RICH มีอะไรดีครับ เห็นข่าวเก่าแล้วน่ากลัว

กระทู้สนทนา
เล่นหุ้น RICH ไม่เพียง "ไม่รวย" แต่ยัง "เจ๊ง" ย่อยยับ!! ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นตัวนี้สร้างความ "เจ็บปวด" แสนสาหัสให้นักลงทุนที่หลงเข้าไป "ติดดอย" บมจ.ริช เอเชีย สตีล เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2549 โดยมี บล.ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 100 ล้านหุ้น ราคา 2.25 บาท หลังเข้าตลาดหุ้นได้เพียง 5 เดือนก็แผลงฤทธิ์ราคาหุ้นทะยานจาก 0.90 บาท (ราคาเฉลี่ยหลังเพิ่มทุน) ขึ้นไป 11.10 บาท เพิ่มขึ้น 1,133% หรือกว่า 11 เท่าตัว ภายในระยะเวลาเพียง "ปีเศษ" อย่างน่าอัศจรรย์

ในช่วงปี 2550 หุ้น RICH ขึ้นชื่อว่าเป็น "หุ้นปั่น" ที่สร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากนั้นไม่นานผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ "ขนหุ้นออกมาขาย" ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพิมสิริ กีรติเธียรสิริ กลุ่มอังคกาญจน์ ตันติวิรุฬห์ กลุ่มธัญลักษณ์ นิลไพฑูรย์ และ กลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ฯลฯ จนบริษัทนี้แทบไม่เหลือเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 มีผู้ถือหุ้นถึง 3,203 คนที่ถือหุ้นตัวนี้อยู่ โดยมี โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เซียนหุ้นเก็งกำไรรายใหญ่ ถือหุ้นอันดับหนึ่งสัดส่วน 7.39% ขณะที่กลุ่มอังคกาญจน์ ตันติวิรุฬห์ ผู้บริหารสูงสุดเหลือหุ้นแค่ 8% เท่านั้น

ในปี 2551 บริษัทก็ประกาศตัวเลขขาดทุนจำนวนมาก 204 ล้านบาท ปีเดียวกันนั้นเองบริษัทก็มีมติเข้าซื้อหุ้นบริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ (TNP) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงในราคา 635 ล้านบาท และในปี 2553 อนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้น บริษัท สยาม เฟอร์โร อินดัสทรี (FERRO) ผลิตท่อเหล็กดำ และเหล็กรูปตัวซี สัดส่วน 76.88% มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในสองบริษัทนี้รวม 1,435 ล้านบาท เป็นที่ "กังขา" ของนักลงทุน เพราะไปซื้อบริษัทที่มีผลการดำเนินงาน "ขาดทุน" เข้ามาไว้ในพอร์ตตัวเอง แถมยังถูกตั้งข้อสังเกตุด้วยว่าซื้อมาใน "ราคาแพง" เกินไป

การปิดดีลของสองบริษัทนี้ (TNP, FERRO) ภายใต้ความหวาดระแวงของนักลงทุน ทำให้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหุ้น RICH แทบจะ "ตายสนิท" ทางด้านความไว้เนื้อเชื่อใจของนักลงทุน ผลการดำเนินงานก็ขาดทุนต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหนี้สินจำนวน 1,031 ล้านบาท บริษัทก็ผิดนัดชำระเจ้าหนี้ จนเมื่อเร็วๆนี้ มีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ประกาศเพิ่มทุนจาก 1,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท โดย 2,000 ล้านหุ้นแรกเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม 1 ต่อ 2 ราคาหุ้นละ 0.50 บาท และอีก 1,000 ล้านหุ้นจะออกวอแรนท์จัดสรรบุคคลในวงจำกัด อายุ 3 ปี แปลงสภาพ 1 ต่อ 1 ราคา 0.50 บาท

“เราพักตัวมานานสองปี เป็นเจ้าของโรงงานใหญ่ 2 โรงในภูมิภาค ตอนนี้เรือสองลำพร้อมออกหาปลาใหญ่ให้ผู้ถือหุ้นแล้ว แต่เราต้องการน้ำมัน (เงิน) เท่านั้น” นับเป็นครั้งแรกที่ อังคกาญจน์ ตันติวิรุฬห์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริช เอเชีย สตีล ตัดสินใจเปิดร้านอาหารดังภายในศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ขนทีมผู้บริหารอีก 5-6 คน มาพูดเปิดอกกับนักข่าวสายหุ้นถึงแผนเพิ่มทุนครั้งมโหฬาร

เธอกล่าวถึงการเข้าไปซื้อบริษัท สยาม เฟอร์โร อินดัสทรี (FERRO) และบริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ (TNP) นับว่า "โชคไม่ดี" พอซื้อมาแล้วก็เจอวิกฤติซับไพร์มและพิษเศรษฐกิจยุโรป ทำให้ไม่สามารถผลิตได้คุ้มต้นทุนเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตที่ใหญ่ จนทำให้มีปัญหาสภาพคล่องจากที่ต้องไปกู้เงินมาซื้อสองบริษัทนี้ ปัจจุบันบริษัทมีหนี้ทั้งหมด 1,800 ล้านบาท มีเจ้าหนี้ 2 ชุด โดยชุดแรกเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เสร็จแล้ว ทำให้กลับมาจ่ายดอกเบี้ยในอัตราปกติและจะทยอยโอนส่วนต่างดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไป 31.7 ล้านบาทกลับมาทางบัญชี

ส่วนเจ้าหนี้อีกชุดวงเงิน 1,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเจรจาน่าจะรู้ผลในไตรมาสที่ 3 โดยจะขอยืดหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว และขออัตราดอกเบี้ยปกติ คาดว่าจะช่วยให้ลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายไปได้อีก 60 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนแปลงหนี้เป็นทุนจากคู่ค้ารายหนึ่งคือ บมจ.จี สตีล ยังค้างชำระเงินบางส่วน การแปลงหนี้ครั้งนี้จะได้เข้าไปถือหุ้น GSTEEL จำนวน 500 ล้านหุ้น

“เรายังมีตั้งสำรองสต็อกราคาเหล็ก และตั้งสำรองการซื้อกิจการ FERRO เนื่องจากยังไม่สามารถทำรายได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับเศรษฐกิจสองปีที่ผ่านมาไม่ดีและมีน้ำท่วมทำให้ลูกหนี้ติดปัญหาไม่สามารถจ่ายเงินได้ ทั้งหมดเป็นปัญหาที่เราเจอทั้งหมด”

อังคกาญจน์ มั่นใจว่าหลังจากนี้บริษัทจะ “ไปรอด” ในส่วนของบริษัท สยาม เฟอร์โร อินดัสทรี (FERRO) ที่ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 76.88% เหลือ 51.88% มีแผนจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กไปในส่วนธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาด 5-10% ของมูลค่าการนำเข้าปีละกว่า 26,000 ตันต่อเดือน จุดเด่นคือมีมาร์จินที่ดีมากต้นทุนเราสามารถทำได้ที่ 25 บาทต่อกิโลกรัม แต่สามารถขายได้ในราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม และมีแผนส่งออกเพิ่มขึ้น อีกส่วนก็ส่งขายให้กับภาคก่อสร้างตามปกติ

ส่วนบริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ (TNP) ตอนนี้มีออเดอร์เข้ามาแล้ว 500 ล้านบาท และมีงานไปเสนอขายเสาเข็มให้กับโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บริษัทหวังว่าจะได้งาน 20% หรือประมาณ 1,600ล้านบาท และมีการติดต่ออิตาเลียนไทยเจ้าของโครงการทวาย ให้ซื้อเสาเข็มไปใช้ก่อสร้างในโครงการด้วยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

กาารจับจังหวะช่วงนี้เพิ่มทุนก้อนใหญ่และสร้างสตอรี่ใหม่ให้กับบริษัท เธอประเมินว่าความต้องการใช้เหล็กยังเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากโครงการลงทุนของภาครัฐและเอกชน สิ้นปีนี้การใช้เหล็กน่าจะเติบโต 6.1% ขณะที่ส่วนต่างราคา "เศษเหล็ก" กับ "เหล็กม้วน" ในตลาดโลกลงมาใกล้กันมากจากปกติจะต้องมีส่วนต่างประมาณ 100เหรียญต่อตันจากความกังวลในวิกฤติยูโรโซน คนในวงการเหล็กจึงมองว่าราคาเหล็กไม่น่าจะตกต่ำไปกว่านี้แล้ว มีโอกาสจะกลับมาเป็น "ขาขึ้น" ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า

เธอสารภาพตรงๆ ว่า แผนการทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้บริษัทจำเป็นต้องได้รับเงินเพิ่มทุนเต็มจำนวน 1,000 ล้านบาท (2,000 ล้านหุ้นๆละ 0.50 บาท) โดยจะนำเงิน 150 ล้านบาทไปสนับสนุนธุรกิจเสาเข็มของ บริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ อีก 400 ล้านบาทจะใส่ให้กับบริษัท สยาม เฟอร์โร อินดัสทรี ที่เหลืออีก 450 ล้านบาทนำไปใช้ในบมจ.ริช เอเชีย สตีล มีกำลังการผลิตเหล็กรีดร้อน 12,000 ตันต่อเดือน ปัจจุบันผลิตเพียง 3,000-4,000 ตันต่อเดือน เมื่อมีออเดอร์เข้ามาก็จะทำให้การผลิตถึงจุดคุ้มทุนได้

สำหรับภาระหนี้สินทั้งหมด 5,600 ล้านบาท เป็นส่วนของสถาบันการเงิน 1,800 ล้านบาท อีก 3,800 ล้านบาทเป็นหนี้การค้า มีหนี้สินต่อทุน 2.8 เท่า ถ้าเพิ่มทุนได้เต็มจำนวนหนี้จะลดลงเหลือ 1.4 เท่า ซึ่งธุรกิจเหล็กทั่วไปจะมีหนี้ต่อทุนตั้งแต่ 2.5-3 เท่าขึ้นไป

“เราได้พูดคุยกับผู้ถือหุ้นรายอื่น โดยเฉพาะคุณโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เขาโอเคกับแผนการเพิ่มทุนครั้งนี้เพราะราคาที่เสนอมา 0.50 บาท มันถูกและผู้ถือหุ้นรายอื่นพร้อมจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิด้วย” เธอกล่าว

ซีอีโอหญิงพยายามเชื้อเชิญผ่านนักข่าวว่าราคาเพิ่มทุน 0.50 บาท "มันถูกมาก" แต่ถ้าหุ้นเพิ่มทุนขายไม่หมดก็มี "แผนสอง" จะหานักลงทุนมาสนับสนุนเงินกู้ที่ถูกกว่าดอกเบี้ยธนาคารและได้วอแรนท์ของบริษัทไป สำหรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ ตั้งไว้ 5,000-6,000 ล้านบาท จากปี 2554 ที่ทำได้ 4,238 ล้านบาท (ปี 2554 ขาดทุนสุทธิ 389 ล้านบาท ครึ่งปี 2555 ขาดทุนสุทธิ 172 ล้านบาท) ส่วนปี 2556 ตั้งเป้าไว้ 6,000-8,000 ล้านบาท ถ้าการเพิ่มทุนสำเร็จรับรองได้ว่าบริษัทจะมี “กำไร” แน่นอน

“ปัจจุบันเรายังมีผลขาดทุนสะสม400ล้านบาท แต่เรายังมีมูลค่าส่วนเกินของหุ้นอยู่400ล้านบาท และเมื่อมีกำไรเข้ามา ตัวเลขนี้จะค่อยๆพลิกกลับเป็ยบวกได้แน่นอน” เธอปิดท้าย
---------------
“หุ้นเหล็ก” อ่วม!! ขาดทุนรับแผน “เพิ่มทุน”
--------------
หุ้นกลุ่มเหล็กพาเหรด “ขาดทุน” ไตรมาสสองถ้วนหน้า จากราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลต่อแผนการ “เพิ่มทุน” ที่อาจไม่ราบรื่นอีกต่อไป

บมจ.สหวิริยาสตีล รายงานผลขาดทุนสุทธิ 5,022ล้านบาท ในไตรมาสสอง เนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปทำให้ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีกลับลดลงอย่างรวดเร็วในปลายเดือนพฤษภาคม โดยบริษัทมีการตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงเหลือและภาระผูกพันตามสัญญาสั่งซื้อวัตถุดิบแผ่นเหล็กรีดร้อนจำนวน 451ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม วิน วิริยะประไพกิจ ซีอีโอของเอสเอสไอ ยังมองโลกในแง่ดีว่าโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษเริ่มผลิตเต็มตัวตั้งแต่เดือนเมษายนและกำลังถึงระดับการคุ้มทุน ประกอบกับคาดการณ์ว่าราคาเหล็กในตลาดโลกน่าจะทรงตัวได้ไม่ลงต่ำกว่านี้ โดยประเมินว่าเป้ายอดขาย 60,000ล้านบาท น่าจะทำได้ตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามผลประกอบการทั้งปีน่าจะยังขาดทุนสุทธิ

ทั้งนี้ เอสเอสไอมีแผนเพิ่มทุนวงเงิน413ล้านเหรียญ โดยเปิดทางให้ Vanomet AG ผู้ค้าเหล็กระดับโลกมาร่วมลงทุนวงเงินไม่เกิน170ล้านเหรียญ ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองสัดส่วน 23.7% ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้ผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อที่จะนำเงินบางส่วนไปเพิ่มทุนให้กับ SSI UK และปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อให้นี้สินต่อทุนลดลงจาก3.1เท่าเหลือ1.6เท่า

ด้าน บมจ.จี สตีล จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาสสองขาดทุนสุทธิ 1,687.78 ล้านบาท โดยกำลังมีแผนจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 1.35 ล้านหุ้น อัตราส่วน 15 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาขาย 0.50 บาทต่อหุ้น

การเพิ่มทุนครั้งนี้จะนำไปชำระหนี้บางส่วนแก่เจ้าหนี้ที่ไม่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม เช่น เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงิน เจ้าหนี้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เงินส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ส่วน บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) รายงานผลขาดทุนไตรมาสสอง 200.85 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมงวดเดือนเมษายน2555ถึงเดือนมีนาคม2556 สามารถมีกำไรสุทธิจากปีที่แล้วขาดทุน 1,350ล้านบาท

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่