เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราไปเข้าไปเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ค่ะ
แต่เราพักที่ First World Hotel , Genting Highland
ก็เลยต้องเดินทางกลับไกลหน่อยด้วยการขึ้นรถบัสที่ KL Sentral
แล้วไปลงสถานี Genting Skyway เพื่อเดินขึ้นไปบนโรงแรมค่ะ
ความจริงเราตั้งใจจะกลับรถรอบ 2 ทุ่ม แต่เผอิญ รถไฟ KTM
สถานีที่เราจะกลับ KL Sentral (สถานี Mid Valley) ช้าไปประมาณกว่า 15 นาที
เรามาถึง KL Sentral ก็สองทุ่มเศษแล้ว ไหนจะวิ่งหาที่ขึ้นรถบัสอีก
สรุปก็คือตกรถรอบสองทุ่มค่ะ
ซึ่งปกติแล้ววันธรรมดาจะมีรถถึงแค่ 2 ทุ่ม แต่สำหรับช่วง Weekend จะมีรอบ 3 ทุ่มด้วย
เราก็แบบ มาเป็นผู้หญิงคนเดียวครั้งแรกใน KL ด้วย และเผอิญเรามาตกรถคนเดียวด้วย
หลังจากนั้นก็มีแขกตะวันออกกลาง 2 คน มาซื้อตั๋วรถก่อนเรา
เค้าก็เห็นเรา panic ที่ตกรถนิดหน่อย
แล้วเค้าก็เลยถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกเราตกรถ 2 ทุ่ม
ในใจวูบแรกเลย เค้าจะทำมิดิมิร้ายเราหรือเปล่า
เห็นเราเป็นผู้หญิง ถือถุงรองเท้า Vincci มาคอยรถกลับเกนติ้งคนเดียว
แถมผู้ชายอีกคนยังขยับมานั่งคุยกับเราอีก
เราก็แบบนะ ตกใจมากๆละตอนนั้น
คิดในใจอย่างเดียว อย่าให้เค้าหลอกกูไปไหนแล้วกัน
แต่ก็หนังคนละม้วนกับที่เราคิดไว้ตอนแรกค่ะ เค้าก็แนะนำตัวว่าเค้าเป็นแขกปากีสถาน
มาทำงานอยู่ใน KL ย่าน Rawang เป็นแคชเชียร์ได้หลายปีแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่ปากีสถานไม่สู้ดีนัก
เค้าบอกว่าเค้าเคยเป็นช่างทาสีตอนสมัยอยู่ปากี
แต่พอไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องทำงานอย่างอื่นแทน
เค้ากับเพื่อน 2 คนขึ้นไปเล่นกาสิโนค่ะ ขึ้นรถรอบดึกแล้วเช้าจึงกลับลงมา KL
แล้วเราก็ข้องใจว่าแบบนั่งรถขึ้นไปบนนั้นจะนานมั้ย เพราะขามาที่บ้านขับรถมาส่งที่ Suria KLCC
เพราะพนักงานขายตั๋วคนจีนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษที่เราสื่อสารเท่าไหร่ เลยบอกว่า 2 ชม.
เราก็แบบตกใจมากเห้ย นานไปป้ะ
ถ้าไปถึงกระเช้าแล้วจะเดินกลับโรงแรมคนเดียวได้ไงเพราะเราก็ยังไม่เคยขึ้นกระเช้าเกนติ้ง
เราก็เลยทราบว่ามันมีทางเดินจากพี่แขกคนนี้
และใช้เวลาแค่ชม.เศษ ขึ้นไปถึงข้างบนเกนติ้งละ โอ้ย ค่อยยังชั่ว
และพอเค้าทราบว่าเราเป็นคนไทยเค้าก็คุยกับเราหลายเรื่องเลยค่ะ
เค้าก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่มาเที่ยวเมืองไทยเนี่ย
เค้าโดนตำรวจแดรกตังบ่อยมากๆ ไหนจะโดนแท๊กซี่ปิดมิเตอร์อีก
แต่เค้าก็บอกนะว่าคนไทยอัธยาศัยดีกันทั้งนั้นแหละ
แต่ก็ไม่เหมือนปัจจุบันที่เค้าอยู่มาเลย์คือไม่มีปัญหาอะไรเลย
และเค้าก็ถามเราว่าทำไมคนไทยถึงไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษแบบยูล่ะ
(เราพูดกับเค้าฟังรู้เรื่องอย่างน้อย 90% มีติดๆขัดๆนิดหน่อย)
เราก็เลยบอกไปว่าวิธีการสอนภาษาอังกฤษแบบคนไทยเนี่ยคือแบบเรียนทฤษฏีก่อน
แต่เวลาปฎิบัติแล้วควรจะเป็นตาม pattern คือห้ามผิด ผิดแล้วจะไม่ดี
ก็เลยทำให้คนไทยอายที่จะพูดภาษาอังกฤษนี่แหละ
แล้วพอหลังจากนั้นถึงเวลาขึ้นรถ พี่แขกคนนี้ก็นั่งข้างเราค่ะ
เราก็มีแอบกลัวเพราะเราเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับการนั่งรถสองแถวในต่างจังหวัด
แล้วเจอผู้ชายพม่าเอาขาเค้า มาสีขาเรา (ทั้งๆที่เราแต่งตัวกางเกงขายาวนะคะตอนนั้น)
ก็เลยแบบหลีกเลี่ยงจะนั่งรถสองแถวเลย เพราะจังหวัดนั้นสองแถวมีแต่พม่าขึ้น
สุดท้ายก็ปลอดภัย ถึงสถานี Genting Skyway แล้วเค้าก็พาเราไปซื้อตั๋ว Skyway ด้วย
แล้วหลังจากนั่นก็แยกกันเดินทางแล้วค่ะ
พี่เค้าเดินขึ้นไปเร็วกว่า กระเช้าเต็มก่อน ก็เลยเหลือแต่เรารอกระเช้าอันต่อไปกลับโรงแรมค่ะ
ก็เป็นอันว่าวันนั้นถึงที่พักอย่างปลอดภัย
สิ่งที่เราได้จากการคุยกับคนปากีที่ไปเล่นกาสิโนในวันนั้นก็คือ
-อย่าตัดสินคนจากภายนอก เพราะภายในเค้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
-ไม่อยากเห็นคนไทยใช้นิสัยขี้โกงค่ะ นี่ได้ยินมาเยอะแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่กับพี่ปากีคนนี้
เราอยากจะบอกว่าเราเที่ยวมาเลย์ ไม่เคยมีคำว่าชาร์จพิเศษ หรือโกงนักท่องเที่ยวเลย
เพราะวันก่อนเราเข้าไปในหาดป่าตอง เจอคนขายข้าวโพดให้คนไทยราคาแค่ 20
แต่พอฝรั่งคนถัดไปมาซื้อก็แพงกว่า 20 บาทหลายเท่าตัวจ้า
อยากให้เลิกจริงๆจังๆนะ เพราะนิสัยคนไทยหลายคนแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่กับฝรั่ง เป็นกะคนไทยด้วย
เช่นรถแดงเชียงใหม่รับคนหน้าตากรุงเทพไม่อู้คำเมืองนี่ก็อัพค่ารถแดงกันเป็นว่าเล่นเลย
และที่สำคัญคนไทยอย่ากลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่นๆนะคะ ไม่ต้องอาย
ไม่ต้องคิดถึงแกรมม่า ไม่ต้องคิดว่ามันจะผิด ฝึกมากๆนะคะ พูดผิดอะไรก็ช่างมันจริงๆค่ะ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันหยุดนะคะ
ประสบการณ์ดีๆ กับการตกรถที่ KL Sentral , Kuala Lumpur , Malaysia
แต่เราพักที่ First World Hotel , Genting Highland
ก็เลยต้องเดินทางกลับไกลหน่อยด้วยการขึ้นรถบัสที่ KL Sentral
แล้วไปลงสถานี Genting Skyway เพื่อเดินขึ้นไปบนโรงแรมค่ะ
ความจริงเราตั้งใจจะกลับรถรอบ 2 ทุ่ม แต่เผอิญ รถไฟ KTM
สถานีที่เราจะกลับ KL Sentral (สถานี Mid Valley) ช้าไปประมาณกว่า 15 นาที
เรามาถึง KL Sentral ก็สองทุ่มเศษแล้ว ไหนจะวิ่งหาที่ขึ้นรถบัสอีก
สรุปก็คือตกรถรอบสองทุ่มค่ะ
ซึ่งปกติแล้ววันธรรมดาจะมีรถถึงแค่ 2 ทุ่ม แต่สำหรับช่วง Weekend จะมีรอบ 3 ทุ่มด้วย
เราก็แบบ มาเป็นผู้หญิงคนเดียวครั้งแรกใน KL ด้วย และเผอิญเรามาตกรถคนเดียวด้วย
หลังจากนั้นก็มีแขกตะวันออกกลาง 2 คน มาซื้อตั๋วรถก่อนเรา
เค้าก็เห็นเรา panic ที่ตกรถนิดหน่อย
แล้วเค้าก็เลยถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกเราตกรถ 2 ทุ่ม
ในใจวูบแรกเลย เค้าจะทำมิดิมิร้ายเราหรือเปล่า
เห็นเราเป็นผู้หญิง ถือถุงรองเท้า Vincci มาคอยรถกลับเกนติ้งคนเดียว
แถมผู้ชายอีกคนยังขยับมานั่งคุยกับเราอีก
เราก็แบบนะ ตกใจมากๆละตอนนั้น
คิดในใจอย่างเดียว อย่าให้เค้าหลอกกูไปไหนแล้วกัน
แต่ก็หนังคนละม้วนกับที่เราคิดไว้ตอนแรกค่ะ เค้าก็แนะนำตัวว่าเค้าเป็นแขกปากีสถาน
มาทำงานอยู่ใน KL ย่าน Rawang เป็นแคชเชียร์ได้หลายปีแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่ปากีสถานไม่สู้ดีนัก
เค้าบอกว่าเค้าเคยเป็นช่างทาสีตอนสมัยอยู่ปากี
แต่พอไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องทำงานอย่างอื่นแทน
เค้ากับเพื่อน 2 คนขึ้นไปเล่นกาสิโนค่ะ ขึ้นรถรอบดึกแล้วเช้าจึงกลับลงมา KL
แล้วเราก็ข้องใจว่าแบบนั่งรถขึ้นไปบนนั้นจะนานมั้ย เพราะขามาที่บ้านขับรถมาส่งที่ Suria KLCC
เพราะพนักงานขายตั๋วคนจีนไม่เข้าใจภาษาอังกฤษที่เราสื่อสารเท่าไหร่ เลยบอกว่า 2 ชม.
เราก็แบบตกใจมากเห้ย นานไปป้ะ
ถ้าไปถึงกระเช้าแล้วจะเดินกลับโรงแรมคนเดียวได้ไงเพราะเราก็ยังไม่เคยขึ้นกระเช้าเกนติ้ง
เราก็เลยทราบว่ามันมีทางเดินจากพี่แขกคนนี้
และใช้เวลาแค่ชม.เศษ ขึ้นไปถึงข้างบนเกนติ้งละ โอ้ย ค่อยยังชั่ว
และพอเค้าทราบว่าเราเป็นคนไทยเค้าก็คุยกับเราหลายเรื่องเลยค่ะ
เค้าก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่มาเที่ยวเมืองไทยเนี่ย
เค้าโดนตำรวจแดรกตังบ่อยมากๆ ไหนจะโดนแท๊กซี่ปิดมิเตอร์อีก
แต่เค้าก็บอกนะว่าคนไทยอัธยาศัยดีกันทั้งนั้นแหละ
แต่ก็ไม่เหมือนปัจจุบันที่เค้าอยู่มาเลย์คือไม่มีปัญหาอะไรเลย
และเค้าก็ถามเราว่าทำไมคนไทยถึงไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษแบบยูล่ะ
(เราพูดกับเค้าฟังรู้เรื่องอย่างน้อย 90% มีติดๆขัดๆนิดหน่อย)
เราก็เลยบอกไปว่าวิธีการสอนภาษาอังกฤษแบบคนไทยเนี่ยคือแบบเรียนทฤษฏีก่อน
แต่เวลาปฎิบัติแล้วควรจะเป็นตาม pattern คือห้ามผิด ผิดแล้วจะไม่ดี
ก็เลยทำให้คนไทยอายที่จะพูดภาษาอังกฤษนี่แหละ
แล้วพอหลังจากนั้นถึงเวลาขึ้นรถ พี่แขกคนนี้ก็นั่งข้างเราค่ะ
เราก็มีแอบกลัวเพราะเราเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับการนั่งรถสองแถวในต่างจังหวัด
แล้วเจอผู้ชายพม่าเอาขาเค้า มาสีขาเรา (ทั้งๆที่เราแต่งตัวกางเกงขายาวนะคะตอนนั้น)
ก็เลยแบบหลีกเลี่ยงจะนั่งรถสองแถวเลย เพราะจังหวัดนั้นสองแถวมีแต่พม่าขึ้น
สุดท้ายก็ปลอดภัย ถึงสถานี Genting Skyway แล้วเค้าก็พาเราไปซื้อตั๋ว Skyway ด้วย
แล้วหลังจากนั่นก็แยกกันเดินทางแล้วค่ะ
พี่เค้าเดินขึ้นไปเร็วกว่า กระเช้าเต็มก่อน ก็เลยเหลือแต่เรารอกระเช้าอันต่อไปกลับโรงแรมค่ะ
ก็เป็นอันว่าวันนั้นถึงที่พักอย่างปลอดภัย
สิ่งที่เราได้จากการคุยกับคนปากีที่ไปเล่นกาสิโนในวันนั้นก็คือ
-อย่าตัดสินคนจากภายนอก เพราะภายในเค้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
-ไม่อยากเห็นคนไทยใช้นิสัยขี้โกงค่ะ นี่ได้ยินมาเยอะแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่กับพี่ปากีคนนี้
เราอยากจะบอกว่าเราเที่ยวมาเลย์ ไม่เคยมีคำว่าชาร์จพิเศษ หรือโกงนักท่องเที่ยวเลย
เพราะวันก่อนเราเข้าไปในหาดป่าตอง เจอคนขายข้าวโพดให้คนไทยราคาแค่ 20
แต่พอฝรั่งคนถัดไปมาซื้อก็แพงกว่า 20 บาทหลายเท่าตัวจ้า
อยากให้เลิกจริงๆจังๆนะ เพราะนิสัยคนไทยหลายคนแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่กับฝรั่ง เป็นกะคนไทยด้วย
เช่นรถแดงเชียงใหม่รับคนหน้าตากรุงเทพไม่อู้คำเมืองนี่ก็อัพค่ารถแดงกันเป็นว่าเล่นเลย
และที่สำคัญคนไทยอย่ากลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่นๆนะคะ ไม่ต้องอาย
ไม่ต้องคิดถึงแกรมม่า ไม่ต้องคิดว่ามันจะผิด ฝึกมากๆนะคะ พูดผิดอะไรก็ช่างมันจริงๆค่ะ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันหยุดนะคะ