคจิต!” เหมียวเปรี้ยวสรุปในสิ่งที่ทุกคนยอมรับ “แบบนี้น่ากลัวนะคะ”
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าอีตาณัฐน่ะผิดปรกติ” พีทซี่ก็ยังหาโอกาสย้ำซ้ำในสิ่งที่ได้เคยเตือน “น่ากลัวขนาดนี้ เธอก็ยังเอาชื่อเสียง เอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วย”
“พีทซี่!” เกษราแทบร้องกรี๊ด “ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันนะ ตัวฉันเขาก็ไม่เคยแตะ”
“แล้วทำไมไม่ยอมแก้ข่าว จนชาวบ้านทั้งประเทศเขาคิดเรื่องเน่าๆ ของเธอกับณัฐไปถึงไหน…ถึงไหนแล้ว” คนที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้จัดการส่วนตัวไม่วายตอกย้ำซ้ำเตือน
เพราะคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัวต้องคอยตามปฏิเสธแก้ตัวแทนให้ตลอด จะเจ็บใจก็ตรงที่ว่า เกษราไม่เคยยอมแก้ข่าวด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังทำตัวเป็นข่าวเสมอๆ นี่ยังดีที่ระยะหลังนางเอกหมายเลขหนึ่งเริ่มเห็น…เนื้อแท้ ของณัฐ การพบเจอ การนัดคุยจึงไม่เพียงแค่สองต่อสอง เหมือนแต่ก่อน ช่วงหลังก็มีเหมียวเปรี้ยวเข้ามา หรือบางทีพีทซี่ก็ต้องออกโรงเอง
“กว่าจะรู้ตัว ก็ต้องให้ยายจ๋าฝันร้ายตกใจ” คนเป็นเพื่อนยังซ้ำเติม แต่แล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นสีหน้าของนางเอกดัง
เกษรารักครอบครัว รักยาย รักป้า รักแม้กระทั่งเด็กจุ๋มที่ก็กลายเป็นคนในครอบครัว…เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่ทำให้ผู้เป็นที่รัก…กลัว หวาดระแวง หรือใครที่บังอาจต่อว่าผู้เป็นที่รัก เมื่อนั้นเกษราจะโกรธ
ณัฐก้าวพลาด…ที่กล้าเอ่ยปากต่อว่ายายของเกษราแบบนั้น
ต่อว่าเจ้าตัว…แม้จะร้ายแรงแต่ก็ไม่เท่าต่อว่าผู้เป็นที่รัก
“ให้ทนายทำเรื่องของถอนเงินของฉันออกจากแบงก์นั้น แล้วก็ทำการฟ้องในส่วนของเงินที่ถูกยักยอกไป”
“เฮ้ย!” ทั้งพีทซี่และเหมียวเปรี้ยวร้องเสียงหลง
“แต่แอลทัสยังสอบสวนเรื่องนี้ไม่เสร็จนะคะ”
“ช่าง! ก็เอาเงินของฉันออก ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีและคุณวิทวัสมาดูว่าเงินสูญหายไปเท่าไหร่ แล้วก็ให้คุณวิทวัสฟ้องไอ้ธนาคารเฮงซวยนั่น เรียกดอกเบี้ยย้อนหลังด้วย”
“แต่คนที่จะซวยที่สุดก็คือคุณภู”
“เธอห่วงฉันหรือห่วงเทพบุตรของเธอกันแน่ เธอทำงานให้ใครฮึ...พีทซี่” แทบนับครั้งได้ที่เกษราจะวีนเหวี่ยงเพื่อนสนิท ถึงขั้นเท้าความสาวถึงขนาดนี้
“ฉันก็ทำงานให้หล่อน” พีทซี่ขึ้นเสียงบ้าง ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนเช่นเคย “แต่ถ้าหล่อนจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังเสียบ้าง เอาแต่ทำอะไรสะใจตัวเอง ไปเปิดบัญชีก็เพื่อจะแกล้งจะวีนเขา แล้วตอนนี้จะปิดบัญชีก็ทำให้เขาพลอยซวยไปด้วย”
“เงินฉันหายไปหลายล้านนะ อีตานั่นทุจริตเอง”
“หล่อนเชื่อเช่นนั้นจริงๆ เหรอ”
“มีคนในธนาคารทุจริต” เสียงอ่อนขัดกับท่าทางขึงขัง “และมีคนๆ เดียวที่โดนสอบสวน”
“เงินฉัน เงินเด็กๆ ของฉันที่คุณภูดูแลไม่หายเลยสักบาท” การยืนยันด้วยความจริงทำให้เพื่อนสนิทเพียงก้มหน้า
“เงินของหนูด้วยค่ะ” เหมียวเปรี้ยวยอมรับ ทำให้ผู้เป็นนายค้อนควับ “ขนาดฝากไว้ไม่เยอะ แต่คุณภูเก็ตก็ดูแลพอได้กำไร”
“เงินที่อยู่กับคุณภูไม่มีปัญหา ลูกค้าทีมเอที่เหลือเท่าขี้เล็บไม่มีปัญหา อันนี้ฉันเช็คกับคุณธิ และก็กับผู้ใหญ่ในธนาคาร พวกที่มีปัญหาคือลูกค้าเก่าของคุณภูที่ย้ายไปทีมบี คิดซิคิด...เกษรา ฉันเตือนหล่อนจนปากจะฉีกถึงติ่งหู หล่อนก็ไม่เชื่อไม่สน เพราะใจหล่อนอคติกับคุณภูเก็ต”
“อาจจะแค้นมั้งที่ลูกค้าหนี เลยแก้แค้น”
“เกษรา!” พีทซี่ขึ้นเสียงแหลมจัด โกรธจัด “ฉันจะบ้าตาย หล่อนคิดแบบนี้เหรอ โอ๊ย! ไม่ไหวจะเคลียร์ เหมียวเปรี้ยว...หล่อนดูนายของหล่อนด้วย ฉันไม่ไหวแล้ว มีตาก็ไม่ต่างจากตาตุ่ม”
“ใครจะไปเหมือนเทพบุตรของเธอ ดีไปหมด”
“คุณภูเก็ตเขาก็มีข้อเสีย เรื่องแรกก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ แต่เผอิญว่าฉันไม่ได้ไปรักไปชอบเขาแบบนั้น และอย่างฉันก็ไม่ใช่สเป็คของเขา เราเลยไม่มีอะไรในก่อไผ่ไงล่ะ ฉันเลยมองแบบเป็นธรรมได้ ใจหล่อนไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว การกระทำก็เลยไม่เป็นธรรมด้วย ฉันกลับดีกว่า อยู่ไปก็เสียอารมณ์”
ว่าแล้วพีทซี่ก็สะบัดตัวลุกขึ้น แววตาวาววับ ถ้าเป็นเวลาอื่นเกษราและเหมียวเปรี้ยวคงหัวเราะคึกขบขัน เพียงแต่ในเวลานี้ ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ จนกระทั่งเกษราแผดเสียงลั่นอย่างมีโทสะ
“ไปเลย…เตรียมไปปลอบใจเทพบุตรของเธอเลยตอนที่โดนทั้งธนาคารทั้งลูกค้าฟ้อง ฉันนี่แหละจะฟ้องเป็นคนแรกเลย”
เสียงนั้นดัง แต่ยังไม่ดังเท่าเสียงปิดประตู…ปัง!
“ดูท่าแล้วพี่พีทซี่แกโกรธจริงๆ นะคะ” เหมียวเปรี้ยวกลั้นใจกล่าวออกไปในที่สุด “ไม่เคยเห็นนางโกรธพี่เกดแบบนี้มาก่อนเลย”
“เพราะผู้ชายขี้โกงคนเดียว”
“แต่ว่าคุณภู…” คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงในลำคอเมื่อหญิงสาวเห็นดวงตาขุ่นของเจ้านาย
“เอกสารที่สั่งให้เอามาอยู่ไหน” เสียงราบเรียบทวง
“นี่ค่ะ” เหมียวเปรี้ยวคว้าแฟ้มพลาสติกขนาดกลางสองเล่มออกมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเธอ “เป็นสำเนาเอกสารที่มีลายเซ็นของคุณภูเก็ต ทั้งใบเปิดบัญชี ใบอนุมัติโอนย้ายเงินลงทุน แล้วพวกจดหมายสัพเพเหระ เหมียวแยกเรียงให้ตามเดือน ส่วนอีกแฟ้มเป็นของพี่พีทซี่กับเด็กๆ ในสังกัด แยกตามรายเดือนและรายบุคคลค่ะ”
แฟ้มถูกจัดเรียบร้อย มีกระดาษแบ่งชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการหาและการจัดเก็บ ไม่ต่างจากแฟ้มที่สามที่หญิงสาวหยิบออกมายื่นให้
“ส่วนนี่เป็นอีเมลระหว่างทางเรากับทางแอลทัส มีทั้งของพี่เกด ของเหมียวแล้วก็ของคุณวิทวัสค่ะ”
“ขอบใจ” เกษรากล่าวสั้นๆ ความสนใจจมอยู่กับสองแฟ้มแรกเสียมากกว่า
“พี่เกดจะเอาไปทำอะไรคะ”
เพียงแต่ว่าไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายที่รวบแฟ้มทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินหายไปยังห้องเล็กที่ถูกจัดเป็นห้องหนังสือ กึ่งห้องทำงาน
มือเรียวขยับบานเลื่อนของตู้ไม้ กดเลขเร็วๆ บนแป้นคีย์ของตู้เซฟใบใหญ่ที่อยู่ข้างใน เครื่องเพชร เครื่องประดับราคาแพงที่ถูกเก็บไว้กับเงินสดปึกใหญ่ รวมถึงเอกสารสำคัญอย่างอื่น ในตอนนี้ไม่มีค่าเท่ากับซองจดหมายสีน้ำตาลขนาดเอ4 ที่หญิงสาวคว้าออกมาวางบนโต๊ะกลมที่อยู่กลางห้อง
เอกสารสองฉบับที่เธอได้รับโดยไม่เกี่ยวกับแอลทัส
ฉบับแรกเป็นสัญญาเช่าห้องพักที่คุณป้าเจ้าของห้องเดิมมอบไว้ให้เธอในฐานะเจ้าของห้องคนใหม่
อีกฉบับเป็นจดหมายมาจากภูเก็ตโดยตรง
…มีความประสงค์จะไม่ต่อสัญญาเช่า และจะย้ายออกทันทีที่สัญญาสิ้นสุด…
ลายเซ็นภาษาอังกฤษของเขาเด่นชัดเต็มยศไม่ต่างจากการเซ็นเอกสารที่เป็นทางการอื่นๆ เกษราแตะนิ้วไล่เบาๆ บันตัวอักษรชื่อของเขา จรดครบทุกตัว
ใจนึกอยากจะแย้งว่า…ย้ายออกทันทีเสียเมื่อไร เพราะคืนนั้น…เราอยู่ด้วยกันเลยเวลาเริ่มต้นของวันใหม่ จนกระทั่งเขาหลบออกไปตอนไหนก็สุดที่เธอจะเดาได้
ดวงตาล้ำลึก เศร้าสร้อยปรากฏเมื่อความคิดและจิตใจไม่อาจที่จะสะกดความทรงจำที่บาดลึกได้
‘…เอาเป็นเพียงแค่ความจริงใจจากผมได้ไหมหนูปีบ…ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมจริงใจกับคุณ’
ทุกคำพูด ทุกรอยสัมผัส
เป็นความจริงใจหรือแค่…รักเล่ห์หาบเสน่ห์ไปทั่วแคว้น
เกษรากวาดตามองเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจพับจดหมายฉบับนั้นใส่ซองสีครีมของมันตามเดิม การนั่งนิ่งบ่งบอกถึงอาการลังเลบางอย่าง ดวงตาคู่สวยของนางเอกชื่อดังจับอยู่ที่ซองจดหมายตรงหน้าและสัญญาเช่า
อีกเนิ่นนานกว่าเธอจะละสายตาจากมัน!
นานกว่ายี่สิบปีแล้วกระมังที่ยุวดีไม่ได้กลับมาย่างกรายเข้ามาใกล้อาณาเขตบ้านหลังนี้เลย
บ้านที่ไม่เคยต้อนรับเธอ
บ้านที่ไม่เคยใยดีเธอหรือคนในครอบครัวของเธอ
บ้าน…ที่มีส่วนหล่อหลอมให้ลูกชายคนเดียวของเธอ…เดียวดาย
เลือกที่จะอยู่…ลำพัง โดยมีกำแพงบางๆ กั้นความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
เมื่อความคิดหยุดชะงักที่…ลูก ยุวดีจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมด กดกริ่งหน้าประตูรั้วสูง
ประตูทำจากเหล็กหนาหนักพอๆ กับความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนโน้นตอนที่เธอเดินออกจากบ้านหลังนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“มาหาใครครับ”
“คุณท่าน” คำตอบสั้น พอๆ กับการผ่อนลมหายใจที่ทอดช้า ต่างจากหัวใจที่เต้นแรงรัว
“วันนี้คุณท่านไม่มีนัดพบกับใคร” ยามหน้าประตูย่อมรู้ตารางเวลาของผู้เป็นนาย และรู้ว่าคนที่จะเข้าพบได้ ต้องทำการนัดมา ซึ่งตารางนัดก็จะมีส่งมาให้ในทุกๆ วัน “ถ้าคุณจะพบคุณท่านต้องติดต่อไปที่ออฟฟิศของคุณอนุสรณ์หรือไม่ก็ทนายของคุณท่าน”
“ชวนชื่นอยู่ไหม”
“ไม่อยู่” ยามรักษาการณ์บอกทันทีตามที่ได้ถูกสั่งมา
บางคนอยากพบคุณท่าน แต่เมื่อไม่มีนัดอย่างเป็นทางการ ก็อาจจะหาโอกาสเข้าทางอื่น และทางที่หลายๆ คนมักจะใช้ก็คือผ่านแม่บ้านเก่าแก่ของคุณหญิงผกามาศ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาหาคุณท่านแล้วไม่ได้พบจึงถามหาชวนชื่น เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีใครยื่นซองจดหมายสีขาวให้ด้วยมือที่สั่นเทา
“ฝากให้พี่ชื่นด้วย บอกว่าจากยุวดี”
และเป็นครั้งแรกที่ชื่อ…ฟังคุ้นหู
ยุวดี…แต่อย่างว่า ชื่อแบบนี้ อาจจะมีใครสองสามคนที่ใช้ชื่อเหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นยามจึงรับซองจดหมายนั่นมา หากรับ…แล้ววางไว้ในป้อมยาม ราวว่าสิ่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร จนลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
กระทั่งอีกห้าวันต่อมา เมื่อคนในบ้านต่างมีการพูดถึงเรื่องเสียของ…คุณภูเก็ต
และเรื่องหัวเสียของคุณหญิงผกามาศก็ไม่พ้นการที่หลานชายคนเดียวตกเป็นที่ติฉินนินทาของสังคม
ทุจริต!
ยักยอก!
ยักยอกได้แม้แต่เงินลงทุนของครอบครัว
สังคมเชื่อ คนในครอบครัวเชื่อ แต่ก็คงจะมีเพียงชวนชื่นที่ไม่เชื่อ!
คุณหนูไม่มีวันทำเช่นนั้น ใจ…ของคุณหนูไม่ใช่เป็นเช่นนั้น
แต่ที่ทำให้ยามหน้าประตูนึกถึงซองจดหมายสีขาวก็เมื่อชวนชื่นปรารถ
“แล้วคุณยุวดีรู้เรื่องหรือยัง”
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 30) โดย มานัส
เกษราลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านแปดริ้วกับณัฐให้พีทซี่และเหมียวเปรี้ยวฟังอย่างละเอียดยิบ อาการตกใจและท่าทางขยาดหวาดกลัว ที่แม้พีทซี่จะ…overacting ไปบ้าง แต่ก็ไม่ห่างจากความจริงที่ทั้งสามสาวรู้สึกเท่าไรนัก
“โรคจิต!” เหมียวเปรี้ยวสรุปในสิ่งที่ทุกคนยอมรับ “แบบนี้น่ากลัวนะคะ”
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าอีตาณัฐน่ะผิดปรกติ” พีทซี่ก็ยังหาโอกาสย้ำซ้ำในสิ่งที่ได้เคยเตือน “น่ากลัวขนาดนี้ เธอก็ยังเอาชื่อเสียง เอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วย”
“พีทซี่!” เกษราแทบร้องกรี๊ด “ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันนะ ตัวฉันเขาก็ไม่เคยแตะ”
“แล้วทำไมไม่ยอมแก้ข่าว จนชาวบ้านทั้งประเทศเขาคิดเรื่องเน่าๆ ของเธอกับณัฐไปถึงไหน…ถึงไหนแล้ว” คนที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้จัดการส่วนตัวไม่วายตอกย้ำซ้ำเตือน
เพราะคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัวต้องคอยตามปฏิเสธแก้ตัวแทนให้ตลอด จะเจ็บใจก็ตรงที่ว่า เกษราไม่เคยยอมแก้ข่าวด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังทำตัวเป็นข่าวเสมอๆ นี่ยังดีที่ระยะหลังนางเอกหมายเลขหนึ่งเริ่มเห็น…เนื้อแท้ ของณัฐ การพบเจอ การนัดคุยจึงไม่เพียงแค่สองต่อสอง เหมือนแต่ก่อน ช่วงหลังก็มีเหมียวเปรี้ยวเข้ามา หรือบางทีพีทซี่ก็ต้องออกโรงเอง
“กว่าจะรู้ตัว ก็ต้องให้ยายจ๋าฝันร้ายตกใจ” คนเป็นเพื่อนยังซ้ำเติม แต่แล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นสีหน้าของนางเอกดัง
เกษรารักครอบครัว รักยาย รักป้า รักแม้กระทั่งเด็กจุ๋มที่ก็กลายเป็นคนในครอบครัว…เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่ทำให้ผู้เป็นที่รัก…กลัว หวาดระแวง หรือใครที่บังอาจต่อว่าผู้เป็นที่รัก เมื่อนั้นเกษราจะโกรธ
ณัฐก้าวพลาด…ที่กล้าเอ่ยปากต่อว่ายายของเกษราแบบนั้น
ต่อว่าเจ้าตัว…แม้จะร้ายแรงแต่ก็ไม่เท่าต่อว่าผู้เป็นที่รัก
“ให้ทนายทำเรื่องของถอนเงินของฉันออกจากแบงก์นั้น แล้วก็ทำการฟ้องในส่วนของเงินที่ถูกยักยอกไป”
“เฮ้ย!” ทั้งพีทซี่และเหมียวเปรี้ยวร้องเสียงหลง
“แต่แอลทัสยังสอบสวนเรื่องนี้ไม่เสร็จนะคะ”
“ช่าง! ก็เอาเงินของฉันออก ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีและคุณวิทวัสมาดูว่าเงินสูญหายไปเท่าไหร่ แล้วก็ให้คุณวิทวัสฟ้องไอ้ธนาคารเฮงซวยนั่น เรียกดอกเบี้ยย้อนหลังด้วย”
“แต่คนที่จะซวยที่สุดก็คือคุณภู”
“เธอห่วงฉันหรือห่วงเทพบุตรของเธอกันแน่ เธอทำงานให้ใครฮึ...พีทซี่” แทบนับครั้งได้ที่เกษราจะวีนเหวี่ยงเพื่อนสนิท ถึงขั้นเท้าความสาวถึงขนาดนี้
“ฉันก็ทำงานให้หล่อน” พีทซี่ขึ้นเสียงบ้าง ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนเช่นเคย “แต่ถ้าหล่อนจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังเสียบ้าง เอาแต่ทำอะไรสะใจตัวเอง ไปเปิดบัญชีก็เพื่อจะแกล้งจะวีนเขา แล้วตอนนี้จะปิดบัญชีก็ทำให้เขาพลอยซวยไปด้วย”
“เงินฉันหายไปหลายล้านนะ อีตานั่นทุจริตเอง”
“หล่อนเชื่อเช่นนั้นจริงๆ เหรอ”
“มีคนในธนาคารทุจริต” เสียงอ่อนขัดกับท่าทางขึงขัง “และมีคนๆ เดียวที่โดนสอบสวน”
“เงินฉัน เงินเด็กๆ ของฉันที่คุณภูดูแลไม่หายเลยสักบาท” การยืนยันด้วยความจริงทำให้เพื่อนสนิทเพียงก้มหน้า
“เงินของหนูด้วยค่ะ” เหมียวเปรี้ยวยอมรับ ทำให้ผู้เป็นนายค้อนควับ “ขนาดฝากไว้ไม่เยอะ แต่คุณภูเก็ตก็ดูแลพอได้กำไร”
“เงินที่อยู่กับคุณภูไม่มีปัญหา ลูกค้าทีมเอที่เหลือเท่าขี้เล็บไม่มีปัญหา อันนี้ฉันเช็คกับคุณธิ และก็กับผู้ใหญ่ในธนาคาร พวกที่มีปัญหาคือลูกค้าเก่าของคุณภูที่ย้ายไปทีมบี คิดซิคิด...เกษรา ฉันเตือนหล่อนจนปากจะฉีกถึงติ่งหู หล่อนก็ไม่เชื่อไม่สน เพราะใจหล่อนอคติกับคุณภูเก็ต”
“อาจจะแค้นมั้งที่ลูกค้าหนี เลยแก้แค้น”
“เกษรา!” พีทซี่ขึ้นเสียงแหลมจัด โกรธจัด “ฉันจะบ้าตาย หล่อนคิดแบบนี้เหรอ โอ๊ย! ไม่ไหวจะเคลียร์ เหมียวเปรี้ยว...หล่อนดูนายของหล่อนด้วย ฉันไม่ไหวแล้ว มีตาก็ไม่ต่างจากตาตุ่ม”
“ใครจะไปเหมือนเทพบุตรของเธอ ดีไปหมด”
“คุณภูเก็ตเขาก็มีข้อเสีย เรื่องแรกก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ แต่เผอิญว่าฉันไม่ได้ไปรักไปชอบเขาแบบนั้น และอย่างฉันก็ไม่ใช่สเป็คของเขา เราเลยไม่มีอะไรในก่อไผ่ไงล่ะ ฉันเลยมองแบบเป็นธรรมได้ ใจหล่อนไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว การกระทำก็เลยไม่เป็นธรรมด้วย ฉันกลับดีกว่า อยู่ไปก็เสียอารมณ์”
ว่าแล้วพีทซี่ก็สะบัดตัวลุกขึ้น แววตาวาววับ ถ้าเป็นเวลาอื่นเกษราและเหมียวเปรี้ยวคงหัวเราะคึกขบขัน เพียงแต่ในเวลานี้ ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ จนกระทั่งเกษราแผดเสียงลั่นอย่างมีโทสะ
“ไปเลย…เตรียมไปปลอบใจเทพบุตรของเธอเลยตอนที่โดนทั้งธนาคารทั้งลูกค้าฟ้อง ฉันนี่แหละจะฟ้องเป็นคนแรกเลย”
เสียงนั้นดัง แต่ยังไม่ดังเท่าเสียงปิดประตู…ปัง!
“ดูท่าแล้วพี่พีทซี่แกโกรธจริงๆ นะคะ” เหมียวเปรี้ยวกลั้นใจกล่าวออกไปในที่สุด “ไม่เคยเห็นนางโกรธพี่เกดแบบนี้มาก่อนเลย”
“เพราะผู้ชายขี้โกงคนเดียว”
“แต่ว่าคุณภู…” คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงในลำคอเมื่อหญิงสาวเห็นดวงตาขุ่นของเจ้านาย
“เอกสารที่สั่งให้เอามาอยู่ไหน” เสียงราบเรียบทวง
“นี่ค่ะ” เหมียวเปรี้ยวคว้าแฟ้มพลาสติกขนาดกลางสองเล่มออกมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเธอ “เป็นสำเนาเอกสารที่มีลายเซ็นของคุณภูเก็ต ทั้งใบเปิดบัญชี ใบอนุมัติโอนย้ายเงินลงทุน แล้วพวกจดหมายสัพเพเหระ เหมียวแยกเรียงให้ตามเดือน ส่วนอีกแฟ้มเป็นของพี่พีทซี่กับเด็กๆ ในสังกัด แยกตามรายเดือนและรายบุคคลค่ะ”
แฟ้มถูกจัดเรียบร้อย มีกระดาษแบ่งชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการหาและการจัดเก็บ ไม่ต่างจากแฟ้มที่สามที่หญิงสาวหยิบออกมายื่นให้
“ส่วนนี่เป็นอีเมลระหว่างทางเรากับทางแอลทัส มีทั้งของพี่เกด ของเหมียวแล้วก็ของคุณวิทวัสค่ะ”
“ขอบใจ” เกษรากล่าวสั้นๆ ความสนใจจมอยู่กับสองแฟ้มแรกเสียมากกว่า
“พี่เกดจะเอาไปทำอะไรคะ”
เพียงแต่ว่าไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายที่รวบแฟ้มทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินหายไปยังห้องเล็กที่ถูกจัดเป็นห้องหนังสือ กึ่งห้องทำงาน
มือเรียวขยับบานเลื่อนของตู้ไม้ กดเลขเร็วๆ บนแป้นคีย์ของตู้เซฟใบใหญ่ที่อยู่ข้างใน เครื่องเพชร เครื่องประดับราคาแพงที่ถูกเก็บไว้กับเงินสดปึกใหญ่ รวมถึงเอกสารสำคัญอย่างอื่น ในตอนนี้ไม่มีค่าเท่ากับซองจดหมายสีน้ำตาลขนาดเอ4 ที่หญิงสาวคว้าออกมาวางบนโต๊ะกลมที่อยู่กลางห้อง
เอกสารสองฉบับที่เธอได้รับโดยไม่เกี่ยวกับแอลทัส
ฉบับแรกเป็นสัญญาเช่าห้องพักที่คุณป้าเจ้าของห้องเดิมมอบไว้ให้เธอในฐานะเจ้าของห้องคนใหม่
อีกฉบับเป็นจดหมายมาจากภูเก็ตโดยตรง
…มีความประสงค์จะไม่ต่อสัญญาเช่า และจะย้ายออกทันทีที่สัญญาสิ้นสุด…
ลายเซ็นภาษาอังกฤษของเขาเด่นชัดเต็มยศไม่ต่างจากการเซ็นเอกสารที่เป็นทางการอื่นๆ เกษราแตะนิ้วไล่เบาๆ บันตัวอักษรชื่อของเขา จรดครบทุกตัว
ใจนึกอยากจะแย้งว่า…ย้ายออกทันทีเสียเมื่อไร เพราะคืนนั้น…เราอยู่ด้วยกันเลยเวลาเริ่มต้นของวันใหม่ จนกระทั่งเขาหลบออกไปตอนไหนก็สุดที่เธอจะเดาได้
ดวงตาล้ำลึก เศร้าสร้อยปรากฏเมื่อความคิดและจิตใจไม่อาจที่จะสะกดความทรงจำที่บาดลึกได้
‘…เอาเป็นเพียงแค่ความจริงใจจากผมได้ไหมหนูปีบ…ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมจริงใจกับคุณ’
ทุกคำพูด ทุกรอยสัมผัส
เป็นความจริงใจหรือแค่…รักเล่ห์หาบเสน่ห์ไปทั่วแคว้น
เกษรากวาดตามองเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจพับจดหมายฉบับนั้นใส่ซองสีครีมของมันตามเดิม การนั่งนิ่งบ่งบอกถึงอาการลังเลบางอย่าง ดวงตาคู่สวยของนางเอกชื่อดังจับอยู่ที่ซองจดหมายตรงหน้าและสัญญาเช่า
อีกเนิ่นนานกว่าเธอจะละสายตาจากมัน!
นานกว่ายี่สิบปีแล้วกระมังที่ยุวดีไม่ได้กลับมาย่างกรายเข้ามาใกล้อาณาเขตบ้านหลังนี้เลย
บ้านที่ไม่เคยต้อนรับเธอ
บ้านที่ไม่เคยใยดีเธอหรือคนในครอบครัวของเธอ
บ้าน…ที่มีส่วนหล่อหลอมให้ลูกชายคนเดียวของเธอ…เดียวดาย
เลือกที่จะอยู่…ลำพัง โดยมีกำแพงบางๆ กั้นความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
เมื่อความคิดหยุดชะงักที่…ลูก ยุวดีจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมด กดกริ่งหน้าประตูรั้วสูง
ประตูทำจากเหล็กหนาหนักพอๆ กับความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนโน้นตอนที่เธอเดินออกจากบ้านหลังนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“มาหาใครครับ”
“คุณท่าน” คำตอบสั้น พอๆ กับการผ่อนลมหายใจที่ทอดช้า ต่างจากหัวใจที่เต้นแรงรัว
“วันนี้คุณท่านไม่มีนัดพบกับใคร” ยามหน้าประตูย่อมรู้ตารางเวลาของผู้เป็นนาย และรู้ว่าคนที่จะเข้าพบได้ ต้องทำการนัดมา ซึ่งตารางนัดก็จะมีส่งมาให้ในทุกๆ วัน “ถ้าคุณจะพบคุณท่านต้องติดต่อไปที่ออฟฟิศของคุณอนุสรณ์หรือไม่ก็ทนายของคุณท่าน”
“ชวนชื่นอยู่ไหม”
“ไม่อยู่” ยามรักษาการณ์บอกทันทีตามที่ได้ถูกสั่งมา
บางคนอยากพบคุณท่าน แต่เมื่อไม่มีนัดอย่างเป็นทางการ ก็อาจจะหาโอกาสเข้าทางอื่น และทางที่หลายๆ คนมักจะใช้ก็คือผ่านแม่บ้านเก่าแก่ของคุณหญิงผกามาศ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาหาคุณท่านแล้วไม่ได้พบจึงถามหาชวนชื่น เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีใครยื่นซองจดหมายสีขาวให้ด้วยมือที่สั่นเทา
“ฝากให้พี่ชื่นด้วย บอกว่าจากยุวดี”
และเป็นครั้งแรกที่ชื่อ…ฟังคุ้นหู
ยุวดี…แต่อย่างว่า ชื่อแบบนี้ อาจจะมีใครสองสามคนที่ใช้ชื่อเหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นยามจึงรับซองจดหมายนั่นมา หากรับ…แล้ววางไว้ในป้อมยาม ราวว่าสิ่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร จนลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
กระทั่งอีกห้าวันต่อมา เมื่อคนในบ้านต่างมีการพูดถึงเรื่องเสียของ…คุณภูเก็ต
และเรื่องหัวเสียของคุณหญิงผกามาศก็ไม่พ้นการที่หลานชายคนเดียวตกเป็นที่ติฉินนินทาของสังคม
ทุจริต!
ยักยอก!
ยักยอกได้แม้แต่เงินลงทุนของครอบครัว
สังคมเชื่อ คนในครอบครัวเชื่อ แต่ก็คงจะมีเพียงชวนชื่นที่ไม่เชื่อ!
คุณหนูไม่มีวันทำเช่นนั้น ใจ…ของคุณหนูไม่ใช่เป็นเช่นนั้น
แต่ที่ทำให้ยามหน้าประตูนึกถึงซองจดหมายสีขาวก็เมื่อชวนชื่นปรารถ
“แล้วคุณยุวดีรู้เรื่องหรือยัง”
(ต่อ)