ผมชอบเดินเล่นยามเย็น
ทำไมน่ะเหรอครับ หลายๆคนก็ชอบวิ่งออกกำลังตอนเย็นๆนี่นา ยิ่งช่วงนี้กระแสฮิตปั่นจักรยานในกรุงเทพกำลังมา มองไปทางไหนก็เห็นคนปั่นจักรยานแต่งตัวเต็มยศเหมือนจะไปปั่นตูเดอฟรอง เห็นกันให้เต็มเมืองไปหมด คนเมืองหลวงนี่รักสุขภาพและรวยจริงๆนะครับ มองจักรยานแต่ละคันที่พวกพี่ๆเขาขี่ หลักหมื่นทั้งนั้น เด็กมัธยมอย่างผมจะไปมีปัญญาซื้อได้ยังไง? ออกนอกเรื่องไปเสียไกล เนื่องจากผมไม่เล่นกีฬาเพราะเป็นหอบหืด ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก แต่พอขึ้นม.ปลายมาแล้ว ก็รู้สึกว่า เย็นๆกลับบ้านนอนเล่น มันก็ออกจะน่าเบื่อเกินไป แต่จะวิ่งก็ไม่ไหว มันก็เลยออกมาที่เดินเล่นเอาละกัน ไม่เหนื่อยเกินไปแต่ก็ได้ออกกำลัง
ผมพักอยู่กับคุณอาที่เป็นข้าราชการ มีห้องพักอยู่แถวๆย่านเมืองเก่าในกรุงเทพ ไอ้เด็กบ้านนอกอย่างผมโชคดีที่สอบเข้ารร.ในกรุงเทพได้ และโชคสองชั้นที่ได้คุณอาทำงานใกล้ๆ ก็เลยได้อยู่ฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่านี่ล่ะครับ ผมก็ช่วยอาปัดกวาดห้อง ดูแลห้องให้แกแทนค่าเช่าห้องเอา ส่วนโชคชั้นที่สามของผมเลยก็คือ แถวที่ผมอยู่นี่มีสถานที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางปูชนียสถานมากมาย ด้วยความที่เป็นส่วนเมืองเก่าของกรุงเทพ เวลาเดินเล่นหลังจากเลิกเรียนจึงเป็นเวลาที่ผมเพลิดเพลินจริงๆ ถึงบางเส้นทางจะรถติดตลอดเวลา และฝุ่นควันตลบอบอวลชอบกลแต่ก็ไม่เป็นไร ผมก็ใส่หน้ากากเอา
ช่วงปลายปี ถึงแดดจะแรงแต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าใสแจ๋ว ถึงวันอื่นๆของช่วงหน้าหนาวในกรุงเทพมันจะร้อนชิบเป๋งเลยก็เถอะ วันนี้ผมคิดไว้แล้วว่า เดินออกจากบ้านพักที่ถนนพระรามห้า ตัดเข้าถนนสุโขทัย เดินไปดูพระอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยที่สะพานกรุงธน ขากลับหากับข้าวเข้าบ้านที่ซอยสวนอ้อยท่าจะดี คิดได้ดังนั้น ห้าโมงเย็นผมก็คว้าเสื้อวอร์มมาใส่ เดินออกมา วันนี้รถไม่เยอะเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตามจริงถนนแถบนี้เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรี ตกเย็นรถจะแน่นมาก สาเหตุคงมาจากมีม๊อบการเมืองมาปิดถนนตามสถานที่สำคัญๆเพื่อกดดันรัฐบาลไอ้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองกับเขาหรอก เเต่ที่ตั้งของหลายๆม๊อบก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถนนปิดหลายเส้นรถวิ่งไม่ได้ แถมกลางดึกบางคืนก็จะมีระเบิดขึ้น มีหลายคนถูกกระสุนปริศนาที่หาที่มาไม่ได้ คนเลยขับรถหนีไปทางอื่นเสียหมด
ผมเดินตามเส้นทางที่คิดไว้ ก่อนขึ้นสะพานกรุงธนไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ผมก็เดินเเวะผ่านโรงเรียนเอกชนเเถบนั้นเสียหน่อย ผู้คนยังจอเเจ รถผู้ปกครองยังมารอรับบุตรหลาน ถึงเเม้ว่าจะมีสถานการณ์ความรุนเเรง เเต่โรงเรียนเเถวนี้ก็ยังไม่ปิด ผมชอบไปเดินผ่านเเถบนี้ เพราะมีของขายเยอะดี เดินเพลินๆบางวันถ้าไม่เย็นมากก็เดินเลยเข้าชุมชนเก่าเเก่ริมเเม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งให้ความสงบอย่างเเปลกประหลาด เป็นมุมสงบที่เเอบซ่อนจากความวุ่นวายในเมืองหลวงที่น่าสนใจจริงๆครับ พอเดินขึ้นไปถึงสะพานกรุงธน ผมก็เดินกลับมาเเวะที่ซอยสวนอ้อย ซื้อกับข้าวไปกินกับคุณอาที่บ้าน ขากลับผมก็กลับเข้าถนนสุโขทัย เส้นทางเดิม
หกโมงสามนาที หลังเพลงชาติไทยจบลง ผมยังเดินไม่ถึงบ้าน ท้องฟ้ามืดสนิทเเล้ว ผมเดินอยู่ริมถนนที่มี ไฟทางของถนนเส้นนี้ ยังไม่ติด ผมเดินผ่านเวลาใกล้เคียงกับวันนี้มาหลายวัน เข้าใจว่า มันตั้งเวลาอัตโนมัติไว้ เเต่วันนี้มันมืดไว มืดสนิทเเล้ว ไฟทางก็ยังไม่ติด ผมเดินมาถึงสี่เเยก กำลังจะข้ามถนน ในขณะที่รอสัญญาณไฟ เหลือบมองไฟจราจรได้ซักพัก ผมชักเอะใจ ทำไมวันนี้ ไม่มีรถซักคัน ถนนทั้งเส้นมืดสนิทมีเพียงเเสงไฟจากไฟจราจร
ช่วงเวลาเกือบนาทีที่ผมรออยู่ตรงสี่เเยก ไม่มีรถซักคันวิ่งผ่านมาเลย!
จริงๆผมไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไฟเเดงเเล้ว ผมก็เดินข้ามถนน เเต่เกิดเหตุอัศจรรย์ ผมเหลียวมองเเน่ใจเเล้วว่าไม่มีรถผมจึงข้ามถนน พอผมก้าวขาลงถนน เสียงมอเตอร์ไซด์ดังขึ้นบริเวณข้างหู เเลเเสงสลัวจากไฟหน้ารถสาดมาที่ตัวผม ผมหันไปมองด้วยตกใจ มอเตอร์ไซด์จริงๆ โผล่มาจากไหนไม่ทราบวิ่งมาใกล้ผมเเค่เมตรเดียว ผมชักขากลับเเต่ด้วยถ่ายน้ำหนักไปเเล้ว ตัวจึงเซลงไปล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ริมถนน ถุงกับข้าวที่หิ้วมาก็หล่นมาตามมือ รถมอเตอร์ไซด์วิ่งไม่เร็วนัก ผ่านหน้าผมไป ผมนึกโกรธจึงมองไปที่หน้าคนขี่ เขาขี่มาคนเดียว ตาเหม่อลอยมองไปข้างหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นผมซะยังงั้นล่ะ จะบีบเเตรให้ได้ระวังตัวหน่อยก็ไม่ได้ ในขณะที่รถผ่านเข้าสี่เเยก
ผมตะโกนด่าไล่หลังไปไม่ทันคิด "เฮ้ย ขี่อย่างนี้ไม่กล..."
ยังไม่ทันสิ้นประโยค ฉับพลัน! ผมมองเห็นเเสงไฟหน้าของรถยนต์วิ่งมาจากอีกทางด้วยความเร็วสูง เเละเสียงบีบเเตรลากยาวดังสนั่น !
ตูม!!! เสียงนั้นผมยังจำได้จนทุกวันนี้
ผมตะลึงกับภาพตรงหน้า รถยนต์คันนั้นชนมอเตอร์ไซด์ที่ตัดหน้าผมไปอย่างเเรง ร่างของชายเคราะห์ร้ายคนนั้น ลอยละลิ่วเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างจากมือ ผมใจหายวาบ เขาลอยมาตรงที่ผมนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่นั่นเเหล่ะครับ ด้วยสัญชาตญาณ ! ผมถีบตัวไปข้างหลังอย่างเเรง เพื่อหลบไม่ให้ชายคนนั้นลอยมากระเเทกผม ในขณะที่สายตายังมองไปที่ร่างนั้นที่ลอยมาใกล้ๆอย่างไม่กระพริบ ชายคนนั้น หันหน้ามา
ใบหน้าซีดขาวที่ผมเห็นบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขาหันหน้ามามองผม ตาเบิกโพลง เเสยะยิ้ม เหมือนจะหัวเราะร่า !!!
ในเสี้ยววินาทีที่ใบหน้านั้นลอยมาใกล้ ผมหลบไม่พ้น ผมยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณเพื่อป้องกันการกระเเทก ฉับพลัน
ทุกสิ่งทุกอย่าง จางหายไปต่อหน้าต่อตา!
ถูกเเล้วครับ จางหายไปหมดเลย ทั้งร่างที่ลอยละลิ่วมา จางหายไปก่อนจะถึงตัวผมไม่ถึงฟุต พอผมได้สติ มองหามอเตอร์ไซด์คันนั้น ทั้งรถยนต์ที่พุ่งเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่าง หายไปหมดเลย
ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมา ผมไม่ได้คิดไปในทางผีสางเลย คิดเเต่ว่าซวยเเล้ว เเต่พอมาเจอเเบบนี้ ผีหลอกชัดๆ
จู่ๆก็มีเเสงไฟส่องมาบนหัว ผมมองขึ้นไป ไฟทางถนนติดเเล้ว ถนนทั้งเส้นกลับมาสว่างอีกครั้ง ผมพยายามตั้งสติ ถุงกับข้าวผมยังอยู่ดี ตามตัวไม่มีเเผลอะไร เหลือบมองนาฬิกา เวลาหกโมงสามนาที...
ผมพยายามควบคุมอารมณ์ กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนน ระยะทางกว่าจะถึงบ้านก็อีกเกือบกิโล ผมกลัวอาการหอบจะกำเริบจะยิ่งเเย่เข้าไปใหญ่ จึงพยายามควบคุมสติ ไม่หักโหม เดินให้ถึงบ้าน เดินมาซักสองร้อยเมตร เริ่มใจชื้น มีรถวิ่งบนถนนเเล้วครับ ผมใช้เวลาอีกประมาณสิบนาทีกว่าจะถึงบ้าน กลับมาบ้านเจอคุณอาที่รอทานข้าวอยู่ เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆไม่ถึงชั่วโมงในเเกฟัง
อาผมฟังเเล้วก็หัวเราะ "โอ้ย ตาฝาดรึเปล่า หรือว่าเล่นยาวะเรา" เเต่เเกรู้ว่าผมไม่ใข่เด็กเเบบนั้นเเกเลยหยุดหัวเราะเเล้วบอกว่า "ไอ้เสือเอ้ย ตรงเเยกตรงนั้น กำเเพงมันทึบทั้งสี่ด้านเลย รถที่จะวิ่งผ่านเเยกจะไม่มีทางมองเห็นได้เลยว่ามีรถวิ่งมาตัดเเยกหรือเปล่า จะรู้ก็ตอนมันพ้นเข้ามาในสี่เเยกเเล้วเท่านั้นเเหล่ะ ชนกันบ่อยตั้งเเต่เมื่อก่อนเเล้ว "
วันนั้นผมกินข้าวเเทบไม่ลง อาบน้ำอาบท่าเสร็จนอนเลย เเต่นอนไม่หลับหรอกครับ หน้าซีดๆเเสยะยิ้มของผู้ชายคนนั้นยังติดตาทั้งคืน สงสัยว่า
การเดินเล่นของผมจะต้องเลิกเดินเส้นนี้ซะละมั้ง เฮ้อ !!
อนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องเเรกในชุดเรื่องสั้น "ธนพลกับเรื่องเล่าพิศวง" ครับ ตอนนี้เพิ่งลงไว้ตอนที่1 ถ้าชอบก็เข้าไปติดตามกันได้ครับ ขอบคุณครับ
http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1147297
ยามเย็น
ผมชอบเดินเล่นยามเย็น
ทำไมน่ะเหรอครับ หลายๆคนก็ชอบวิ่งออกกำลังตอนเย็นๆนี่นา ยิ่งช่วงนี้กระแสฮิตปั่นจักรยานในกรุงเทพกำลังมา มองไปทางไหนก็เห็นคนปั่นจักรยานแต่งตัวเต็มยศเหมือนจะไปปั่นตูเดอฟรอง เห็นกันให้เต็มเมืองไปหมด คนเมืองหลวงนี่รักสุขภาพและรวยจริงๆนะครับ มองจักรยานแต่ละคันที่พวกพี่ๆเขาขี่ หลักหมื่นทั้งนั้น เด็กมัธยมอย่างผมจะไปมีปัญญาซื้อได้ยังไง? ออกนอกเรื่องไปเสียไกล เนื่องจากผมไม่เล่นกีฬาเพราะเป็นหอบหืด ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก แต่พอขึ้นม.ปลายมาแล้ว ก็รู้สึกว่า เย็นๆกลับบ้านนอนเล่น มันก็ออกจะน่าเบื่อเกินไป แต่จะวิ่งก็ไม่ไหว มันก็เลยออกมาที่เดินเล่นเอาละกัน ไม่เหนื่อยเกินไปแต่ก็ได้ออกกำลัง
ผมพักอยู่กับคุณอาที่เป็นข้าราชการ มีห้องพักอยู่แถวๆย่านเมืองเก่าในกรุงเทพ ไอ้เด็กบ้านนอกอย่างผมโชคดีที่สอบเข้ารร.ในกรุงเทพได้ และโชคสองชั้นที่ได้คุณอาทำงานใกล้ๆ ก็เลยได้อยู่ฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่านี่ล่ะครับ ผมก็ช่วยอาปัดกวาดห้อง ดูแลห้องให้แกแทนค่าเช่าห้องเอา ส่วนโชคชั้นที่สามของผมเลยก็คือ แถวที่ผมอยู่นี่มีสถานที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางปูชนียสถานมากมาย ด้วยความที่เป็นส่วนเมืองเก่าของกรุงเทพ เวลาเดินเล่นหลังจากเลิกเรียนจึงเป็นเวลาที่ผมเพลิดเพลินจริงๆ ถึงบางเส้นทางจะรถติดตลอดเวลา และฝุ่นควันตลบอบอวลชอบกลแต่ก็ไม่เป็นไร ผมก็ใส่หน้ากากเอา
ช่วงปลายปี ถึงแดดจะแรงแต่อากาศเย็นสบาย ฟ้าใสแจ๋ว ถึงวันอื่นๆของช่วงหน้าหนาวในกรุงเทพมันจะร้อนชิบเป๋งเลยก็เถอะ วันนี้ผมคิดไว้แล้วว่า เดินออกจากบ้านพักที่ถนนพระรามห้า ตัดเข้าถนนสุโขทัย เดินไปดูพระอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยที่สะพานกรุงธน ขากลับหากับข้าวเข้าบ้านที่ซอยสวนอ้อยท่าจะดี คิดได้ดังนั้น ห้าโมงเย็นผมก็คว้าเสื้อวอร์มมาใส่ เดินออกมา วันนี้รถไม่เยอะเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตามจริงถนนแถบนี้เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรี ตกเย็นรถจะแน่นมาก สาเหตุคงมาจากมีม๊อบการเมืองมาปิดถนนตามสถานที่สำคัญๆเพื่อกดดันรัฐบาลไอ้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองกับเขาหรอก เเต่ที่ตั้งของหลายๆม๊อบก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถนนปิดหลายเส้นรถวิ่งไม่ได้ แถมกลางดึกบางคืนก็จะมีระเบิดขึ้น มีหลายคนถูกกระสุนปริศนาที่หาที่มาไม่ได้ คนเลยขับรถหนีไปทางอื่นเสียหมด
ผมเดินตามเส้นทางที่คิดไว้ ก่อนขึ้นสะพานกรุงธนไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ผมก็เดินเเวะผ่านโรงเรียนเอกชนเเถบนั้นเสียหน่อย ผู้คนยังจอเเจ รถผู้ปกครองยังมารอรับบุตรหลาน ถึงเเม้ว่าจะมีสถานการณ์ความรุนเเรง เเต่โรงเรียนเเถวนี้ก็ยังไม่ปิด ผมชอบไปเดินผ่านเเถบนี้ เพราะมีของขายเยอะดี เดินเพลินๆบางวันถ้าไม่เย็นมากก็เดินเลยเข้าชุมชนเก่าเเก่ริมเเม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งให้ความสงบอย่างเเปลกประหลาด เป็นมุมสงบที่เเอบซ่อนจากความวุ่นวายในเมืองหลวงที่น่าสนใจจริงๆครับ พอเดินขึ้นไปถึงสะพานกรุงธน ผมก็เดินกลับมาเเวะที่ซอยสวนอ้อย ซื้อกับข้าวไปกินกับคุณอาที่บ้าน ขากลับผมก็กลับเข้าถนนสุโขทัย เส้นทางเดิม
หกโมงสามนาที หลังเพลงชาติไทยจบลง ผมยังเดินไม่ถึงบ้าน ท้องฟ้ามืดสนิทเเล้ว ผมเดินอยู่ริมถนนที่มี ไฟทางของถนนเส้นนี้ ยังไม่ติด ผมเดินผ่านเวลาใกล้เคียงกับวันนี้มาหลายวัน เข้าใจว่า มันตั้งเวลาอัตโนมัติไว้ เเต่วันนี้มันมืดไว มืดสนิทเเล้ว ไฟทางก็ยังไม่ติด ผมเดินมาถึงสี่เเยก กำลังจะข้ามถนน ในขณะที่รอสัญญาณไฟ เหลือบมองไฟจราจรได้ซักพัก ผมชักเอะใจ ทำไมวันนี้ ไม่มีรถซักคัน ถนนทั้งเส้นมืดสนิทมีเพียงเเสงไฟจากไฟจราจร
ช่วงเวลาเกือบนาทีที่ผมรออยู่ตรงสี่เเยก ไม่มีรถซักคันวิ่งผ่านมาเลย!
จริงๆผมไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไฟเเดงเเล้ว ผมก็เดินข้ามถนน เเต่เกิดเหตุอัศจรรย์ ผมเหลียวมองเเน่ใจเเล้วว่าไม่มีรถผมจึงข้ามถนน พอผมก้าวขาลงถนน เสียงมอเตอร์ไซด์ดังขึ้นบริเวณข้างหู เเลเเสงสลัวจากไฟหน้ารถสาดมาที่ตัวผม ผมหันไปมองด้วยตกใจ มอเตอร์ไซด์จริงๆ โผล่มาจากไหนไม่ทราบวิ่งมาใกล้ผมเเค่เมตรเดียว ผมชักขากลับเเต่ด้วยถ่ายน้ำหนักไปเเล้ว ตัวจึงเซลงไปล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ริมถนน ถุงกับข้าวที่หิ้วมาก็หล่นมาตามมือ รถมอเตอร์ไซด์วิ่งไม่เร็วนัก ผ่านหน้าผมไป ผมนึกโกรธจึงมองไปที่หน้าคนขี่ เขาขี่มาคนเดียว ตาเหม่อลอยมองไปข้างหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นผมซะยังงั้นล่ะ จะบีบเเตรให้ได้ระวังตัวหน่อยก็ไม่ได้ ในขณะที่รถผ่านเข้าสี่เเยก
ผมตะโกนด่าไล่หลังไปไม่ทันคิด "เฮ้ย ขี่อย่างนี้ไม่กล..."
ยังไม่ทันสิ้นประโยค ฉับพลัน! ผมมองเห็นเเสงไฟหน้าของรถยนต์วิ่งมาจากอีกทางด้วยความเร็วสูง เเละเสียงบีบเเตรลากยาวดังสนั่น !
ตูม!!! เสียงนั้นผมยังจำได้จนทุกวันนี้
ผมตะลึงกับภาพตรงหน้า รถยนต์คันนั้นชนมอเตอร์ไซด์ที่ตัดหน้าผมไปอย่างเเรง ร่างของชายเคราะห์ร้ายคนนั้น ลอยละลิ่วเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างจากมือ ผมใจหายวาบ เขาลอยมาตรงที่ผมนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่นั่นเเหล่ะครับ ด้วยสัญชาตญาณ ! ผมถีบตัวไปข้างหลังอย่างเเรง เพื่อหลบไม่ให้ชายคนนั้นลอยมากระเเทกผม ในขณะที่สายตายังมองไปที่ร่างนั้นที่ลอยมาใกล้ๆอย่างไม่กระพริบ ชายคนนั้น หันหน้ามา
ใบหน้าซีดขาวที่ผมเห็นบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขาหันหน้ามามองผม ตาเบิกโพลง เเสยะยิ้ม เหมือนจะหัวเราะร่า !!!
ในเสี้ยววินาทีที่ใบหน้านั้นลอยมาใกล้ ผมหลบไม่พ้น ผมยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณเพื่อป้องกันการกระเเทก ฉับพลัน
ทุกสิ่งทุกอย่าง จางหายไปต่อหน้าต่อตา!
ถูกเเล้วครับ จางหายไปหมดเลย ทั้งร่างที่ลอยละลิ่วมา จางหายไปก่อนจะถึงตัวผมไม่ถึงฟุต พอผมได้สติ มองหามอเตอร์ไซด์คันนั้น ทั้งรถยนต์ที่พุ่งเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่าง หายไปหมดเลย
ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมา ผมไม่ได้คิดไปในทางผีสางเลย คิดเเต่ว่าซวยเเล้ว เเต่พอมาเจอเเบบนี้ ผีหลอกชัดๆ
จู่ๆก็มีเเสงไฟส่องมาบนหัว ผมมองขึ้นไป ไฟทางถนนติดเเล้ว ถนนทั้งเส้นกลับมาสว่างอีกครั้ง ผมพยายามตั้งสติ ถุงกับข้าวผมยังอยู่ดี ตามตัวไม่มีเเผลอะไร เหลือบมองนาฬิกา เวลาหกโมงสามนาที...
ผมพยายามควบคุมอารมณ์ กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนน ระยะทางกว่าจะถึงบ้านก็อีกเกือบกิโล ผมกลัวอาการหอบจะกำเริบจะยิ่งเเย่เข้าไปใหญ่ จึงพยายามควบคุมสติ ไม่หักโหม เดินให้ถึงบ้าน เดินมาซักสองร้อยเมตร เริ่มใจชื้น มีรถวิ่งบนถนนเเล้วครับ ผมใช้เวลาอีกประมาณสิบนาทีกว่าจะถึงบ้าน กลับมาบ้านเจอคุณอาที่รอทานข้าวอยู่ เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆไม่ถึงชั่วโมงในเเกฟัง
อาผมฟังเเล้วก็หัวเราะ "โอ้ย ตาฝาดรึเปล่า หรือว่าเล่นยาวะเรา" เเต่เเกรู้ว่าผมไม่ใข่เด็กเเบบนั้นเเกเลยหยุดหัวเราะเเล้วบอกว่า "ไอ้เสือเอ้ย ตรงเเยกตรงนั้น กำเเพงมันทึบทั้งสี่ด้านเลย รถที่จะวิ่งผ่านเเยกจะไม่มีทางมองเห็นได้เลยว่ามีรถวิ่งมาตัดเเยกหรือเปล่า จะรู้ก็ตอนมันพ้นเข้ามาในสี่เเยกเเล้วเท่านั้นเเหล่ะ ชนกันบ่อยตั้งเเต่เมื่อก่อนเเล้ว "
วันนั้นผมกินข้าวเเทบไม่ลง อาบน้ำอาบท่าเสร็จนอนเลย เเต่นอนไม่หลับหรอกครับ หน้าซีดๆเเสยะยิ้มของผู้ชายคนนั้นยังติดตาทั้งคืน สงสัยว่า
การเดินเล่นของผมจะต้องเลิกเดินเส้นนี้ซะละมั้ง เฮ้อ !!
อนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องเเรกในชุดเรื่องสั้น "ธนพลกับเรื่องเล่าพิศวง" ครับ ตอนนี้เพิ่งลงไว้ตอนที่1 ถ้าชอบก็เข้าไปติดตามกันได้ครับ ขอบคุณครับ
http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1147297