ครบรอบ 1 ทศวรรษ ของ ts รู้จักผุ้ชายคนนี้ดีพอหรือยัง

กระทู้สนทนา



เพชร มาร์ มีชื่อจริงว่า พิทรี่ วิคเตอร์ เอดวาร์ด มาร์ โปรดิวเซอร์และนักดนตรีชาวไทย และคอมเมนเตเตอร์ประจำรายการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว เป็นลูกครึ่งไทย-สก๊อตแลนด์ เป็นบุตรของสจ๊วต และวี มาร์[2] บิดาเป็นผู้ก่อตั้งวงปี่สก๊อตโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และมารดาเป็นผู้มีชื่อเสียงแวดวงไฮโซ

เพชรเริ่มทำงานวงการดนตรี โดยร่วมงานกับกลุ่มดนตรีบัตเตอร์ฟลาย[3] ต่อมาได้เป็นโปรดิวเซอร์ ให้กับศิลปินนักร้องค่ายแกรมมี่ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ ธงไชย แมคอินไตย์, อัสนี-วสันต์, คูณสามซูเปอร์แก๊งค์ เป็นต้น จนเมื่อถกลเกียรติ วีรวรรณ ทำรายการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว เพชรจึงได้รับการชักชวนให้เป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินผู้เข้าประกวดร้องเพลง หรือคอมเมนเตเตอร์ของรายการ ด้วยบุคลิกที่เรียบเฉย บวกกับคำพูดตรงไปตรงมา วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจใคร [4] ทำให้ชื่อของเพชรเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมีงานแสดงเบื้องหน้าให้เห็นเรื่อยๆ

เพชรยังเคยรับหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามของรายการเกมเนรมิต ทางช่อง 5

ด้านชีวิตส่วนตัว สมรสกับแอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่ง มีบุตร 1 คน คือ ตาตั้น     จากวิกิพิเดีย

ชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุชิสุ

บทสัมภาษณ์จาก สยามดารา      (น่าจะสัมภาษณ์ไว้เมื่อ 2 ปีที่แร้ววว)

    จากเบื้องหน้าในวงการเพลง เค้าผู้นี้เคยทำให้คนในยุคฟังเพลงปี 70’ มีความสุขในบทเพลงแนว โฟล์กร็อก กับวง อิสซึ่น แต่เมื่อเวลาผ่านมาหลายปีจากเบื้องหน้าก็ผันตัวเองสู่การเป็น โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง ให้กับศิลปินมากมาย ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จนมาเป็นคอมเมนเตเตอร์ ในรายการที่เฟ้นหาดาวที่อยู่บนท้องฟ้า มาประดับวงการเพลงบ้านเรา กับรายการ เดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ด้วยเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้ชื่อเสียงของชายคนนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สยามดารา เราได้มีโอกาสที่ได้พูดคุยกับสุดยอด คอมเมนเตเตอร์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย “พิทรี่ วิคเตอร์เอดวาร์ด มาร์” หรือที่พวกเรารู้จักเค้าในนาม“เพชร มาร์” ที่บ้านพักส่วนตัวย่านประชาชื่น เล่มนี้ทางทีมงานสยามดารา จะมาเปิดชีวิตกว่าที่จะมาเป็นสุดยอด คอมเมนฯ และเรื่องงานในรายการว่ามันกดดันแค่ไหน ลุยกันเลยครับ


    จุดเริ่มต้นเข้าวงการ?
    “จริงๆ แล้วดนตรีอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ เพราะว่าพ่อของพี่เนี่ย เป็นคนที่ตั้งวงปี่สกอตต์วชิราวุธ เขาก็สอนดนตรีให้พี่เป็นคนแรก แล้วก็เหมือนกับว่าถ่ายทอดความรู้เรื่องดนตรีให้เราตั้งแต่เด็ก อย่างเปียโน อะไรอย่างเนี้ย แต่ช่วงที่พี่เรียนหนังสือช่วงนั้น ดนตรีของพี่ก็จะเป็นเพลง ร็อก เราก็อยากเป็น ร็อกเกอร์ ก็ทิ้งเปียโนหันมาจับพวกกีตาร์อะไรพวกนี้ แต่ว่าเล่นไปได้สัก-พักนึง ก็รู้สึกว่าเราไม่ควรทิ้ง เราก็เลยกลับมาปูเปียโนใหม่ จนมาถึงปัจจุบัน เอาเป็นว่าเครื่องดนตรีหลักๆ เราก็เล่นได้ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์, เบส, กลอง พอช่วงเรียนที่มหาลัย ตอนนั้นก็เริ่มเล่นอาชีพแล้วล่ะ เล่นตามบาร์ เล่นเปียโนช่วงแฮปปี้ฮาว์ แล้วก็ตอนหลังก็มาอยู่วง อิสซึ่น มาอยู่วงนี้ก็ช่วงประมาณอายุยี่สิบเศษๆ ก็ช่วงนั้นก็เลยรู้จักคนหลายๆ คน รู้จักคนที่ บัตเตอร์ฟลาย ก็ชักชวนกันมาทำงาน ตอนนั้นบริษัท บัตเตอร์-ฟลาย ก็เป็นบริษัทที่รับทำดนตรีอะนะ ทำมาเรื่อยๆ ก็โดนชักชวนมาทำที่ GMM ก็แต่งเพลงอะไรอย่างนี้ พี่ไม่รู้จะทำอะไร ก็เป็นอย่างนี้มาก็ร่วมๆ จะ 30 ปี แล้วล่ะ”


    แต่งเพลงให้ใครบ้าง?
    “จะว่าไปแล้วก็เยอะนะ ถ้าแต่งนะเยอะแต่ว่าโปรดิวฯ ให้ใครก็จะเป็น พี่เบิร์ด, อัสนี-วสันต์ ชุด จินตนาการ, ทาทายัง ชุด สาวน้อยมหัศจรรย์, คูณ 3 ซูเปอร์แก๊ง, ซาซ่า พวกนี้ผ่านพี่มาหมดแล้ว”


    เข้ามาเป็นเบื้องหลังซะส่วนใหญ่?
    “ก็เป็นเบื้องหลังมาตลอด เพิ่งจะมาเป็นเบื้องหน้าก็เป็นรายการ เดอะ สตาร์ แต่งานหลักๆ ของพี่คือ การทำดนตรี”


    การเป็นคอมเมนเตเตอร์ ยุคแรกๆ รู้สึกยังไง?
    “ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าเราเป็นกลุ่มแรกแต่ตอนนั้นมันก็เป็นอะไรที่ใหม่ๆ แต่ก็ยอมรับนะว่าตอนแรกพี่ก็เกร็งๆ เหมือนกับว่าเราก็ไม่รู้นะว่าเราจะเอายังไงดี จะทำยังไงดี แต่ทางคุณบอย ก็บอกว่า พี่ไม่ต้องคิดอะไรมาก พี่รู้สึกยังไงพี่ก็พูดออกมาแล้วกัน มันก็เลยเหมือนเป็นลายเซ็นเราไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นเบสิกอะไรง่ายๆ นะเราก็พูดออกมาตรงๆ”


    แต่กับคนไทยรับไม่ค่อยได้กับเรื่องพูดตรงๆ?
    “มันน่าแปลกมั้ยล่ะ ที่เราพูดตรงๆ แต่เป็นเรื่องแปลกสำหรับสังคมไทย แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเข้าใจ”


    มีผลกระทบอะไรบ้าง?
    “ไม่มีพี่เป็นคนไม่ค่อยแคร์อะไรอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะว่าไม่ว่าจะเสียงตอบรับข้างนอก หนังสือพิมพ์อะไรก็ตาม พี่มองว่าสิ่งที่พี่พูดอะไรออกไปเนี่ย มันมีคำว่า “เพชร มาร์”กำกับคำพูดนั้นอยู่ แต่ว่าไอ้เสียงฟีดแบ็กกลับมาหรือแม้กระทั่งตามสื่อต่างๆ มันคือนามปากกาแต่ถ้าเป็นชื่อพี่เนี่ย พี่ก็รับผิดชอบกับคำพูดพี่ได้แต่ถามว่าคนพวกนั้นเค้ารับผิดชอบคำพูดของเค้ามั้ย แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าเรามีความรู้ทางด้านดนตรีสูง สูงซะจนพูดอะไรต้องถูกหมด ว่ามันก็ต้องมีดีแหละเค้าถึงเรียกมาทำไง (หัวเราะ) แต่10 ปีที่ผ่านมา ในการทำเดอะ สตาร์ มันก็เริ่มมีแสงสว่างเข้ามา คนทั่วไปเข้าใจอะไรมากขึ้น”


    แล้วทำไมต้องเป็น เพชร, ม้า, โจ้?
    “ก็นั่นนะสิ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเพราะอะไร อันนี้ต้องไปถามเจ้าของรายการ (หัวเราะ)”


    รู้สึกยังไงกับการที่ดึงคนธรรมดาๆ ขึ้นมาเป็นศิลปิน?
    “อืม...อย่าเรียกว่าคนธรรมดาๆ เลยสมมติว่าเค้าไม่มีอะไรดีเราคงจะไม่เห็น แล้วเค้าก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ถามความรู้สึกจริงๆ แล้วเนี่ยนะ เมื่อเราเปิดทีวีดู เราเห็นน้องๆของเราเนี่ย เฮ้ย ออกเพลงนี้มาใหม่เราก็รู้สึกภูมิใจว่าน้องเราเดินได้เรื่อยๆ อยู่บนเส้นทางนี้ รู้สึกภูมิใจที่พวกเค้าประสบความสำเร็จ จะมากน้อยก็เป็นเรื่องของเค้า แต่ว่าสำหรับพี่ทุกคนมีงานแล้วก็ถ้าสามารถเดินออกไปได้เรื่อยๆ เนี่ยถือว่าประสบความสำเร็จ เราเรียกเก็บเงินไม่ได้อยู่แล้ว”


    เด็กเส้นมีจริงมั้ย?
    “ไม่มีครับ ไม่มียืนยัน ถามว่าเด็กเส้นมีมั้ย...มี ต้องเข้าใจประโยคที่พี่จะพูดต่อไป ช่วงปีแรกๆ ครึ่งนึงของเดอะ สตาร์ที่ทำ ถามว่ามีโทร.มาฝากมั้ย..มีพวกนั้นเค้าเรียกเด็กเส้นถูกมั้ย แต่พวกนั้นไม่ได้เข้ารอบ ถ้าไม่ดีจริง พี่บอกผู้ปกครองพวกนั้นว่า ถ้าเด็กมันจะได้ ให้มันได้ด้วยตัวเอง ถ้าเด็กมีความสามารถ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเด็กไม่มีความสามารถ แล้วมาฝาก แล้วเกิดผมเกรงใจรับเข้าไป มาเป็น 1 ใน 8 คนสุดท้าย แล้วโดนด่าสาดเสียเทเสีย ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ ในหน้าอินเทอร์เน็ต โดยที่ไม่ใช่ของจริง ผลเสียตกอยู่กับลูกของคุณ ไม่ได้ตกอยู่กับคุณ ไม่ได้ตกอยู่กับผมเพราะฉะนั้น กรุณาอย่าฝาก ต่อให้เป็นลูกหลานพี่เองด้วยซ้ำไป ถ้ามันไม่เก่งมันก็ไม่ได้ แต่ถ้ามันเก่งพี่ก็จะยอมให้คนนินทาว่า มันเส้นนี่หว่า แต่คนก็จะเห็นเองว่ามันเก่งจริงๆ”


    แล้วมีมาเสนอเงินมั้ย ?
    “ไม่มีครับ ไม่มี แต่จริงๆ ก็น่านะเออ...ทำไมวะ ทำไมไม่มีเลยว่ะ (หัวเราะ)”


    8 ปี กับเดอะ สตาร์ ชอบปีไหนมากที่สุด ?
    “ตอบคำถามนี้ อาจจะยิ้มนะแต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว แต่ละปีมันมีความสนุกในแบบฉบับของดนตรี แล้วก็พี่เป็นคนมีภาวะความเป็นกลางสูงมาก สูงจริงๆ นะจะให้พี่บอกมันตอบยาก อันไหนดีกว่า อันไหนสนุกกว่าอะไรอย่างเนี้ยอันไหนชอบกว่าอันไหนประทับใจกว่า พี่ตอบไม่ได้มันคืองานของพี่มันคือสิ่งที่พี่รักที่จะทำ เป็นงานแรกที่พี่เดินออกมาข้างหน้า แต่พี่รู้สึกว่ารายการนี้มันให้อะไรพี่เยอะเหมือนกัน ตอนนี้พี่เป็นคนอ่อนโยนขึ้นนะ แต่ในภาพจะดูว่าพี่เป็นคนดุ รายการนี้สร้างความอ่อน-โยนให้พี่ สร้างความเป็นกลางให้พี่”


    มันต้องมีสักปีสิ?
    “ก็ได้พี่จะเล่าให้ฟังเดอะ สตาร์ ปีแรก มีผู้เข้าแข่งขันคนนึง มันเก่งมากถึงขนาดพี่หยิบโทรศัพท์ กดโหวตให้ 1ครั้ง พอกดโหวตเสร็จ ใจไม่ดีหันไปกดให้อีก 7 คนที่เหลือ(หัวเราะ) แล้วหลังจากนั่นพี่ไม่โหวตอีกเลย พี่ก็มานั้งคิด มันรู้สึกไม่ดี แล้วก็อีก 7 คนมันก็น้องเราเหมือนกันนะ นั่นคือวีกแรกที่ทำ หลังจากนั้นก็บอกกับตัวเองว่า กูจะไม่กดโหวตอีกแล้ว”


    เวลาคอมเมนต์ แรงๆ เคยโดนเด็กที่มาประกวดตอกกลับบ้างหรือเปล่า ?
    “มันก็มีบางทีนะช่วงแรกๆแต่เราก็ให้เหตุผลเค้าไป เพราะมันต้องจบด้วยเหตุผลอยู่แล้ว คือคนบางคนเค้าอาจมีความเข้าใจผิดๆ เช่นบางคนร้องขึ้นมา ก็จะพยายามเบ่งร้องเสียงสูงออกมา เค้าก็บอกเราออกมาว่าเค้าเป็นคนที่ร้องเสียงสูง แล้วจะให้ผมร้องเสียงต่ำได้ยังไง บางคนก็เก่งข้างนอก เวลาเค้าสัมภาษณ์ เนี่ย เฮ้ย...ผมอยากรู้ถ้าเค้าไปเจอพี่ 3 คนแล้วจะเป็นยังไง แต่พอเข้ามาเจอพวกพี่จริงๆ แล้วก็หงอย แล้วพวกนี้พอไม่ได้ผ่านเข้ารอบพอออกไปข้างนอก ก็ไปเก่งข้างนอกใหม่”


    แสดงว่าคนที่มาประกวดก็ได้รับความกดดันจากพวกพี่?
    “คงจะกลัวพี่ม้ามั้ง ไม่เกี่ยวกับพี่(หัวเราะ) เค้าคงจะกลัวพี่ม้า เพราะพี่ใจดีจะตายเนาะ (หัวเราะ)”


    ใครก็ว่าโหดที่สุดใน 3 คนนี้แล้ว?
    “ไม่หรอก เอาอย่างปีล่าสุด พี่ไม่รู้จะวิจารณ์ยังไง เอาไปเลยคำสั้นๆ “ห่วย” แค่นั้นพอไม่ต้องยาว เพราะมันตอบไปในตัวแล้ว”


    คำวิจารณ์ที่แรงที่สุดคือ?
    “เยอะนะ แต่มันไม่มีอะไรหรอก พี่จำได้ปีนึง มีคนโทร.มาหาเยอะ บอกว่าเค้าชอบพี่มาก เค้าบอกว่า พี่วิจารณ์ดี มีอยู่คนนึง เสียงมันแหบ แบบเสียงบี้ๆ อะ พี่ก็เลยคิดออกมาได้ก็เลยบอกไปว่า ลองนึกถึงรถขนเป็ดดูสิ จะเอาไปฆ่าหรืออะไรก็ตาม เป็ดมันก็จะเจี๊ยวจ๊าวอยู่แล้ว ตรงนั้นมันก็แย่แล้วนะ แต่นี่ยิ้ม รถเป็ดคว่ำด้วยเออ...ตรงนั้นเลยกลายเป็นทุกคนชอบที่พี่คอม-เมนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมาจากความรู้สึกไง มันมาจากความรู้สึกของพี่ ณ วินาทีนั้นๆ มันไม่ได้เป็นการเขียนที่ว่าวันนี้ต้องใช้คำนี้ อย่างทีมงานของ เดอะ สตาร์ เค้าพูดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเค้าจะไม่บอกอะไรเราเลย”


    ใช้เวลาในแต่ละภาคนานขนาดไหน?
    “สำหรับกรรมการ 3 คน จะใช้เวลาประมาณ 2 วันเต็มๆ ถึงจะได้ตัวแทนภาค แต่มันจะมีชุดที่สกรีนมาก่อน 1 ชุด ก่อนจะมาถึงพี่”


    ก็มั่นใจแล้วสิถ้ามาถึงพวกพี่ทั้ง 3 แล้วจะไม่พลาด?
    “(หัวเราะ) ที่ผ่านมามันก็ไม่น่ามีพลาดนะ มีแต่ว่าจะใช่เยอะหรือใช่น้อยเท่านั้นเอง”


    เคยคิดบ้างหรือเปล่าที่ 8 คนสุดท้ายที่เราเลือกมาแล้วมันไม่ใช่ ?
    “ไม่มีอะ เพราะเราต้องมั่นใจตรงนั้นเพราะต้องไม่ลืมว่าเราเลือก แต่ที่ดีที่สุด หรือที่เหมาะที่สุด มันต้องมีคำนี้ด้วยนะ เราต้องหา 8คนที่ต้องไม่มีอะไรซ้ำกัน”


    มองว่าผลโหวตจากคนทั้งประเทศ ความใคร่ความชัง มันก็มี คิดว่ามันแฟร์มั้ย?
    “มันไม่มีอะไรตอบโจทย์ตรงนี้ได้อยู่แล้วเพราะว่าตา 10 คู่ มองสิ่งๆ เดียวกัน เห็นคนละอย่างไม่เหมือนกัน ตรงนี้เราก็รู้อยู่แล้ว แม้กระทั่งเราคอมเมนต์ออกไปยังมีคนบางคนบอกว่าไม่เห็นด้วย พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เพราะว่าการที่เค้าไม่เห็นด้วยเนี่ย เพราะเค้าใช้ความรู้สึกของเค้าตัดสิน แต่ถ้าเค้าให้พี่มานั่งตัดสินเค้าก็ต้องเชื่อในวิจารณญาณของพี่ แต่ถ้าให้คนไม่เห็นด้วยมานั่ง เค้าก็อาจจะพูดคนละอย่างกับพี่ แต่เค้าก็ต้องพร้อมที่จะรับข้อวิจารณ์ของพี่บ้าง เหมือนกับทั่วๆ ไปผลโหวตเปรียบเทียบกับทีมฟุตบอล ถึงแม้มันจะห่วยขนาดไหน แต่มันคือทีมที่คุณเชียร์ อย่างเช่น ลิเวอร์พูล คุณก็ยังเชียร์อยู่ ถึงแม้มันจะห่วยใช่มั้ย(หัวเราะ) มันก็เหมือนกับว่าคุณถูกชะตากับผู้เข้าแข่งขันคนเนี้ย แต่เขาก็อาจจะไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ว่าคุณมีความสุขที่ได้ดูเค้า เป็นเรื่องธรรมชาติ”

กระแสของแฟนคลับแรงมาก เด็กพวกนี้จะมาตายตรงนี้หรือเปล่า?
    “เด็กพวกนี้เนี่ย มันก็เหมือนที่จะเป็นบทเรียนให้กับพวกเค้าให้พวกเค้าได้ก้าวเดินต่อไป ถ้าพวกเค้าก้าวข้ามตรงนี้เข้ามาได้เนี่ย มันจะทำให้เด็กพวกนี้มีจิตใจเข้มแข็งขึ้นเค้าด่าแล้วคุณมาโมโห แต่คุณไม่ได้ทำอะไรกับตัวเอง มันก็ผิดแล้ว แต่ถ้าเค้าด่า แล้วคุณเข้ามาดูว่าเค้าด่าเรื่องอะไรคุณ แล้วคุณกลับมาพัฒนาตรงนี้ เค้าก็จะเลิกด่าคุณ อันเนี้ยยิ้มยอดคน”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่