'เศรษฐา'ขายหุ้น'แสนสิริ' ใช้หนี้แบงก์พันล.
วันพุธที่ 30 เมษายน 2014 เวลา 12:47 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หลังตกเป็นข่าวฮือฮา หล่อโย่ง "เศรษฐา ทวีสิน" ผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)(SIRI) ขายหุ้นแสนสิริ ชนิดเกือบ"ล้างพอร์ต" จากที่เคยถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 19.27 % ในปี 2555 ก็หล่นตุ้บลงมาอยู่อันดับ 13 ด้วยสัดส่วน 1.36 % หลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 การหายไปของชื่อ"เศรษฐา"ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นแสนสิริ ทำให้มีคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น เขาขายหุ้นทิ้งไปแล้วจริง ๆ หรือโยกให้คนอื่นถือแทน (นอมินี)ส่วนครอบครัว"บุรณศิริ" และครอบครัว"จูตระกูล" ถือหุ้นเพิ่มขึ้น แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก
ที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น คือ ชื่อ"เศรษฐา"หายไป แต่มีตัวละครใหม่เข้ามาแทนโดยเฉพาะ"คีรี กาญจนพาสน์" ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่ปรากฏชื่อถือหุ้นแสนสิริ 0.96% อยู่อันดับ 18
นอกจากนี้ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหม่ใน 10 อันดับแรก จำนวน 4 รายการ มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 8.96 % ประกอบด้วยผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ลิตเติลดาวน์ นอมินี ลิมิเต็ด 38 ,อันดับ 6 เชส นอมินี ลิมิเต็ด 47,อันดับ 8 เชส นอมินี ลิมิเต็ด 50 และอันดับ 9 เอ็น.ซี.บี ทรัสต์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ารายชื่อเหล่านี้เป็นการถือแทนลูกค้า
และแล้วข้อสงสัยและคำถามทั้งหมดก็ถูกคลายปมโดย"เศรษฐา"เอง ซึ่งเขาได้ปรากฏตัวในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 ของแสนสิริ เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ที่ถือได้ว่าคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยผู้ถือหุ้น โดยมีนักลงทุนสนใจฟังกันเต็มห้องเลยทีเดียว
เมื่อผู้ถือหุ้นได้สอบถาม"เศรษฐา"ถึงสัดส่วนการถือหุ้นว่าเป็นเช่นไร เจ้าตัวตอบว่าปีที่ผ่านมาได้ทยอยขายหุ้นแสนสิริเพื่อนำเงินไปชำระหนี้กับเจ้าหนี้ 2 แห่ง คือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ ประมาณ 1พันล้าน และใช้หนี้บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ จนครบแล้ว ซึ่งเป็นเงินกู้ที่นำมาใช้ซื้อหุ้นแสนสิริเมื่อหลายปีก่อน
นอกจากนี้"เศรษฐา"บอกว่า ปีที่แล้วเขายังได้โอนหุ้นให้กับลูก 2 คนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 1 %เศษ อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าผู้ร่วมก่อตั้ง 3 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยตัวเขาเอง ตระกูล"บุรณศิริ" และ"จูตระกูล" ยังคงถือหุ้นแสนสิริรวมกัน 13-14% พร้อมกันนี้"เศรษฐา"ยังกล่าวอีกว่าปี 2557 นี้ จะโอนหุ้นให้กับลูกอีกคนที่จะบรรลุนิติภาวะ ซึ่งเป็นความตั้งใจของตนเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าว"เศรษฐา"ลดสัดส่วนถือหุ้นแสนสิริเพื่อลงเล่นการเมือง และมีชื่อพัวพันกับการเมืองหรือไม่นั้น หล่อโย่ง ตอบว่า"คงไม่ใช่แน่นอน"
พร้อมกันนี้เขาได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีปรากฏชื่อ "คีรี กาญจนพาสน์" ถือหุ้นแสนสิริ ว่าจะมีพัฒนาการใด ๆเช่น การถือหุ้นเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนการพัฒนาธุรกิจ "เศรษฐา"ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า ยังไม่ได้มีพัฒนาการอะไร และคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาแสนสิริ ก็มีโครงการตามแนวรถไฟฟ้า ทางนั้น(หมายถึงคีรี)อาจจะมองเห็นเป็นโอกาสมากกว่า
ทั้งหมด คือ สิ่งที่เห็นและเป็นไปของ"แสนสิริ" โดยเฉพาะชายชื่อ"เศรษฐา"หนึ่งในผู้ก่อตั้งที่ได้ขายหุ้นใช้หนี้เรียบร้อย จะมีหรือไม่มีกำไรตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ แต่ที่แน่ ๆผู้ถือหุ้นรายย่อยแอบกระซิบกระจอกข่าวว่า"ติดดอย" หรือติดหุ้น"แสนสิริ"ที่ 5-6 บาท ......เอวัง!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,944 วันที่ 1 - 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
เศรษฐา เฉลยแล้ว
วันพุธที่ 30 เมษายน 2014 เวลา 12:47 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หลังตกเป็นข่าวฮือฮา หล่อโย่ง "เศรษฐา ทวีสิน" ผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)(SIRI) ขายหุ้นแสนสิริ ชนิดเกือบ"ล้างพอร์ต" จากที่เคยถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 19.27 % ในปี 2555 ก็หล่นตุ้บลงมาอยู่อันดับ 13 ด้วยสัดส่วน 1.36 % หลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 การหายไปของชื่อ"เศรษฐา"ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นแสนสิริ ทำให้มีคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น เขาขายหุ้นทิ้งไปแล้วจริง ๆ หรือโยกให้คนอื่นถือแทน (นอมินี)ส่วนครอบครัว"บุรณศิริ" และครอบครัว"จูตระกูล" ถือหุ้นเพิ่มขึ้น แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก
ที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น คือ ชื่อ"เศรษฐา"หายไป แต่มีตัวละครใหม่เข้ามาแทนโดยเฉพาะ"คีรี กาญจนพาสน์" ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่ปรากฏชื่อถือหุ้นแสนสิริ 0.96% อยู่อันดับ 18
นอกจากนี้ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหม่ใน 10 อันดับแรก จำนวน 4 รายการ มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 8.96 % ประกอบด้วยผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ลิตเติลดาวน์ นอมินี ลิมิเต็ด 38 ,อันดับ 6 เชส นอมินี ลิมิเต็ด 47,อันดับ 8 เชส นอมินี ลิมิเต็ด 50 และอันดับ 9 เอ็น.ซี.บี ทรัสต์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ารายชื่อเหล่านี้เป็นการถือแทนลูกค้า
และแล้วข้อสงสัยและคำถามทั้งหมดก็ถูกคลายปมโดย"เศรษฐา"เอง ซึ่งเขาได้ปรากฏตัวในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 ของแสนสิริ เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ที่ถือได้ว่าคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยผู้ถือหุ้น โดยมีนักลงทุนสนใจฟังกันเต็มห้องเลยทีเดียว
เมื่อผู้ถือหุ้นได้สอบถาม"เศรษฐา"ถึงสัดส่วนการถือหุ้นว่าเป็นเช่นไร เจ้าตัวตอบว่าปีที่ผ่านมาได้ทยอยขายหุ้นแสนสิริเพื่อนำเงินไปชำระหนี้กับเจ้าหนี้ 2 แห่ง คือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ ประมาณ 1พันล้าน และใช้หนี้บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ จนครบแล้ว ซึ่งเป็นเงินกู้ที่นำมาใช้ซื้อหุ้นแสนสิริเมื่อหลายปีก่อน
นอกจากนี้"เศรษฐา"บอกว่า ปีที่แล้วเขายังได้โอนหุ้นให้กับลูก 2 คนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 1 %เศษ อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าผู้ร่วมก่อตั้ง 3 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยตัวเขาเอง ตระกูล"บุรณศิริ" และ"จูตระกูล" ยังคงถือหุ้นแสนสิริรวมกัน 13-14% พร้อมกันนี้"เศรษฐา"ยังกล่าวอีกว่าปี 2557 นี้ จะโอนหุ้นให้กับลูกอีกคนที่จะบรรลุนิติภาวะ ซึ่งเป็นความตั้งใจของตนเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าว"เศรษฐา"ลดสัดส่วนถือหุ้นแสนสิริเพื่อลงเล่นการเมือง และมีชื่อพัวพันกับการเมืองหรือไม่นั้น หล่อโย่ง ตอบว่า"คงไม่ใช่แน่นอน"
พร้อมกันนี้เขาได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีปรากฏชื่อ "คีรี กาญจนพาสน์" ถือหุ้นแสนสิริ ว่าจะมีพัฒนาการใด ๆเช่น การถือหุ้นเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนการพัฒนาธุรกิจ "เศรษฐา"ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า ยังไม่ได้มีพัฒนาการอะไร และคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาแสนสิริ ก็มีโครงการตามแนวรถไฟฟ้า ทางนั้น(หมายถึงคีรี)อาจจะมองเห็นเป็นโอกาสมากกว่า
ทั้งหมด คือ สิ่งที่เห็นและเป็นไปของ"แสนสิริ" โดยเฉพาะชายชื่อ"เศรษฐา"หนึ่งในผู้ก่อตั้งที่ได้ขายหุ้นใช้หนี้เรียบร้อย จะมีหรือไม่มีกำไรตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ แต่ที่แน่ ๆผู้ถือหุ้นรายย่อยแอบกระซิบกระจอกข่าวว่า"ติดดอย" หรือติดหุ้น"แสนสิริ"ที่ 5-6 บาท ......เอวัง!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,944 วันที่ 1 - 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557