ขออภัยที่ต้องมาตั้งกระทู้แบบคำถาม เพราะยังตั้งแบบกระทู้สนทนาไม่ได้
สวัสดีคะ วันนี้เรามีเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองให้ทุกคนได้อ่าน และ เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน
เราจำเรื่องราวได้คร่าวๆ สมัยอนุบาล 2 เราไม่ได้เรียนอนุบาล 1 กับ อนุบาล 3 อยู่ๆก็เข้าไปเรียนเป็นอนุบาล 2 เลย
แล้วก็ขึ้นชั้นป.1 ซึ่งเราคงเข้าโรงเรียนช้ากว่าชาวบ้านเขาเป็นแน่ จำได้ว่า เราไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเรียนหนังสือ
เพราะตอนนั้นไม่อยากห่างพ่อกับแม่ เราร้องไห้ทุกวัน เราคิดว่าการไปโรงเรียนนั้นเหมือนกับไปโรงพยาบาล เพราะมันมีแต่ความน่ากลัว
ซึ่งพ่อกับแม่เราก็ไม่ได้ฐานะร่ำรวย เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำไปวันๆ แต่พ่อกับแม่เราก็พยายามให้ลูกได้เรียนหนังสือ
ขึ้นป.1 มีนักเรียนในชั้น 30 คน ละรับรองได้ว่าเราสอบได้ที่ 30 ที่โหล่ของห้อง
ขึ้นป.2 มีนักเรียนในชั้น 30 คน ก็ยังคงได้รับตำแหน่ง ที่โหล่ของห้องอีกเช่นเคย
ขึ้นป.3 มีนักเรียนในชั้น 30 คน แต่เริ่มไต่ขึ้นมาได้อีก1อันดับ คือได้ที่ 29 ของห้อง
ขึ้นป.4 มีนักเรียนในชั้น 28 คน ก็กลับมาได้ที่โหล่ของห้องอีกเหมือนเดิม
ครูประจำชั้น ต้องเรียกพ่อกับแม่เราเข้าพบอยู่เสมอ เรื่องผลการเรียนที่ตกต่ำ ซึ่งเราก็ยังไม่ได้พัฒนาตัวเองสักเท่าไหร่
ขึ้นป.5 และ จนถึง ป.6 เราก็ยังคงครองแชมป์ ที่โหล่ อีกตามเคย ช่วงป.6 มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก
เพราะจะต้องเลื่อนชั้น ขึ้นม.1 ทำไงดีละ หนังสือไม่เคยแตะ ไม่เคยอ่าน ไม่สนใจ ห่วงแต่เล่นเกมส์ ดูหนัง
ความรู้ก็แทบจะไม่มี แค่อ่านภาษาไทยออก วาดภาพเก่ง แค่นั้นเอง เรื่องภาษาอังกฤษข้ามไปได้เลย จัดว่าโง่เลยทีเดียว
วิทยาศาสตร์ ยิ่งแล้วใหญ่ พ่อกับแม่เราก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้เราไปเรียนพิเศษเพิ่ม
แต่เราไม่อยากเรียน เราคิดว่าเรียนยังไงมันไม่ก็เข้าหัว จนครั้งนึงเราเห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อ ที่ถูกคนข้างบ้าน ญาติพี่น้อง
ที่มาดูถูกเราว่าเรียนไม่เก่ง แล้วจะไปสอบที่ไหนได้ ไปไถนาดีกว่ามั้ง
พ่อกับแม่บอกเราเสมอว่า พ่อกับแม่ไม่ได้จบถึงปริญญาตรี แต่จบแค่ ป.4 พ่อกับแม่อยากเห็นลูกตั้งใจเรียน
และมีอนาคตที่ดี ซึ่งตอนนั้นเรายังคงมีความคิดแบบเด็กๆ ก็โอเค ยอมไปเรียนพิเศษเพื่อติวเข้า ม.1
พ่อซึ่งหาเงินมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เอาเงินที่ได้มาเสียค่าเรียนพิเศษให้กับเรา ซึ่งจำได้ว่าตอนนั้นราวๆ ประมาณ 4 พันกว่าบาท
.............................................................................................................................................................
- วันแรกที่เราเข้าไปเรียนพิเศษ
เราไม่รู้สึกตื่นเต้น เรารู้สึกเบื่อ มันเหมือนกับสมองมันไม่รับสารความรู้อะไรเลยจริงๆ
เราได้แต่หยิบดินสอขึ้นมา วาดรูป คนบ้าง สัตว์บ้าง มันทำให้เราเพลิดเพลินกับสิ่งที่เราทำอยู่
กระทั่งพี่คนที่สอนติวเตอร์ให้เราต้องมายืนคุมเรา ให้เราสนใจ พี่เขาทั้งพยายามเขียนโจทย์ ให้เราฝึกทำ
เหมือนกับว่าในชั่วโมงนั้นเราแค่เข้าใจ แต่พอเราเดินออกมาจากห้องติวเตอร์แล้ว เรากับลืม
และไม่มีการไปทบทวนต่อด้วย คือเรียนๆ กะให้มันพ้นวันไป
- วันที่2
เราไปเรียนด้วยความเบื่อหน่าย นึกอยู่ในใจ "เห้ย ไปเรียนอีกแล้วหรอวะ โคตรน่าเบื่อ" ก็ฝืนทนเรียนต่อไป
- วันที่3,4,5,6,7,8
เพื่อนชวนไปเที่ยวก็เลยตามเลยไปกับเพื่อน คือเข้าเรียนแค่ 20 นาที แล้วก็ออกมาเลย
- วันที่ 9,10 จบคอร์ส
ต้องยอมจำใจเรียนเพราะจบคอร์สแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าหัวอยู่ดี
ซึ่งพ่อกับแม่เราไม่รู้ว่าเราโดดเรียนพิเศษ พอพ่อกับแม่เราถามว่าไปเรียนเป็นไงบ้าง
เราก็บอกว่า เรียนสนุกมาก เข้าใจขึ้นเยอะเลย (หรอ) TT
...............................................................................................................................................................
และแล้วการเปิดรับสมัครเข้าชั้นม.1 ก็มาถึง
ซึ่งในใจคิดว่า เราอยากเรียนโรงเรียนดังๆ เช่น ฤทธิยะวรรณาลัย สารวิทยา แต่สุดท้ายท้ายสุด เราก็ได้ไปสอบที่โรงเรียนธัญบุรี
มีนักเรียนสอบเยอะมาก และแน่นอนว่ามันต้องมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านอย่างโรงเรียนธัญบุรี ซึ่งในขณะที่สอบ
บอกตามตรงมั่วมาก หลายวิชา และตอนที่จะไปสอบ ก็ไม่ได้อ่านหนังสือ มัวเล่นแต่เกมส์ และเป็นที่แน่นอนว่าวันประกาศผลมาถึง
ซึ่งเราก็สอบไม่ติดนั้นเอง แต่ในช่วงนั้นยังมีการจับฉลาก ก็ยังพอมีหวัง แต่แล้วก็ต้องหมดหวังเพราะจับฉลาก ก็ยังไม่ได้เลย
(ต่อด้านล่างคะ)
คนที่ไม่ตั้งใจเรียน = เกียรตินิยมอันดับ 2
สวัสดีคะ วันนี้เรามีเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองให้ทุกคนได้อ่าน และ เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน
เราจำเรื่องราวได้คร่าวๆ สมัยอนุบาล 2 เราไม่ได้เรียนอนุบาล 1 กับ อนุบาล 3 อยู่ๆก็เข้าไปเรียนเป็นอนุบาล 2 เลย
แล้วก็ขึ้นชั้นป.1 ซึ่งเราคงเข้าโรงเรียนช้ากว่าชาวบ้านเขาเป็นแน่ จำได้ว่า เราไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเรียนหนังสือ
เพราะตอนนั้นไม่อยากห่างพ่อกับแม่ เราร้องไห้ทุกวัน เราคิดว่าการไปโรงเรียนนั้นเหมือนกับไปโรงพยาบาล เพราะมันมีแต่ความน่ากลัว
ซึ่งพ่อกับแม่เราก็ไม่ได้ฐานะร่ำรวย เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำไปวันๆ แต่พ่อกับแม่เราก็พยายามให้ลูกได้เรียนหนังสือ
ขึ้นป.1 มีนักเรียนในชั้น 30 คน ละรับรองได้ว่าเราสอบได้ที่ 30 ที่โหล่ของห้อง
ขึ้นป.2 มีนักเรียนในชั้น 30 คน ก็ยังคงได้รับตำแหน่ง ที่โหล่ของห้องอีกเช่นเคย
ขึ้นป.3 มีนักเรียนในชั้น 30 คน แต่เริ่มไต่ขึ้นมาได้อีก1อันดับ คือได้ที่ 29 ของห้อง
ขึ้นป.4 มีนักเรียนในชั้น 28 คน ก็กลับมาได้ที่โหล่ของห้องอีกเหมือนเดิม
ครูประจำชั้น ต้องเรียกพ่อกับแม่เราเข้าพบอยู่เสมอ เรื่องผลการเรียนที่ตกต่ำ ซึ่งเราก็ยังไม่ได้พัฒนาตัวเองสักเท่าไหร่
ขึ้นป.5 และ จนถึง ป.6 เราก็ยังคงครองแชมป์ ที่โหล่ อีกตามเคย ช่วงป.6 มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก
เพราะจะต้องเลื่อนชั้น ขึ้นม.1 ทำไงดีละ หนังสือไม่เคยแตะ ไม่เคยอ่าน ไม่สนใจ ห่วงแต่เล่นเกมส์ ดูหนัง
ความรู้ก็แทบจะไม่มี แค่อ่านภาษาไทยออก วาดภาพเก่ง แค่นั้นเอง เรื่องภาษาอังกฤษข้ามไปได้เลย จัดว่าโง่เลยทีเดียว
วิทยาศาสตร์ ยิ่งแล้วใหญ่ พ่อกับแม่เราก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้เราไปเรียนพิเศษเพิ่ม
แต่เราไม่อยากเรียน เราคิดว่าเรียนยังไงมันไม่ก็เข้าหัว จนครั้งนึงเราเห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อ ที่ถูกคนข้างบ้าน ญาติพี่น้อง
ที่มาดูถูกเราว่าเรียนไม่เก่ง แล้วจะไปสอบที่ไหนได้ ไปไถนาดีกว่ามั้ง
พ่อกับแม่บอกเราเสมอว่า พ่อกับแม่ไม่ได้จบถึงปริญญาตรี แต่จบแค่ ป.4 พ่อกับแม่อยากเห็นลูกตั้งใจเรียน
และมีอนาคตที่ดี ซึ่งตอนนั้นเรายังคงมีความคิดแบบเด็กๆ ก็โอเค ยอมไปเรียนพิเศษเพื่อติวเข้า ม.1
พ่อซึ่งหาเงินมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เอาเงินที่ได้มาเสียค่าเรียนพิเศษให้กับเรา ซึ่งจำได้ว่าตอนนั้นราวๆ ประมาณ 4 พันกว่าบาท
.............................................................................................................................................................
- วันแรกที่เราเข้าไปเรียนพิเศษ
เราไม่รู้สึกตื่นเต้น เรารู้สึกเบื่อ มันเหมือนกับสมองมันไม่รับสารความรู้อะไรเลยจริงๆ
เราได้แต่หยิบดินสอขึ้นมา วาดรูป คนบ้าง สัตว์บ้าง มันทำให้เราเพลิดเพลินกับสิ่งที่เราทำอยู่
กระทั่งพี่คนที่สอนติวเตอร์ให้เราต้องมายืนคุมเรา ให้เราสนใจ พี่เขาทั้งพยายามเขียนโจทย์ ให้เราฝึกทำ
เหมือนกับว่าในชั่วโมงนั้นเราแค่เข้าใจ แต่พอเราเดินออกมาจากห้องติวเตอร์แล้ว เรากับลืม
และไม่มีการไปทบทวนต่อด้วย คือเรียนๆ กะให้มันพ้นวันไป
- วันที่2
เราไปเรียนด้วยความเบื่อหน่าย นึกอยู่ในใจ "เห้ย ไปเรียนอีกแล้วหรอวะ โคตรน่าเบื่อ" ก็ฝืนทนเรียนต่อไป
- วันที่3,4,5,6,7,8
เพื่อนชวนไปเที่ยวก็เลยตามเลยไปกับเพื่อน คือเข้าเรียนแค่ 20 นาที แล้วก็ออกมาเลย
- วันที่ 9,10 จบคอร์ส
ต้องยอมจำใจเรียนเพราะจบคอร์สแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าหัวอยู่ดี
ซึ่งพ่อกับแม่เราไม่รู้ว่าเราโดดเรียนพิเศษ พอพ่อกับแม่เราถามว่าไปเรียนเป็นไงบ้าง
เราก็บอกว่า เรียนสนุกมาก เข้าใจขึ้นเยอะเลย (หรอ) TT
...............................................................................................................................................................
และแล้วการเปิดรับสมัครเข้าชั้นม.1 ก็มาถึง
ซึ่งในใจคิดว่า เราอยากเรียนโรงเรียนดังๆ เช่น ฤทธิยะวรรณาลัย สารวิทยา แต่สุดท้ายท้ายสุด เราก็ได้ไปสอบที่โรงเรียนธัญบุรี
มีนักเรียนสอบเยอะมาก และแน่นอนว่ามันต้องมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เข้าโรงเรียนใกล้บ้านอย่างโรงเรียนธัญบุรี ซึ่งในขณะที่สอบ
บอกตามตรงมั่วมาก หลายวิชา และตอนที่จะไปสอบ ก็ไม่ได้อ่านหนังสือ มัวเล่นแต่เกมส์ และเป็นที่แน่นอนว่าวันประกาศผลมาถึง
ซึ่งเราก็สอบไม่ติดนั้นเอง แต่ในช่วงนั้นยังมีการจับฉลาก ก็ยังพอมีหวัง แต่แล้วก็ต้องหมดหวังเพราะจับฉลาก ก็ยังไม่ได้เลย
(ต่อด้านล่างคะ)