ขอตั้งกระทู้เพื่อชี้เเจง (ฉันนอนกับผู้ชาย3ครั้งเพื่อแลกกับเงิน3แสน)

จากที่หลายๆคนอ่านเรื่องของเรา มีบางคนไม่ได้อ่านเเบบปะติดปะต่อ เราเลยจะรวบรวมให้เป็น

หน้าเดียวกันในกระทู้นี้ค่ะ จากกระทู้นี้ค่ะ http://ppantip.com/topic/31949177/comment299-2

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีเพื่อนๆช่าวpantipก่อนค่ะ และต้องขอถอดloginเพื่อมาเล่าเรื่องนี้

ความผิดบาปในใจที่ไม่มีใครรั หวังว่าตอนจบของเรื่องนี้ คนอ่านทุกๆคนอาจได้ข้อคิดอุทาหรณ์เตือนใจตัวเอง

เริ่มล่ะค่ะ  ดิฉันแต่งงานมีครอบครัวแล้วค่ะ ไม่ขอระบุจำนวนวันน่ะค่ะว่าแต่งมานานแค่ไหน

ดิฉันอายุยังไม่เยอะมาก 20+ การศึกษาปริญญาตรี หน้าที่การงานกัอจัดว่าดีในระดับหนึง (แอบอวดนิดๆ)

หน้าตากลางๆแล้วแต่คนมองว่าสวยไม่สวย เมื่อราวๆเกือบกลางปีที่แล้วดิฉันประสบปัญหาในธุรกิจที่ทำหรือเอาง่ายๆคือเจ๊ง ไปเกือบ200,000

โดยเงิน200,000ที่เจ๊งไป คือเงินเก็บหมด (ตอนนี้ก้อทำงานประจำที่เรียนจบมา) ณ ตอนนั้นที่ทำธุรกิจคือ ก้อมีงานประจำทำอยู่

แต่เห็นว่าตัวเองก้อทำธุรกิจค้าขายมาหลายอย่าง ก้อเห็นกำไรดี ประจวบกับพอดีมีไฟอยากเพิ่มธุรกิจเป็นอย่างอื่นบ้างเลยเอาเงินมาลงทุน

ทำได้ไม่นานคะ ก้อเจอพิษม๊อบ ของที่ลงทุนไปก้อเงียบขายไม่ได้เหลือเงินติดตัวอยู่แค่10,000 เอาของมาเลขายได้กลับมาแค่

20,000จาก200,000สามีไม่ได้ทำงานอะไรคือเราทำงายประจำ ส่วนสามีดูแลธุรกิจเป็นหลัก ณ ตอนนั้นเรามีเงินแค่30,000 ทั้งตัว

กับภาระหนี้สิน ผ่อนบ้าน รถ และสินเชื่อต่างๆที่เคยกู้มาก่อนหน้านั้น เงินเดือนเรา ประมาน62,000/เดือน บางเดือนก้อ 52,000/เดือน

เหมือนจะเยอะน่ะคะ แต่แลกมาด้วยเวลาเกือบ 24 ชม. ในการทำงานของเรา แทบไม่ได้พักผ่อน และอีกอย่างเราก้อเพิ่งจบใหม่

งานหนักมากๆคะ ส่วนธุรกิจเรากัอทำเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัย กำไรก้อดีค่ะ เดือนนึงราวๆ 150,000-200,000

ตรงนี้มีหุ้นส่วน3คนคะ   แต่ธุรกิจที่เราเจ๊งไป200,000คือธุรกิจใหม่ที่เราอ่อนประสบการณ์ ทำได้ไม่นาน ทำคนเดียว

และสุดท้ายก้อเจ๊ง ณ ตอนนั้นคือเรามีภาระหนี้สินเยอะ บวกกับทะเลาะกับหันส่วนในธุรกิจเดิม ทำให้เราต้องใช้เงินจำนวนเกือบ500,000

เพื่อจะซื้อหุ้นคืน จากหุ้นส่วนเราคนนั้น เพื่อตัดปัญหา ตอนนั้นคือเราจนปัญญามากๆ และมีปัญหากับสามีบ่อยมาก

สามีเราค่อนข้างลูกแง่ พึ่งไม่ค่อยได้ค่ะ มีปัญหาอะไร คือวิ่งมาแอบข้างหลังเราหมด แล้วทิ้งให้เราจัดการเครียใหัเสร็จ

เค้าถึงจะกลับมา (โคตรเ..วเลยคะ) เค้าเห็นแก่ตัวมากๆ ช่วงนั้นปัญหารุมเร้าเราสุดๆ ทั้งภาระหนี้สิน ทั้งทะเลาะกับหันส่วน

จนเค้าขอขายหุ้นให้เรา และบีบใหัเราซื้อหุ้นคืนจากเค้า ตอนนั้นเราท้อมากๆ และไม่กล้าปริปากบอกใคร

แม้กระทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เราเก็บความเครียดไว้คนเดียว....

ด้วยตัวดิฉันเป็นที่คนอื่นชอบมองว่าเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ดิฉันจึงเป็นคนเงียบๆเก็บตัว มีปัญหา
อะไรมักไม่ค่อยปรึกษาใคร ยิ่งสามีนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างที่บอกตั้งแต่เริ่มต้น ว่าดิฉันพึ่งพาเค้า
ไม่ได้เลย เวลามีปัญหาอะไร แรกๆแต่งงานกัน ดิฉันก้อยึดเค้าเป็นหลักปรึกษา ขอความ
ช่วยเหลือ แต่เค้าไม่เคยช่วย หนำซ้ำยังซ้ำเติม พูดจาให้เรายิ่งหมดกำลังใจเจ็บช้ำเรื่อยมา
ยกตัวอย่าง เช่น การที่เราซื้อบ้าน คือการซื้อบ้านเราทั้งคู้ก้อลงความเห็นอยากได้กันทั้งคู่ แต่
พอหาเงินมาผ่อนไม่ทัน แทนที่จะช่วยกันคิด เค้ากลับ โทษหาว่าเป็นเพราะดิฉันอยากได้ คือ
โทษตรูคนเดียวหมด รถก้อเช่นเดียวกัน ดิฉันขับไม่เป็น รถก้อติดไม่เคยคิดอยากได้ อีกอย่าง
ที่ทำงานก้ออยู่ติดรถไฟฟ้า แต่เพราะเค้า เป็นคนขอร้องดิฉันว่า อยากได้รถ จนดิฉันใจอ่อน
สุดท้ายก้อซื้อให้ ทุกอย่างใช้เครดิตดิฉันหมด และดิฉันเป็นคนรับภาระผ่อนหมด
ถามว่าเค้ามีข้อดีไหม ก้อพอมีบ้างคะ เค้าเป็นคนตั้งใจทำงาน ให้เค้าดูแลธุรกิจเค้าทำได้ดี มี

แค่นั้นแหละคะ ข้อดีของเค้า ไม่เคยเอาใจใส่ดูแล ใส่ใจ พูดจาให้เจ็บช้ำน้ำใจเรื่อยมา จน
ดิฉันร้องไห้บ่อยมาก ดิฉันไม่เคยบอกพ่อแม่ ว่าตัวเองเจอปัญหาอะไรบ้าง สามีเป็นยังไงบ้าง
เพียงเพราะไม่อยากให้ท่านต้องมาเครียดกับเรื่องดิฉันอีก ทุกครั้งที่มีปัญหา เค้ามีแต่ว่าซ้ำ
ทั้งๆที่ก้อก่อหนี้กันทั้งคู่ แต่กลับโทษดิฉันคนเดียวและดิฉันก้อต้องแก้คนเดียวทุกครั้ง มีสามี
ก้อเหมือนไม่มี พวกคุณลองนึกดูสิค่ะ ณ ตอนนั้น ดิฉันเจ๊งไป200000 ซึ่งธุรกิจนี้ เค้าเป็นคน
คิด และขอให้ดิฉันลงทุนทำ ถามว่า พอมันเจ๊ง ดิฉันไม่เคยโทษเค้าเลยค่ะ กลับมองว่ามันก้อ
มีส่วนกันทั้งคู่

ตอนเจ๊งไปตอนนั้น ดิฉันไม่เคยมานั่งโทษ ยิ้ม โทษ ตรู เลยคะ ได้แต่ปลงตกว่ามันคงเพราะความ

พลาดเองของเราทั้งคู่ ที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านนั้นแล้วดันไปลงทุน  ปัญหาหลัก ณ ตอนนั้น

คือ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ และหนี้อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 50000 บาท กับเงินที่เหลือในบัญชีแค่ 30000

ไม่พอแน่ ดิฉันไม่กล้ายิบยืมจากใคร จากพ่อจากแม่ ก้อไม่กล้า เพราะด้วยตอนนี้ ก้อยังเรียนต่ออยู่

ท่านเองก้อช่วยเหลือ คชจ ทางด้านการศึกษา เลยไม่อยากไปรบกวนท่านเพิ่มอีก อีกอย่างคือ ที่

ผ่านมาเวลาดิฉันเดือดร้อนทุกๆครั้ง พ่อแม่ท่านเองก้อเคยช่วยมาหลายครั้ง พี่น้องก้อเช่นกัน

พอเกิดเรื่องเลยอยากขอร้องให้สามีไปยิบยืมจากเพื่อนฝูง หรือลองยืมจากพ่อแม่ดู สรุป เค้าบอก

ว่าไม่ค่ะ เค้าจะไม่ยืมใครเด็ดขาด ดิฉันพอรู้ว่าเค้าคงกลัวเสียหน้า ที่ไม่กล้าไปยืมใคร เพราะคนอื่น

มักจะมองเค้าว่าพร้อมทุกๆอย่าง อายุยังไม่มาก แต่สร้างอะไรได้หลายๆอย่าง ทั้งธุรกิจ ทั้งบ้าน รถ

ถ้าเทียบกับคนอื่นๆเพื่อนๆเค้าในรุ่นเดียวกัน เค้าคิดว่าเค้ามีมากสุด เลยไม่กล้าที่จะไปขอให้ใครมาช่วย

มาถึงจุดนั้น เหลือไม่กี่วันก้อมีกำหนดชำระหนี้ต่างๆ บ้าน 25000 รถ13000 และหนี้สินเชื่ออีก

12000 ระยะเวลาชำระไกล้ๆกันหมด และเงินแบ่งหุ้นส่วนในธุรกิจเดิมในเดือนนั้นก้อยังไม่ได้รับ

เพราะจะแบ่งกันทุกวันที่10 ของทุกๆเดือน ดิฉันต้องหาเงินอีก 20000 ไม่งั้นจะชำระหนี้ไม่ได้ อีก

อย่างก้อมีค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวันอีก กับเงินที่มีทั้งตัวแค่30000 ไม่ต้องถามถึงสามีคะ เค้า

ไม่สนใจเพราะคิดว่าดิฉันต้องแก้ปัญหาได้แน่เพราะที่ผ่านมา ดิฉันทำได้หมด เลยมองว่าครั้งนี้ คง

เหมือนครั้งก่อนๆ  ดิฉันนั่งเครียดว่าควรจะทำยังไงดี ไม่กล้าบอกพ่อแม่ บอกพี่น้อง สุดท้ายก้อมี

คนๆหนึงยื่นมือมาช่วย ขอเรียกว่าพี่ที พี่ทีเป็นรุ่นพี่ที่คณะ แก่กว่าดิฉัน3ปี เรียนจบก้อทำงานที่เดียว

กับดิฉัน พี่ทีคนนี้เคยจีบดิฉันตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งจนดิฉันเรียนจบแต่สุดท้ายก้อไม่ขยับความสัมพันธ์ พี่

ทีเป็นพี่ที่ดีมากๆถึงแม้ดิฉันไม่ได้คบกับพี่เค้า แต่พี่เค้ายังคอยช่วยเหลือเสมอมา จนเรื่องนี้ที่ดิฉัน

ขาดเงินอีก20000 พี่ทีเป็นคนให้เงินดิฉันมาจนแก้ปัญหาไปได้  ดิฉันไม่ได้ร้องขอเพียงแต่เราคุย

กันบ่อยๆเพราะทำงานที่เดียวกัน อีกอย่างก้อคุยทางแชทเฟสบุคกันเสมอ เวลาดิฉันขึ้นสเตตัส

อะไรเครียดๆพี่เค้าก้อจะถามไถ่ว่ามีปัญหาอะไร จนดิฉันได้ปรึกษา พี่ทีเลยบอกว่าเองเงินพี่ทีก่อน

มีเมื่อไหร่ก้อค่อยมาใช้คืน สรุปปัญหานั้นดิฉันผ่านมันไปได้ เพราะได้พี่ทีเข้ามาช่วย ส่วนสามีดิฉัน

เหรอคะ ไม่ถามเลยค่ะว่าดิฉันเอาเงินมาจากไหน เค้ารับรู้แค่ว่า ผ่อนแล้วครบทุกอย่าง จากที่ก่อน

หน้านั้นอารมณ์เสียตลอดช่วงที่ยังไม่มีเงินไปผ่อน พอดิฉันแก้ไปได้ กับมาครื้นเครงปกติ

มีประโยคหนึงที่ทำให้ดิฉันเจ็บปวดมาก สามีบอกว่า เค้าแต่งงานกับดิฉันแล้วชีวิตเค้าตกต่ำลง

ต้องมาเป็นหนี้ ทั้งๆที่คนที่ยื่นกู้ คือชื่อดิฉันหมด แล้วถามว่าเค้าเป็นหนี้ตรงไหน

ในเมื่อคนรับภาระคือดิฉัน

มาถึงปัญหาต่อไปที่ดิฉันได้กล่าวไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าธุรกิจเดิม มีหุ้นด้วยกัน3คน

เรามีปัญหากัน ทำให้หุ้นส่วนคนหนึงถอนหุ้นไป และบีบให้ดิฉันซื้อหุ้นในส่วนของเค้าไว้

บวกกับอยากตัดปัญหา เลยรับปากไป คิดว่าคงไปกู้แบงค์มาได้ สรุปคือกู้ไม่ผ่าน เพราะดิฉันอายุ

ยังไม่มาก บวกกับมีภาระหนี้อื่นๆเยอะ แต่ก้อโดนหุ้นส่วนบีบมาแล้ว ว่าต้องซื้อหุ้น ไม่งั้นจะแบบมี

ปัญหากัน คือทุกอย่างเหมือนมาลงดิฉันหมด หุ้นส่วนอีกคนนึงบอกเค้าไม่มีเงิน เงิน500,000 เค้า

หามาไม่ทัน ส่วนดิฉันน่ะเหรอค่ะ ยิ่งกว่าไม่ทันอีกค่ะมืดมนหมดคิดไม่ออก

โดดบีบมาว่าไม่งั้นจะขึ้นโรงขึ้นศาล ฟ้องกัน ด้วยหน้าที่การงาน ณ ปัจจุบัน จึงไม่อยากจะมีเรื่อง

ให้ฟ้องร้องเป็นประวัติติดตัวเอง เลยไปปรึกษาสามี เพราะเห็นว่าเค้ามีมรดกป็นที่ดิน ถึงแม้จะยังไม่

โอนกรรมสิทธิ์เป็นของเค้า แต่เค้าน่าจะคุยกับพ่อแม่เค้าได้ ดิฉันขอร้องให้เค้าช่วยคุยกับพ่อแม่เค้า

ให้ช่วยกู้เงินให้สัก400,000 โดยเอาที่ดินในส่วนของเค้าไปประกันกับแบงค์ เพราะที่ดินของสามี

หากตีเป็นมูลค้าซื้อขายน่าจะไม่ต่ำกว่า สองล้าน แต่นี่ขอกู้แค่สี่แสน สามีบอกไม่ช่วย ให้หาทาง

เอา เค้าไม่อยากเป็นหนี้  พ่อแม่สามีเป็นคนใจดี ฉันมั่นใจเหลือเกินว่าถ้าขอให้ท่านมาช่วย ท่าน

ช่วยแน่ แต่สามีหยิ่งเกินไปค่ะ อย่างที่บอกว่าเค้าไม่อยากให้ใครมามอง แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ว่า

เค้ามีปัญหาทางการเงิน สุดท้ายเค้าก้อไม่ช่วย

บอกว่าถ้าจะฟ้องก้อฟ้อง เค้าไม่คำนึงถึงดิฉันเลยว่า จะเป็นยังไง

ดิฉันคิดอย่างหนักว่าไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน จะยอมให้เรื่องฟ้องร้องเกิดขึ้นไม่ได้

ช่วงนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ คิดไม่ตก เลยหายไปเก็บตัว ไปพักอยู่กับเพื่อนบ้าง พักที่ทำงานบ้าง

เพราะงานของดิฉันอย่างที่บอก บางคืนดิฉันก้ออยู่ทำจนเช้าอีกวัน เลยนอนที่ทำงาน

สามีเค้าไม่เคยตามหาเลยค่ะ มีบ้างที่โทรมา แต่ดิฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนเค้ามากตอนนั้น

จนแบบไม่รับสายบ้าง บางทีโทรมาแค่ขอเงิน บอกเงินที่ใช้หมด ช่วยโอนให้หน่อย ถามว่า

ดิฉันโอนไหม ก้อโอนค่ะ คือดิฉันก้อไม่อยากให้ใครต้องมานอนหิวข้าว นึกแล้วสงสาร

คือโทรมากี่ครั้งๆช่วงที่ดิฉันพักที่ทำงานน้อยมากที่จะถามสารทุกข์สุกดิบดิฉัน เจอพี่ที

พี่ทีก้อถามว่าทำไมมานอนที่นี่ ไม่กลับบ้าน มีปัญหาอะไร คือพี่ทีเป็นห่วงมากๆ ช่วงที่พักที่

ทำงานพี่ทีจะรู้ตลอด ตอนเย็นก้อชวนไปทานข้าวหาไรมาให้กินตลอด จนแบบจากที่เราเคย

สนิทกันอยู่แล้ว เรายิ่งสนิทกันมากขึ้น เพราะเกือบครึ่งเดือนที่ดิฉันนอนที่ทำงาน ก้อจะมีพี่ที

คอยเป็นห่วง ชวนไปหาไรทาน ตอนเย็น เป็นเพื่อนปรับทุกข์ ดิฉันไม่ได้เล่าให้พี่ทีทราบถึงเงิน

ห้าแสน แต่แค่ปรับทุกข์เรื่องชีวิตครอบครัว เรื่องสามี จนวันหนึงเป็นวันหยุด แต่พี่ทีไม่ได้

หยุด ดิฉันเลยขอพี่ทีไปทำอาหารทานกันที่คอนโดพี่ที พี่ทีเองก้อยินดีให้คีย์การ์ดและกุญแจ

มา เพราะเป็นวันหยุดด้วย ดิฉันไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเท่าไหร่ ส่วนเพื่อนที่มหาวิทยาลัย

เมื่อก่อน พอต่างคนต่างเรียนจบก้อแยกย้าย ด้วยสายงานที่เราทำก้อยิ่งหนัก ไม่ค่อยมีเวลาได้

สังสรรค์กัน ดิฉันมีพี่ทีคนเดียวในช่วงนั้นเป็นช่วงปรับทุกข์ สุดท้ายดิฉันไปคอนโดพี่ทีและ

ทำอาหารทานกัน ดิฉันรู้สึก ณ วินาที นั้นเลยว่านี่สิ คือครอบครัว ก

การนั่งทานข้าว กับคนคนนึงถึงแม้อาหารไม่ได้เลิศเลออะไร
แต่มันคือช่วงเวลาที่มีความสุข มันไม่รู้สึกอึดอัด มันมีแต่ความปลอดโปร่ง
ความเย็นสบายใจ เหมือนดิฉันได้เป็นตัวตนของตัวเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
จนคืนนั้น หลังทานอาหารกันเสร็จดิฉันเลยนอนที่คอนโดพี่ที รอไปทำงานพรุ่งนี้เช้า

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ เรานอนบนเตียงเดียวกัน แต่ต่างคนต่างนอน คุยกันไปเรื่อยๆจนหลับ

เช้าก้อตื่นไปงานกันปกติ แต่ก้อมีรู้สึกน่ะค่ะ ในใจดิฉันมันหวิวๆแปลกๆ พอไปทำงานก้อรู้สึกคิดถึง

พี่ทีเหมือนคนเพิ่งตกหลุมรัก 55555 ฟินมากเลยค่ะ พอตอนเที่ยงก้อไปทานข้าวกัน พอตกเย็น

หากต่างฝ่ายต่างว่างก้อไปทำอาหารทานกันและดิฉันก้อพักที่นั่นตลอด โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จริงๆ ในตอนนั้น สามีมีโทรมาหาบ้างแต่ก้อคือเดิมๆไม่ได้สนใจอะไรดิฉัน ส่วนใหญ่ขอเงินบ้าง มี

ปัญหานั่นนี่บ้าง คือโทรมาแจ้งปัญหาธุรกิจบ้าง ไม่เคยถามหรอกค่ะว่าดิฉันหายไปหลายวันเมื่อไหร่

จะกลับ เค้าคงรู้สึกดีมากหากไม่มีดิฉัน ดิฉันยังคงใช้ชีวิตกับพี่ทีไปเรื่อยๆ ดิฉันรู้สึกดีกับพี่ทีมากๆ

จนไกล้ถึงวันที่ดิฉันจะต้องให้เงินหุ้นส่วนที่ถอนหุ้นไป ณ ตอนนั้นมีเงินส่วนแบ่งที่ได้มาในเดือนนั้น

ราวๆ150000 ขาดอีก350000 ดิฉันคุยกับหุ้นส่วนอีกคนหนึงเพื่อขอยืมเงิน เค้าให้ดิฉันยิมได้

แค่50000 ดิฉันตัดสินในเดี่ยวนั่นเลยว่าไม่ไหวแล้ว

อยากเครียปัญหาให้จบๆเลยตัดสินใจคุยกับพี่ทีในคืนนั้นว่า ขอยิมเงิน 300,000 บาท พร้อมทั้งเล่า

เรื่องราวให้ฟังทั้งหมด พี่ทีบอกว่า พี่ทีไม่มีเงินสดที่ใช้อยู่มากขนาดนั้น

ตอนนั้นดิฉันใจแป้วแล้ว พี่ทีก้อไม่มีเงินมากขนาดนั้น จะยืมใครดี แล้วพี่ทีก้อยิ้มออกมาและพูดว่า พี่ไม่มีเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขนาดนั้น แต่มีเงินที่แยกเก็บเอาไว้ทุกเดือนเป็นเงินเก็บส่วนตัว และพี่แกก้อหัวเราะ และบอกเราว่า ไว้พรุ่งนี้ตอนเย็นไปดูหนังและไปถอนเงินสด300,000  ให้เรา โห ตอนนั้นเราโล่งมากค่ะ เหมือนยกภูเขา ปัญหาในอกออกไปหมด วันนั้นเราไปเบิกเงินสด สามแสนเสร็จ แล้วไปดูหนังกันต่อ พอดูหนังเสร็จเราจำได้ว่าขึ้นมาบนรถเราพูดว่าขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆที่ช่วย...(ชื่อเรา) เราจับมือพี่ทีพร้อมบีบมือ  พี่ทีบีบตอบ
เรากอดพี่ทีอย่างแน่น แล้วเอ่ยคำขอบคุณไม่หยุดจนพี่ทีต้องบอกให้หยุด55555 คืนนั้นเรากลับไปนอนคอนโดพี่ทีเช่นเคยเพียงแต่ว่า มันเริ่มแปลกๆด้วยกันทั้งคู่ พี่ทีก้อมีมากอดเราบ้าง เรารู้สึกอบอุ่นมาก เหมือนไม่ได้รับไออุ่นความห่วงใยแบบนี้มานาน เรารู้สึกว่าตัวเองอารมเริ่มกระเจิงล่ะ คิดได้ว่าแต่งงานแล้วก้อรวบรวมสติเตือนตัวเอง และสุดท้ายมันก้อไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้นค่ะ พอตอนเช้าเรานัดเจอหุ้นส่วนเราเอาเงิน500000 ให้เค้าไป ณ เวลานี้เท่ากับเราถือหุ้นในธุรกิจนี้ถึง2หุ้น เราไปทำงานกันปกติ แต่เราเริ่มร็สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม
เหมือนเราต่างฝ่ายต่างคิดไม่ซื่อต่อกัน ดิฉันเริ่มใช้ชีวิตกับพี่ทีมากขึ้น ไม่เคยกลับบ้าน เริ่มชินที่มีพี่ทีเข้ามาในชีวิต กินข้าว ตื่น มาทำงานพร้อมกัน ดิฉันสำนึกในบุญคุณที่พี่ทีช่วยมากๆ
นับวันเรายิ่งสนิทกันมากขึ้น เรียกว่า หากไม่คิดว่ามีสามี เราก้อเหมือนคนเป็นแฟนกันปกติ
จนคืนแรกที่เรา....มาถึง

คืนนั้นเราทานข้าวกันปกติและเข้านอนกันปกติเหมือนเช่นทุกๆคืน ตอนนั้นดิฉันเริ่มเริ่มรู้สึกดีกับพี่ทีมากๆแล้วคงเป็นเพราะว่าเหมือนคอยช่วยเหลือกันมาตลอด เหมือนกับจะแพ้ความดี
อย่างนั้นรึเปล่าค่ะ คืนนั้นพี่ทีเริ่มมือปลาหมึก มากอด และเริ่มจะมากขึ้น มากขึ้น ตอนนั้นที่จะยอมพี่ทีแล้วถามว่าดิฉันคิดถึงหน้าสามีไหม คิดถึงค่ะ และเหมือนกับรู้สึกผิดมากๆ จนไม่ได้ตอบสนองอะไรพี่ทีมาก จนพี่ทีเสร็จดิฉันก้อรีบไปล้างตัว และกลับมานอนปกติ ดิฉันนอนไม่หลับเลย มันรู้สึกผิดต่อสามีมากๆและรู้สึกแย่ต่อตัวเอง เหมือนผู้หญิงที่เลวมาก
ที่มานอนกับผู้ชายแบบนี้ทั้งๆที่แต่งงานแล้วตื่นเช้ามาเราพูดคุยกันปกติไปทำงานพร้อมกัน
เรามีอะไรกันแบบปกกันค่ะและด้วยความรู้สึกผิดเย็นวันนั้นดิฉันกลับไปหาสามี เค้าแค่ถามว่ากลับมาได้แล้วเหรอ เรื่องนั้นเครียเสร็จแล้วเหรอ คือแค่นั้นจริงๆค่ะ มันยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกแย่ต่อเค้ามาก จนทนไม่ไหว สุดท้ายก้อกลับมานอนที่ทำงาน คือไม่กล้ากลับไปคอนโดพี่ทีมันรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ค่ะ และยังไม่อยากเผชิญหน้าเท่าไหร่ พี่ทีเองโทรมาหลายครั้งมาก แต่ดิฉันไม่กล้ารับสาย ลืมเล่านิดหนึงค่ะ 55555 ตอนที่พี่ทีเสร็จ ดิฉันนอนตัวสั่นมาก คือไม่ได้แกล้งน่ะค่ะ ไม่ได้จะแอ๊บแบ๊วอะไร เพียงแต่ทำไมไม่รู้ตัวนี่สั่น ขานี่สั่นมาก  จนพี่ทีบอกว่าเหมือนยังเวอร์จิ้นอยู่เลย 555 พี่ทีบอกว่านี่ถ้าไม่แต่งงานแล้วรับรองเชื่อมากว่าเวอร์จิ้น555


นเช้าอีกวันมาเจอกันที่ทำงานค่ะ พี่ทีขอคุยด้วย และบอกกับดิฉันว่า รักดิฉัน
ไม่อยากให้ดิฉันกลับไปอยู่กับสามีอีก พี่ทีไม่ได้ขอให้ดิฉันเลิกกับสามีเลย แต่ดิฉันเริ่มคิด
ว่าควรจะทำยังไงต่อดี จะอยู่เป็นผู้หญิง2สามีแบบนี้ไม่ได้ จนสุดท้ายดิฉันก้อกลับไปอยู่กับพี่ทีอีก เรื่องเงินสามแสนของพี่ที พี่ทีบอกแต่เพียงว่ามีคืนเมื่อไหร่ก้อค่อยมาคืน พี่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ ไม่มีสัญญากู้ยืมอะไรทั้งนั้น ดิฉันซึ้งใจต่อพี่ทีมากๆ จนมันเกิดครั้งที่2 และ 3 ขึ้นด้วยความเต็มใจของดิฉัน ดิฉันไม่ได้จะบอกว่านอนด้วยกัน3ครั้งเพื่อแลกกับเงิน300000
เพียงแต่แค่รู้สึกว่าคนคนนี้ดีกับดิฉันมาก มากจนหากมีอะไรตอบแทนก้ออยากจะให้ ถึงแม้จะดูไม่มีศักดิ์ศรีเลยก้อตาม ถ้าดิฉันจะพูดว่าเพราะรักเลยยอม มันคงดูไม่น่าเชื่อเพราะความจริงก้อรู้จักกันมาตั้งนาน ทำไมมารักเอาตอนนี้ แต่ก้ออย่างที่บอก ว่าเหมือนจะแพ้ความดีมันเลยกลายเป็นความรู้สึกดีๆ

หลังจากจบไป3ครั้งนั้น ดิฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่า หากจะคบกับพี่ทีจริงๆต้องเลิกกันให้เด็ดขาดก่อนกับสามี ดิฉันต้องเครียตัวเองก่อน เลยโทรคุยกับพ่อแม่เรื่องสามี แต่พ่อแม่ขอให้อดทนประคับประคองกันไป ส่วนเราพอไปขอเลิกกับสามีเค้าไม่ยอมเลิกค่ะ เราบอกเค้าไปทั้งหมดว่าเรารู้สึกยังไง ที่เค้าทำกับเราแบบนี้ ความอดทนเราหมดแล้ว คือเค้าคิดว่าพ่อแม่เราอยู่ข้างเค้า ยังไงๆเค้าก้อไม่ยอมเลิก เราไม่ได้จดทะเบียนกันค่ะ ณ ตอนนี้คือเรายังรักสามีน่ะคะ เพียงแต่ว่ามันแย่มากๆในสิ่งที่เราเจอมาตลอด และคิดว่าคงอยู่ร่วมกันต่อไปไม่ได้
ในเมื่อเค้าไม่ยอมเลิก เราตัดสินใจดูแลธุรกิจของเราโดยไม่ให้เค้าเข้ามาช่วยอีก เราตัดเค้าออกไปจากชีวิต เค้าโทรมาเราไม่รับสาย บ้าน รถ เค้าอยากอยู่ อยากขับไปก้อตามสบายเราผ่อนให้ เพียงแต่วันหนึงเราคงไปทวงทุกอย่างของเราคืน ตอนนี้เราแยกกันอยู่กับสามีสักพักใหญ่แล้ว มีคิดถึงไหม มีบ่อยค่ะ ยังรักไหมแน่นอนต้องผูกพันธุ์ ยังตัดไม่ขาด
เราออกมาเช่าอพาร์ทเม้นท์ใกล้ที่ทำงาน ออกมาอยู่คนเดียว สำหรับพี่ที เราได้คุยกับพี่ทีว่า
ตอนนี้เราแค่แยกกันอยู่กับสามีและอนาคตก้อคงต้องเลิกกันแน่นอน เราบอกว่า เราไม่ได้ขอให้พี่รอว่าวันหนึงเราจะเป็นอิสระแล้วเราจะได้คบกัน เราบอกว่า เรายังเข็ดหลาบกับชีวิตคู่
ยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร อีกอย่างสถานะเราคือ คนที่เต่งงานแล้วชีวิตคู่ล้มเหลว
เรามีกำแพงที่กั้นสูงมาก ที่จะให้ใครสักคนนึงข้ามมาอยู่ด้วยกัน เราคิดมากว่าคนคนนั้นจะรักเราจริงไหม หรือจะแค่หลอกเรา เราบอกว่าอย่ารอเลย เราไม่รู้ว่าจะพร้อมเมื่อไหร่ ถ้าในระหว่างทางที่พี่เจอใครแล้วถูกใจ ก้อขอให้เริ่มต้นส่ะ พี่ทีตอบว่า อย่าพูดถึงวันข้างหน้า พี่ทำวันนี้ให้ดี แล้วให้....(ชื่อเรา) ตัดสินใจ

บทสรุปน่ะค่ะ
-    ตอนนี้ เราแยกกันอยู่กับสามี เราอยู่อพาร์ทเม้นท์ใกล้ที่ทำงาน
-    ไม่ได้ไปที่คอนโดพี่ทีอีกเลยค่ะ แต่ยังเจอกันที่ทำงานเรื่อยๆไปทานข้าวเที่ยง เย็น ด้วยกันเหมือนเดิม
-    พี่ที ยังดีกับเราเสมอค่ะ แม้จะได้แอ้มเราไป3ครั้ง แต่ไม่มีอะไรแปลกไป คือยังดีกับเราเสมอต้นเสมอปลาย อนาคตไม่รู้ค่ะ
-    พี่ที บอกเราว่า ณ เวลานี้กำลังตามจีบเรา เพื่อขอให้เราเปิดใจ และบอกว่ารับได้ที่เราเคยผ่านการแต่งงานมา
-     ณ ตอนนี้ เรายังไม่รู้ใจตัวเองเลยค่ะ ว่าควรจะเอายังไงดี แต่ที่แน่ๆคือคงอยู่ด้วยกันกับสามีไม่ได้อีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาอดทนและมันก้อหมดแล้วค่ะความอดทน
-    ข้อสุดท้ายฟินก่อนนอน  พี่ทีบอกว่ารักเราตั้งแต่ตามจีบตอนเราอยู่ตอนปี1 และรักมาตลอดจนถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าแค่คารมรึเปล่าน่ะค่ะ แต่ก้อฟินดีค่ะ

จบแล้วค่ะ ขอบคุณุกๆคอมเม้นท์น่ะค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจ
อยากฝากไว้นิดหนึงว่า ก่อนจะแต่งงานกับใครสักคน ขอให้พร้อมที่สุด ความพร้อมที่สำคัญที่สุด คือความพร้อมทางด้านจิตใจคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่