เวิลด์คัพ ฉบับกาแฟ : ‘บราซิล’ แชมป์โลกสมัยที่6หรือตกกระป๋อง?!

กระทู้ข่าว


ถ้าหากจะพูดถึงสิ่งที่คู่กับ“ฟุตบอลโลก”

หนึ่งในสิ่งที่เหมาะที่ควรที่สุดนั่นคือ “แซมบ้า” ทีมชาติบราซิล!

สุดยอดทีมจากแดนลาตินอเมริกา ที่สร้างตำนานต่างๆ เอาไว้ในฟุตบอลโลกอย่างมากมาย, เหลือเชื่อ และสุดคลาสสิกเอาไว้ในตำนานฟุตบอลโลก

พวกเขามีแข้งชั้นดีโดยเฉพาะเกมรุกทุกยุคสมัย โดยเฉพาะยุคที่เป็นแชมป์นอกทวีปชาติแรก เมื่อปี 1958 ที่สวีเดน เป็น
เจ้าภาพ และกำเนิดนักเตะชั้นยอดแห่งยุคอย่าง “ไข่มุกดำ”เปเล่ ที่ตอนนั้นอายุเพียง 17

ดาวดังต่างยุคสมัยมีมากมายจนนับไม่หมด วาว่า, ซากาโล่, การ์ริช่า, ทอสเทา, แจร์ซินโญ่, ริเวลลิโน่, คาร์ลอส อัลแบร์โต้ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมารังสรรค์ให้ทีมเป็นแชมป์โลก ได้ถึง 3 จาก 4 สมัย นับตั้งแต่ปี 1958 จนถึงปี 1970

แต่จากนั้น บราซิล อยู่ในยุคของ “แผ่นเสียงตกร่อง” ยาวนานถึง 12 ปี จนถึงยุคทีมที่มี “เปเล่ขาว” ซิโก้, “คุณหมอยอดนักเตะ”โซคราเตส, ฟัลเกา, จูเนียร์, เซเรโซ่, เอแดร์ ในปี 1982 แต่กลับตกรอบ 2 ไม่ได้แชมป์เมื่อแพ้ อิตาลี แบบล็อกพัง 2-3 จนเป็นที่มาของอีกหนึ่งราชันไร้มงกุฎ

“แซมบ้า” อกหักต่อเนื่อง กระทั่งยุติการรอคอยในปี 1994 ยุคของกองหน้าที่ไม่ถูกกันแต่ยิงประตูกันสนั่นทุ่งทั้ง โรมาริโอ และเบเบโต้ พร้อมการดีใจ “ท่าอุ้มลูก” ในรอบ 8 ทีมที่พิชิต เนเธอร์แลนด์ จนสุดท้ายกลายเป็นทีมแรกของโลก ที่ได้แชมป์ด้วยการดวลเป้า ชนะ อิตาลี ที่ โรบี้ บาจโจ้ ซัดข้ามคาน

แต่การมาป้องกันแชมป์ บราซิล เข้าถึงนัดชิงโดยมี ดุงก้า, ริวัลโด้ และโรนัลโด้ เป็นแกนนำ แต่เป็นเพราะ โรนัลโด้ ป่วยหนักก่อนเกมนัดชิง และมีปัญหาทีมทะเลาะกันอย่างหนัก เนื่องจากไม่อยากให้ เอ๊ดมุนโด้ เจ้าของฉายา “ป่า” ลงเล่นนัดชิง ทำให้ต้องเข็น โรนัลโด้ ลงเล่น

สุดท้ายก็แพ้ ฝรั่งเศส ยับ 0-3 ชวดแชมป์โลก

อย่างไรก็ดี บราซิล กลับมาครองโลกอีกครั้งในปี 2002 ด้วยแนวคิดของ หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ ด้วยการใช้ “กลางรับคู่” นั่นคือ คเลแบร์สัน กับ จิลแบร์โต้ ซิลวา พร้อมกับเกมรุกที่มี “3อาร์” คือ โรนัลโด้, ริวัลโด้ และโรนัลดินโญ่ หรือจะนับรวมอีกหนึ่งอาร์คือ โรแบร์โต้ คาร์ลอส เข้าไปด้วยก็ได้

พวกเขาทุบเยอรมนี 2-0 ครองแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับภาพความทรงจำทรงผม “ไดโกโระ” ของยอดหัวหอกอย่าง โรนัลโด้

นับจากวันนั้น บราซิล ไม่เคยผงาดบนอีกเลย แม้แต่เข้าชิงยังยาก การตกรอบ 8 ทีม 2 สมัยติดมันยิ่งกว่าคำว่า ผิดหวัง

ที่สุดแล้ว ก็ต้องไปเรียก สโคลารี่ กลับมาทำงานอีกครั้ง โดยไม่เกรงว่า จะล้มเหลวเหมือนกับที่ดึงอดีตกุนซือที่เคยทำทีมได้แชมป์อย่าง มาริโอ ซากาโล่ และคาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์ไรร่า มาทำทีม

“บิ๊กฟิล” เลือกจะตัดแข้งเก๋าอย่าง กาก้า, โรนัลดินโญ่, โรบินโญ่ ออกจากทีม รวมไปถึง เฟลิปเป้ ลุยซ์ ที่เล่นดีมากกับ แอต.มาดริด ออกไป

ตรงนั้นไม่ใช่ประเด็น

สิ่งที่ บราซิล ต้องรับกับมันให้ได้ก็คือ การต่อต้านจากประชาชน ที่ถูกไล่ที่ เพื่อนำมาสร้างสนาม, การนำเงินของภาครัฐบาลมาใช้ในการจัดการแข่งขันบอลโลก เลยไปถึงโอลิมปิกเกมส์ในอีก 2 ปีข้างหน้า มันสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่สุดขีดจนแทบล้มกระดาน

ไม่เคยมีเจ้าภาพบอลโลกหนไหนมีการประท้วงจากคนเป็นล้านคนแบบนี้มาก่อน

สิ่งที่ปลอบประโลมมวลมหาประชาชนชาวแซมบ้าได้นั้นก็คือ ฟอร์มการเล่นในสนาม ที่ทีมจะต้องเป็น“แชมป์”ให้ได้สถานเดียว ในฐานะเจ้าภาพ และประเทศที่บ้าคลั่งฟุตบอล ซึ่งมีคนเสียชีวิตจากการเชียร์บอลโลกในทุกยุคทุกสมัย

นี่คือสิ่งที่จะบรรเทาเบาบาง และอาจจะยุติในทุก ๆ ปัญหา แม้มันยากเกินจะบรรยายก็ตาม

นักเตะชุดนี้ยังขาดความสมดุล และยังขาดความกระหายชัยชนะ โดยเฉพาะขุนพลตัวความหวังอันดับ 1 อย่าง เนย์มาร์ ได้รับการพิสูจน์ในปีแรกว่า ไม่แกร่งอย่างที่คิดในการมาเล่นในสเปน

อีกสิ่งที่สำคัญคือ “อีโก้” ที่นักเตะแนวรุกต้องลดทอนลง พร้อมที่จะลงเล่นฟุตบอลด้วยการ “ส่งให้กัน” เพราะพวกเขาวายวอดมาแล้ว ในนัดชิงโอลิมปิกเกมส์ ที่ใช้ชุดนี้แทบจะยกกระบิ แต่กลับได้แค่เหรียญเงิน ก็มาจากการขาดการประสานงานซึ่งกันและกัน

ลบเหลี่ยม และลดอีโก้ลงไป ยังไงการเล่นในถิ่นก็ได้เปรียบชาวบ้านเค้าอยู่ดี เพื่อยุติการรอคอยสู่แชมป์โลก สมัยที่ 6 และคงไม่มีใครอยากเห็นพวกเขาแพ้ ไม่อย่างนั้นจะซ้ำรอยการเป็นเจ้าภาพ ปี 1950

น้ำตาท่วมมาราคาน่า เพราะแพ้ อุรุกวัย ในนัดชิง ถ้าต้องเป็นไปตามอีหรอบเดิม

คงได้งามไส้ไปทั้งโลก!
l อินไซด์ ทีมชาติบราซิล l

ผู้จัดการทีม : หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่

ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก 5 สมัย ปี 1958, 1962,
1970, 1994 และ 2002

ผลงานรอบคัดเลือก : เข้ารอบอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพ

เข้ารอบสุดท้าย : 20 สมัย

ดาวเด่น : เนย์มาร์ ติดทีมชาติ 47 นัด ยิง 30 ลูก

โปรแกรมรอบแรก : 12-6-14 พบ โครเอเชีย, 17-6-14 พบ เม็กซิโก และ 23-6-14 พบ แคเมอรูน

# ผู้เล่นชุดลุยบอลโลก #

ประตู : ชูลิโอ เซซาร์ (โตรอนโต้ เอฟซี/แคนาดา), เจฟเฟอร์สัน (โบตาโฟโก้), บิคตอร์ (แอต.มิเนโร่)

กองหลัง : มาร์เซโล่ (เรอัล มาดริด / สเปน), แดเนียล อัลเวส (บาร์เซโลน่า / สเปน), ไมค่อน(โรม่า/อิตาลี), แม็กซ์เวลล์ และติอาโก้ ซิลวา(แซงต์-แชร์กแมง/ ฝรั่งเศส), ดาวิด ลุยซ์(เชลซี/อังกฤษ), ดันเต้(บาเยิร์น/เยอรมนี), เอ็นริเก้ (นาโปลี/อิตาลี)

กองกลาง : เปาลินโญ่(สเปอร์ส/อังกฤษ), รามิเรส (เชลซี/อังกฤษ), ออสการ์ และ วิลเลี่ยน(เชลซี/อังกฤษ), แอร์นาเนส(อินเตอร์/อิตาลี), หลุยซ์ กุสตาโว่(โวล์ฟสบวร์ก/เยอรมนี), แฟร์นานดินโญ่(แมนฯซิตี้/อังกฤษ)

กองหน้า : แบร์นาร์ด(ชัคเตอร์/ยูเครน), เนย์มาร์(บาร์เซโลน่า/สเปน), เฟร็ด(ฟลูมิเนนเซ่), โช(แอต.มิเนโร่), ฮัลค์ (เซนิต/รัสเซีย)

บี แหลมสิงห์

ข้อมูลจาก http://www.naewna.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่