สวัสดีคะ เพื่อนๆ พันทิพ ก่อนหน้านี้ หนูเคยเห็นกระทู้ ถามบ่อยมาก เกี่ยวกับการเรียนปริญญาเอก หนูเลย อยากลอง ตั้งกระทู้แสดง อีกมุม เล็กๆ ของเด็กน้อยตัวเล็กๆ คนนึงนะค่ะ
"ทำไมถึงเรียนปริญญาเอก" คำถามนี้ หนูได้รับบ่อยมากคะ คำตอบง่ายๆ ของหนูคือ "อยากให้ครอบครัวภูมิใจคะ" แต่ถ้าให้ตอบยาวๆ มันก็มีอะไรมากมายมาก นิสัยส่วนตัวหนูชอบความท้าทายคะ ชอบการเรียนรู้ หนูก็เลย อยากรู้ว่า ถ้าเราลองเรียนให้ถึงสุดๆ แล้วมันจะเป็นยังไง
สมัยเรียน ปริญญาตรี กลุ่มหนู 11 คนก็แยกกันไป บางคนก็ทำงานเลย ตอนนี้เงินเดือนหลายแสนแล้ว (วิศวกรน้ำมัน) ก็มี ส่วนใหญ่ต่อโท ทำงานดีๆ ก็มี บางคนก็เพิ่งทำงาน แตกต่างกันออกไป มีหนูคนเดียว ที่เรียนเมืองนอก และเรียนปริญญาเอก
สมัยเรียนโท หนู จบ โท จากมหาวิทยาลัยอันดับ 10 ของอเมริกา ตอนไปเทอมแรก แย่มากคะ แย่จริงๆ หนูไม่ได้เรียนภาษามาก่อนด้วย เปลี่ยนสาย (major) ด้วย ทุกอย่างยากไปหมด มหาวิทยาลัยอันดับสูงๆ ที่นี้จะเรียนเป็นทฤษฎี หมดคะ พิสูจน์โน้น พิสูจน์นี้ เราต้องรู้จริงอะไรจริง หนูเรียน operation research (อยู่ในสาขาย่อยของ วิศวะอุตสาหการ แต่ออกแนวเป็น การโมเดลสมการ จากปัญหาต่างๆ มากกว่าคะ) มันเป็น คณิตศาาตร์ที่ไม่มีตัวเลข เราต้องเขียนสมการ แล้วพิสูจน์สมการนั้น ด้วยหลักและเหตุผล มันเป็นอะไรที่อุดมคติมากๆ ล้วนๆ มันทรมานมากจริงๆ สมัยนั้น นอนน้อยมากเลยคะ ชีวิต มีแต่เรียน กับเรียน โชคดีว่า กลุ่มคนไทยที่นั้นทุกคนจะให้กำลังใจกันและกัน พอเราเห็นว่า ทุกคนสู้ไปด้วยกัน เราก็สู้ไปด้วยกัน
พอหนูจบโท ใช้เวลา 1.5 ปี หนูก็ตัดสินใจย้ายไปมหาวิทยาลัยที่อันดับต่ำกว่านี้ เพื่อให้ได้เรียนรู้อะไรที่เป็นจริง มากกว่าจะเรียนทฤษฎีอย่างเดียว คือ หนูไม่ได้อยากเป็น อจ. หนะคะ แล้วก็โชคดี ได้รับทุน (financial aid) จาก โปรเจคของ National sci foundation (NSF) ((ประมาณ สถาบันวิจัยแห่งชาติของอเมริกานะคะ) โปรเจคของหนู (อธิบายง่ายๆ) คือการหาสถานที่ (locations) ที่ดีที่สุด เพื่อสร้าง PHEV charging stations (สถานีชาร์ตรถไฟฟ้าแบบไฮบริด) ในเมืองเมืองนึง หนูก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ หาสมมุติฐาน เขียนสมการ หาวิธีการแก้สมการ เขียนโค้ด วิเคราะข้อมูล บลาบลาบลา ใช้เวลาทั้งหมด 3.5 ปีคะ จบตอนนี้เรียนจบแล้ว เป็นดร. เรียบร้อยแล้วคะ
ส่วนต่อจากนี้ คือ โปรเจคนี้ เขาขอให้หนู ทำต่อ ก็เลยต้องทำ post-doc ต่อคะ
สิ่งที่อยากจะอธิบายคือ พอตอนเราเรียนเอกนะคะ เราต้องอดทน อยู่กับสิ่งที่เราไม่รู้ว่า มันจะเป็นไปได้จริงมั้ย เอาความรู้ที่เราสะสมมาทั้งหมด บวกกับ เปเปอร์ ที่ต้องหาอ่านใหม่อยู่ทุกๆ วัน มันทรมานมากคะ มันไม่รู้ว่า จะเป็นยังไงต่อไป เวลาทำวิจัย เราต้องเสียเวลาทดลอง ถ้าผลออกมาดี ก็ดีไป ถ้าไม่ดี เราก็ต้องหาให้ได้ว่า ทำไมมันไม่ดี ก่อนที่เราจะหาทางออกใหม่ บางทีหนูก็ท้อแท้ ร้องไห้คิดถึงบ้าน homesick หนักมาก เคยหนักสุด ร้องไห้คาห้องประชุมกับ อจ. ก็มีคะ ตอนที่เข้าเอกใหม่ๆ มันยังไม่มีจุดยืนที่แน่ชัด ทุกอาทิตย์ที่เราต้องไปคุยกับ อจ. (หนูมีที่ปรึกษา 3 คนคะ เพราะทำ 3 เรื่องรวมๆ กัน เวลาประชุม ก็ มานั่งประจันหน้ากัน 3:1) ทุกครั้งที่ประชุม หนู ออกมาจากห้อง น้ำตาไหลพราก มันแย่มาก เราอ่านมาทั้งอาทิตย์ แต่ พอเจอหน้าอจ. เท่านั้น พูดอะไรไม่ออกเลย เหมือนที่อ่านมา มันไม่มีอะไรเลย เครียดมาก อยากหยุด อยากพอ ทำไมเราต้องทำอะไรยากๆ แบบนี้ หาทางออกไม่ได้ แล้วก็โดนกดดันจากคำถามที่ว่า "เมื่อไหร่จะจบ" มัน เจ็บปวด คือ ตอบไม่ได้อะ ขอแค่ น้ำตาหยุดไหลก่อนได้มั้ย... พอเราเขียนเปเปอร์ตีพิมพ์ มันก็ต้องกดดันกับ ภาษา ที่เราไม่ได้ถนัดมากนักด้วย สำคัญมากเลยว่า ทุกอย่างที่เราจะอ้างถึง ต้องมีที่มาที่ไป ทุกอย่างที่เราเขียน จะเป็นประวัติงานของเราในอนาคต มันต้องดีจริง ถึงจะได้ตีพิมพ์ นี้คือ ความยากเรื่องงานนะค่ะ ส่วนตัวมีโอกาสไปงามสัมนา conference บ่อยมากๆ ก็ได้เป็นคนพูดฟรีเซนมาหลายงาน (น่าจะเกิน 10) สิ่งที่ภูมิใจคือ เราเป็นคนไทย ที่สามารถนำเสนออะไรยากๆ ในสายตาคนอื่นได้ หนูภูมิใจมาก เวลาบอกฝรั่งว่า "I am from Thailand." (หนูมาจากเมืองไทยคะ ^^)
มาถึงความทรมานด้าน อารม ความรู้สึก หนูเป็นคนที่ทุกข์ทรมาน (suffer) เรื่องคิดถึงบ้าน homesick มาก หนูติดเพื่อน ติดครอบครัวมาก ปีๆ นึงกลับไทย 3-4 ครั้งก็มี แล้วก็กลับมาร้องไห้ที่อเมริกาต่ออีก 3-4 เดือน หลังๆ ก็จะแก้ด้วยการ ออกเดินทางเที่ยว backpack คนเดียว แต่ละเทอม เราจะเห็นคนเรียนจบ แล้วก็ได้กลับบ้าน เห็นเพื่อนสนิทกลับไปแต่ละเทอม มันหดหู่มาก แล้วทุกคนก็จะถามว่า "เมื่อไหร่เราจะจบ เมื่อไหร่จะกลับไทย" เป็นคำถามที่เหมือนคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คนโดนถาม เจ็บปวดมากคะ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่า มันจะจบได้เมื่อไหร่ ตอนปีแรก ของการเรียนปริญญาเอก หนู บังเอิญ ได้รับรู้ว่า ตัวเองเป็นโรคหัวใจ ต้องกลับไปผ่าตัดด่วนด้วยคะ ตอนนั้นก็งงๆ กับชีวิตไปพักนึง ต่อมา ปีที่แล้วนี้เอง คุณย่าที่หนูผูกพันธ์ ที่สุด เข้า icu หนู แทบล้มทั้งยืน สิ่งเหล่านี้ เป็นอะไรที่ทดสอบสติของหนูมากคะ (นี้ยังไม่นับเรื่อง เลิกกับแฟนด้วยนะ หนักเลยแหละ 555 )
ว่าด้วยเรื่องสัมคมคนไทยนิดนึงนะคะ เรื่องนี้ละเอียดอ่อน และกระทบความรู้สึกมาก มาก หนูไม่อยากพูดถึงมากคะ ขอละไว้นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขี้นินทามากๆ หนูทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ประจำ ขออธิบายตรงนี้นิดนึงนะคะ คนที่เป็น ดร. เขาก็มีสิ่งที่เขาถนัด (major) ของเขาคะ เขาไม่ใช่พระเจ้า ที่เก่งไปทุกเรื่อง ไม่มีใครไม่พลาดคะ เวลาล้ม มันก็เจ็บตัวกันทุกคนนะค่ะ ล้ม เพื่อจะยืนขึ้นใหม่ ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยอยากบอกใครเลยว่าเป็น ดร. เพราะว่า คนจะมีความคาดหวังในตัวหนูสูงมาก ต้องเก่ง ต้องเริ่ด ทั้งที่จริงๆ แล้ว หนูก็แค่เด็กน้อยคนนึง ที่ยังอยากเรียนรู้โลกกว้างๆ ใบนี้ไปเรื่อยๆ มีอะไรอีกมากมายคะ ที่หนูยังไม่รู้จริงๆ การที่เรา ว่าร้ายคนอื่น มันคือเรากำลังให้คำนิยาม ตัวเอง เหมือนคติของคนอินเดียพูดกันว่า "เวลาเราชี้นิ้วชี้ไปที่คนอื่น อีกสามนิ้วที่เหลือ มันชี้มาโดนเราคะ"
สรุป ตรงนี้ สั้นๆ นะคะ ว่า เรียนปริญญาเอกในเชิงวิชาการได้ใช้ความรู้ มากกว่า ได้ความรู้นะคะ สำหรับหนู เพราะหนู ต้องเอาทุกอย่างที่สะสมมาตลอดชีวิต มาทำให้สำเร็จให้ได้ เวลาล้ม ก็ต้องรีบลุก ในเชิงการใช้ชีวิต หนูได้เรียนรู้ชีวิตมากคะ ต้องอดทนสูงมาก ในขณะที่ทุกๆ วัน เราจะเห็นเพื่อนๆ โพส fb ไปปาร์ตี้บ้าง ไปงานแต่งงานบ้าง มีลูก มีแฟน แต่เราต้องนั่งทำ งานวิจัย โสดๆ เศร้าๆ คนเดียว สังคมก็แคบลง ไม่ได้มีเวลาไปหาเพื่อนมากนัก อยู่กับสิ่งเดิมๆ ที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ มันคือใจล้วนๆ ที่เราต้องอดทนมากๆ เลยคะ ท้อ ก็ต้องทน ทุกข์ก็ต้องทน หนูมีรูปครอบครัวในห้องเต็มไปหมด เพื่อเตือนตัวเองว่า ความสำเร็จของเรา คือ สิ่งที่พวกท่านรอคอย
ส่วนอนาคตของหนู หนูขอกลับเมืองไทยแน่นอนคะ เพราะหนูอยากกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัว หนุออกมาจากรังนานมากแล้ว อยากกลับไปดูแลบุพการี คุณย่า ป้า อา และอีกหลายๆ คน (หนูเป็นหลานคนเดียวของตระกูล)
ในวันที่ 10 พค นี้ คุณพ่อคุณแม่จะมารับปริญญาหนู ใบที่ 3 ในชีวิตหนู แต่ ใบนี้แตกต่างจากเดินนิดนึงคะ เพราะ พอหนูได้มันมา หนูจะก้มลงกราบเท้าท่านทั้ง 2 ต่อหน้า ทุกคนที่ หอประชุม แล้วจะกอดพวกท่านแน่นๆ พร้อมพูดว่า "หนูทำได้แล้วคะ" จากนั้น ก็จะรอ วันที่หนู ได้กลับบ้านของหนูสักที
ปล. กระทู้นี้ เป็นมุมมองเล็กๆ ของหนู จริงๆคะ จึงขออนุญาตว่า อยากได้ ความคิดเห็น ที่เป็นเชิงบวก นะคะ คิดบวกกันนะคะ ทุกคน ^^
ปล.2 มีอะไรอยากถาม ก็ถามได้คะ ยินดีตอบ
ปล.3 สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนียวที่ดีของหนู นอกจากการสนับสนุน (support) จากครอบครัวและเพื่อนๆ แล้ว ก็คือ "ธรรมะคะ" หนู สวดมนต์ เป็นประจำ และฟังธรรมะ เกือบทุกคืน ให้จิตใจ ปล่อยวาง อยู่กับ ปัจจุบัน และสู้กับสิ่งที่เราเลือกเดิน ละอดีต มองไปข้างหน้า เรื่อยๆ คะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รูปนี้ สมัย ป.โท คะ แต่มหาวิทยาลัยที่นี้สวยมาก แนบมาให้ดู เผื่อจะเป็นกำลังใจ ให้ใครที่กำลังรู้สึกหดหู่กับเรื่องเรียนนะคะ
ในวันที่หนูเรียนจบปริญญาเอก ที่อเมริกา ... และมองกลับมา ถึงสิ่งที่หนูได้รับ...
"ทำไมถึงเรียนปริญญาเอก" คำถามนี้ หนูได้รับบ่อยมากคะ คำตอบง่ายๆ ของหนูคือ "อยากให้ครอบครัวภูมิใจคะ" แต่ถ้าให้ตอบยาวๆ มันก็มีอะไรมากมายมาก นิสัยส่วนตัวหนูชอบความท้าทายคะ ชอบการเรียนรู้ หนูก็เลย อยากรู้ว่า ถ้าเราลองเรียนให้ถึงสุดๆ แล้วมันจะเป็นยังไง
สมัยเรียน ปริญญาตรี กลุ่มหนู 11 คนก็แยกกันไป บางคนก็ทำงานเลย ตอนนี้เงินเดือนหลายแสนแล้ว (วิศวกรน้ำมัน) ก็มี ส่วนใหญ่ต่อโท ทำงานดีๆ ก็มี บางคนก็เพิ่งทำงาน แตกต่างกันออกไป มีหนูคนเดียว ที่เรียนเมืองนอก และเรียนปริญญาเอก
สมัยเรียนโท หนู จบ โท จากมหาวิทยาลัยอันดับ 10 ของอเมริกา ตอนไปเทอมแรก แย่มากคะ แย่จริงๆ หนูไม่ได้เรียนภาษามาก่อนด้วย เปลี่ยนสาย (major) ด้วย ทุกอย่างยากไปหมด มหาวิทยาลัยอันดับสูงๆ ที่นี้จะเรียนเป็นทฤษฎี หมดคะ พิสูจน์โน้น พิสูจน์นี้ เราต้องรู้จริงอะไรจริง หนูเรียน operation research (อยู่ในสาขาย่อยของ วิศวะอุตสาหการ แต่ออกแนวเป็น การโมเดลสมการ จากปัญหาต่างๆ มากกว่าคะ) มันเป็น คณิตศาาตร์ที่ไม่มีตัวเลข เราต้องเขียนสมการ แล้วพิสูจน์สมการนั้น ด้วยหลักและเหตุผล มันเป็นอะไรที่อุดมคติมากๆ ล้วนๆ มันทรมานมากจริงๆ สมัยนั้น นอนน้อยมากเลยคะ ชีวิต มีแต่เรียน กับเรียน โชคดีว่า กลุ่มคนไทยที่นั้นทุกคนจะให้กำลังใจกันและกัน พอเราเห็นว่า ทุกคนสู้ไปด้วยกัน เราก็สู้ไปด้วยกัน
พอหนูจบโท ใช้เวลา 1.5 ปี หนูก็ตัดสินใจย้ายไปมหาวิทยาลัยที่อันดับต่ำกว่านี้ เพื่อให้ได้เรียนรู้อะไรที่เป็นจริง มากกว่าจะเรียนทฤษฎีอย่างเดียว คือ หนูไม่ได้อยากเป็น อจ. หนะคะ แล้วก็โชคดี ได้รับทุน (financial aid) จาก โปรเจคของ National sci foundation (NSF) ((ประมาณ สถาบันวิจัยแห่งชาติของอเมริกานะคะ) โปรเจคของหนู (อธิบายง่ายๆ) คือการหาสถานที่ (locations) ที่ดีที่สุด เพื่อสร้าง PHEV charging stations (สถานีชาร์ตรถไฟฟ้าแบบไฮบริด) ในเมืองเมืองนึง หนูก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ หาสมมุติฐาน เขียนสมการ หาวิธีการแก้สมการ เขียนโค้ด วิเคราะข้อมูล บลาบลาบลา ใช้เวลาทั้งหมด 3.5 ปีคะ จบตอนนี้เรียนจบแล้ว เป็นดร. เรียบร้อยแล้วคะ
ส่วนต่อจากนี้ คือ โปรเจคนี้ เขาขอให้หนู ทำต่อ ก็เลยต้องทำ post-doc ต่อคะ
สิ่งที่อยากจะอธิบายคือ พอตอนเราเรียนเอกนะคะ เราต้องอดทน อยู่กับสิ่งที่เราไม่รู้ว่า มันจะเป็นไปได้จริงมั้ย เอาความรู้ที่เราสะสมมาทั้งหมด บวกกับ เปเปอร์ ที่ต้องหาอ่านใหม่อยู่ทุกๆ วัน มันทรมานมากคะ มันไม่รู้ว่า จะเป็นยังไงต่อไป เวลาทำวิจัย เราต้องเสียเวลาทดลอง ถ้าผลออกมาดี ก็ดีไป ถ้าไม่ดี เราก็ต้องหาให้ได้ว่า ทำไมมันไม่ดี ก่อนที่เราจะหาทางออกใหม่ บางทีหนูก็ท้อแท้ ร้องไห้คิดถึงบ้าน homesick หนักมาก เคยหนักสุด ร้องไห้คาห้องประชุมกับ อจ. ก็มีคะ ตอนที่เข้าเอกใหม่ๆ มันยังไม่มีจุดยืนที่แน่ชัด ทุกอาทิตย์ที่เราต้องไปคุยกับ อจ. (หนูมีที่ปรึกษา 3 คนคะ เพราะทำ 3 เรื่องรวมๆ กัน เวลาประชุม ก็ มานั่งประจันหน้ากัน 3:1) ทุกครั้งที่ประชุม หนู ออกมาจากห้อง น้ำตาไหลพราก มันแย่มาก เราอ่านมาทั้งอาทิตย์ แต่ พอเจอหน้าอจ. เท่านั้น พูดอะไรไม่ออกเลย เหมือนที่อ่านมา มันไม่มีอะไรเลย เครียดมาก อยากหยุด อยากพอ ทำไมเราต้องทำอะไรยากๆ แบบนี้ หาทางออกไม่ได้ แล้วก็โดนกดดันจากคำถามที่ว่า "เมื่อไหร่จะจบ" มัน เจ็บปวด คือ ตอบไม่ได้อะ ขอแค่ น้ำตาหยุดไหลก่อนได้มั้ย... พอเราเขียนเปเปอร์ตีพิมพ์ มันก็ต้องกดดันกับ ภาษา ที่เราไม่ได้ถนัดมากนักด้วย สำคัญมากเลยว่า ทุกอย่างที่เราจะอ้างถึง ต้องมีที่มาที่ไป ทุกอย่างที่เราเขียน จะเป็นประวัติงานของเราในอนาคต มันต้องดีจริง ถึงจะได้ตีพิมพ์ นี้คือ ความยากเรื่องงานนะค่ะ ส่วนตัวมีโอกาสไปงามสัมนา conference บ่อยมากๆ ก็ได้เป็นคนพูดฟรีเซนมาหลายงาน (น่าจะเกิน 10) สิ่งที่ภูมิใจคือ เราเป็นคนไทย ที่สามารถนำเสนออะไรยากๆ ในสายตาคนอื่นได้ หนูภูมิใจมาก เวลาบอกฝรั่งว่า "I am from Thailand." (หนูมาจากเมืองไทยคะ ^^)
มาถึงความทรมานด้าน อารม ความรู้สึก หนูเป็นคนที่ทุกข์ทรมาน (suffer) เรื่องคิดถึงบ้าน homesick มาก หนูติดเพื่อน ติดครอบครัวมาก ปีๆ นึงกลับไทย 3-4 ครั้งก็มี แล้วก็กลับมาร้องไห้ที่อเมริกาต่ออีก 3-4 เดือน หลังๆ ก็จะแก้ด้วยการ ออกเดินทางเที่ยว backpack คนเดียว แต่ละเทอม เราจะเห็นคนเรียนจบ แล้วก็ได้กลับบ้าน เห็นเพื่อนสนิทกลับไปแต่ละเทอม มันหดหู่มาก แล้วทุกคนก็จะถามว่า "เมื่อไหร่เราจะจบ เมื่อไหร่จะกลับไทย" เป็นคำถามที่เหมือนคนถามไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คนโดนถาม เจ็บปวดมากคะ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่า มันจะจบได้เมื่อไหร่ ตอนปีแรก ของการเรียนปริญญาเอก หนู บังเอิญ ได้รับรู้ว่า ตัวเองเป็นโรคหัวใจ ต้องกลับไปผ่าตัดด่วนด้วยคะ ตอนนั้นก็งงๆ กับชีวิตไปพักนึง ต่อมา ปีที่แล้วนี้เอง คุณย่าที่หนูผูกพันธ์ ที่สุด เข้า icu หนู แทบล้มทั้งยืน สิ่งเหล่านี้ เป็นอะไรที่ทดสอบสติของหนูมากคะ (นี้ยังไม่นับเรื่อง เลิกกับแฟนด้วยนะ หนักเลยแหละ 555 )
ว่าด้วยเรื่องสัมคมคนไทยนิดนึงนะคะ เรื่องนี้ละเอียดอ่อน และกระทบความรู้สึกมาก มาก หนูไม่อยากพูดถึงมากคะ ขอละไว้นะคะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ขออธิบายตรงนี้นิดนึงนะคะ คนที่เป็น ดร. เขาก็มีสิ่งที่เขาถนัด (major) ของเขาคะ เขาไม่ใช่พระเจ้า ที่เก่งไปทุกเรื่อง ไม่มีใครไม่พลาดคะ เวลาล้ม มันก็เจ็บตัวกันทุกคนนะค่ะ ล้ม เพื่อจะยืนขึ้นใหม่ ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยอยากบอกใครเลยว่าเป็น ดร. เพราะว่า คนจะมีความคาดหวังในตัวหนูสูงมาก ต้องเก่ง ต้องเริ่ด ทั้งที่จริงๆ แล้ว หนูก็แค่เด็กน้อยคนนึง ที่ยังอยากเรียนรู้โลกกว้างๆ ใบนี้ไปเรื่อยๆ มีอะไรอีกมากมายคะ ที่หนูยังไม่รู้จริงๆ การที่เรา ว่าร้ายคนอื่น มันคือเรากำลังให้คำนิยาม ตัวเอง เหมือนคติของคนอินเดียพูดกันว่า "เวลาเราชี้นิ้วชี้ไปที่คนอื่น อีกสามนิ้วที่เหลือ มันชี้มาโดนเราคะ"
สรุป ตรงนี้ สั้นๆ นะคะ ว่า เรียนปริญญาเอกในเชิงวิชาการได้ใช้ความรู้ มากกว่า ได้ความรู้นะคะ สำหรับหนู เพราะหนู ต้องเอาทุกอย่างที่สะสมมาตลอดชีวิต มาทำให้สำเร็จให้ได้ เวลาล้ม ก็ต้องรีบลุก ในเชิงการใช้ชีวิต หนูได้เรียนรู้ชีวิตมากคะ ต้องอดทนสูงมาก ในขณะที่ทุกๆ วัน เราจะเห็นเพื่อนๆ โพส fb ไปปาร์ตี้บ้าง ไปงานแต่งงานบ้าง มีลูก มีแฟน แต่เราต้องนั่งทำ งานวิจัย โสดๆ เศร้าๆ คนเดียว สังคมก็แคบลง ไม่ได้มีเวลาไปหาเพื่อนมากนัก อยู่กับสิ่งเดิมๆ ที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ มันคือใจล้วนๆ ที่เราต้องอดทนมากๆ เลยคะ ท้อ ก็ต้องทน ทุกข์ก็ต้องทน หนูมีรูปครอบครัวในห้องเต็มไปหมด เพื่อเตือนตัวเองว่า ความสำเร็จของเรา คือ สิ่งที่พวกท่านรอคอย
ส่วนอนาคตของหนู หนูขอกลับเมืองไทยแน่นอนคะ เพราะหนูอยากกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัว หนุออกมาจากรังนานมากแล้ว อยากกลับไปดูแลบุพการี คุณย่า ป้า อา และอีกหลายๆ คน (หนูเป็นหลานคนเดียวของตระกูล)
ในวันที่ 10 พค นี้ คุณพ่อคุณแม่จะมารับปริญญาหนู ใบที่ 3 ในชีวิตหนู แต่ ใบนี้แตกต่างจากเดินนิดนึงคะ เพราะ พอหนูได้มันมา หนูจะก้มลงกราบเท้าท่านทั้ง 2 ต่อหน้า ทุกคนที่ หอประชุม แล้วจะกอดพวกท่านแน่นๆ พร้อมพูดว่า "หนูทำได้แล้วคะ" จากนั้น ก็จะรอ วันที่หนู ได้กลับบ้านของหนูสักที
ปล. กระทู้นี้ เป็นมุมมองเล็กๆ ของหนู จริงๆคะ จึงขออนุญาตว่า อยากได้ ความคิดเห็น ที่เป็นเชิงบวก นะคะ คิดบวกกันนะคะ ทุกคน ^^
ปล.2 มีอะไรอยากถาม ก็ถามได้คะ ยินดีตอบ
ปล.3 สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนียวที่ดีของหนู นอกจากการสนับสนุน (support) จากครอบครัวและเพื่อนๆ แล้ว ก็คือ "ธรรมะคะ" หนู สวดมนต์ เป็นประจำ และฟังธรรมะ เกือบทุกคืน ให้จิตใจ ปล่อยวาง อยู่กับ ปัจจุบัน และสู้กับสิ่งที่เราเลือกเดิน ละอดีต มองไปข้างหน้า เรื่อยๆ คะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้