(เพิ่งได้ดู) Under The Skin (2014) : ลึกลงไปใต้เนื้อหนัง.. มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดในจักรวาล


(บทความนี้จำเป็นต้องเปิดเผย เหตุการณ์ในหนังบางช่วง เพื่ออธิบายเนื้อหา)

ใครที่เป็นคอหนังตลาดที่ไม่ชอบปีนกระไดเพื่อทำความเข้าใจตอนดูหนัง บอกผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย นี่ไม่ใช่หนังของคุณ! ขืนหลงเข้าไปดูแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เพียงเพราะอ่านพล็อตเรื่อง และชื่อไทย “สวย สูบ มนุษย์” แล้วคาดหวังว่าจะได้เจอกับงานสยองขวัญไซไฟคล้ายๆ กับ Species (1995) งานนี้นอกจะไม่ได้อย่างหวังแล้ว ยังอาจต้องเผชิญกับอาการมึนตรึ่บ งงเต็ก ตอนเดินออกมาจากโรงแน่ๆ เพราะนี่คือหนังสายอาร์ตเฮาส์ในข่ายที่ไม่อาจทำความเข้าใจเนื้อหาจากการดูด้วยตาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการขบคิด ตีความ และจินตนาการอีกเล็กน้อย  

ถ้าจะให้สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นใน Under The Skin แล้วเล่าออกมาแบบย่นย่อให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นี่เป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ลงมาแฝงกายอยู่ในคราบของมนุษย์เพศหญิง ด้วยภารกิจบางอย่าง ก่อนจะมีเหตุให้มันเริ่มเรียนรู้แล้วอยากจะลองเป็นมนุษย์ขึ้นมาจริงๆ จนสุดท้ายต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายจากสิ่งที่มันอยากจะเป็นเสียเอง ซึ่งเรื่องทั้งหมดอยู่ภายใต้การติดตามสังเกตการณ์โดยมนุษย์ต่างดาวอีกตนหนึ่ง

เหตุการณ์เหล่านี้ถูกนำเสนอออกมาในโทนเรียบนิ่ง ห่างไกลจากการเร้าอารมณ์ตามขนบหนังทั่วๆ ไป แต่เป็นความเรียบนิ่งที่เต็มไปด้วยความหมายให้ชวนค้นหา ซึ่งมาพร้อมกับซาวนด์ประกอบแนวหลอนลึก และงานภาพสไตล์มินิมัลลิสต์ ที่ไม่ใช่เพียงแค่สวยงามแปลกตา แต่โดดเด่นทรงพลังขั้นเทพทะลุไปถึงขั้นปรมัตถ์เลยทีเดียว อาทิ ฉากห้องมืด ที่มนุษย์ต่างดาวมักล่อผู้ชายให้เดินกระจู๋ตั้งเข้าไปหาเพื่อสูบเอาเนื้อหนัง ถึงตอนนี้ยังติดตาผู้เขียนแบบแกะไม่ออก และน่าจะติดตาทุกคนที่ได้ดูไปอีกนาน

ในเบื้องต้นเราอาจจะด่วนสรุปง่ายๆ จากฉากจบอันโหดร้าย ว่านี่คือหนังที่พูดถึงความเป็นมนุษย์ในแง่ลบ ทว่า พอได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนจากรายละเอียดทั้งหมด ผู้เขียนคิดว่านี่เป็นหนังที่พูดถึงมนุษย์ในทางบวกเป็นหลักใหญ่ (แค่มีรายละเอียดปลีกย่อยเป็นแง่ลบ) โดยเฉพาะเรื่อง “ความซับซ้อนภายใน” ของมนุษย์ อันเป็นผลมาจากการ “สำนึกรู้” ที่เป็นแรงกระตุ้นให้มนุษย์ได้ลงมือกระทำการสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางดีงาม หรือ เลวทรามชั่วช้า ตลอดจนเรื่องของความสัมพันธ์ และอารมณ์ทางเพศ

รัก โกรธ เกลียด กลัว ละอาย หรือ หื่นกระหาย เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสำนึกรู้  ซึ่งมันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างไร้รูปแบบ ไร้ทิศทาง ไม่อาจคิดคำนวณ หรือหามาตรวัดใดๆ มาตวงชั่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ในเหตุการณ์หนึ่งๆ มนุษย์แต่ละคนจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าตรงหน้าแตกต่างกันไป บางคนอาจจะเผ่นเอาตัวรอดเมื่ออันตรายมาถึง ขณะที่บางคนอาจจะยอมตายเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จัก ซึ่งถือว่าเป็น “คุณลักษณะมหัศจรรย์” ที่มนุษย์มีเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก  และเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์ต่างดาวจะเข้าใจ  

ด้วยเหตุนี้ในหนังฉากที่คนตกน้ำริมทะเล และกำลังโดนคลื่นซัดออกไปเรื่อยๆ พวกต่างดาวจึงได้แต่ยืนจ้องมองด้วยความฉงนว่าเหตุใดมนุษย์ถึงต้องยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อพยายามช่วยมนุษย์อีกคนหนึ่ง  

ในมุมกลับกัน กับฉากที่เด็กแบเบาะร้องไห้แผดจ้าเพราะถูกทิ้งให้ตากแดดตากลม รอความตายมาหลายชั่วโมง ซึ่งพวกมันสามารถเดินผ่านไปผ่านมาได้โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ขณะที่คนดูอย่างเราๆ ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้รู้สำนึก กลับเต็มไปด้วยความอึดอัดปั่นป่วนจากการได้เห็นชะตากรรมที่เด็กคนนั้นกำลังประสบ

เมื่อบวกกับเรื่องของเพศ และความสัมพันธ์ ที่มีผลกับพฤติกรรมของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ซึ่งหนังอธิบายไว้ง่ายๆ ในฉากหนึ่งว่าพวกต่างดาวในเรื่องนี้ไม่รู้จักคำว่าเพศด้วยซ้ำ (เอาไฟส่องจิมตัวเอง) จึงไม่แปลกอะไรที่ ยิ่งพวกต่างดาวพยายามเข้าใกล้มนุษย์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบกับความซับซ้อนของมนุษย์มากเท่านั้น สุดท้ายเมื่อถึงคราวจวนตัว ที่มันจำเป็นต้องลอกคราบถอดชุดเนื้อหนังของมนุษย์ที่สวมใส่ทิ้งไป ก่อนทิ้งมันจึงจ้องมองพิจารณาชุดนั้นเสียนานสองนาน และถ้าพูดได้ มันคงพูดไปแล้วว่า.....“พวกแกเป็นตัวเฮียอะไรกันเนี่ย เข้าใจยากเหลือเกิน!”  

คะแนน : ★★★★

PS. ความจริงในหนังเรื่องนี้ยังมีแง่มุมเกี่ยวกับ feminist เรื่องเพศชายเพศหญิง ให้เขียนถึง แต่ผู้เขียนไม่อยากจะเขียนในมุมนั้น
PS2. รีวิวหนังใหม่-เก่า พูดคุยเรื่องหนัง http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่