วันนี้ขอเล่าเรื่องการเดินทางไปยังดินแดนที่เพื่อนฝูงหลายคนชอบไปกันจังงงงง ไม่รู้มันมีอะไรดีนักหนาประเทศสิงคโปร์เนี่ย พอดีผมกับภรรยาเป็นบุคคลชอบเที่ยวกันอยู่แล้ว และรู้กันว่าเทศกาลที่อยากจะหายตัวไปจากเมืองไทยมากที่สุดก็คือ สงกรานต์ ด้วยไม่ชอบการเล่นน้ำที่สนุกกันจนเลยเถิด เลยวางแผนกันว่าต้องหนีเที่ยวให้ได้
ก็มานึกว่าไปไหนดีที่ใกล้ๆ ไม่แพง และยังไม่เคยไป เลยเริ่มออกหาหนังสือท่องเที่ยวตามร้านหนังสือต่างๆ จนในที่สุดก็ได้มาเจอหนังสือ “come rain come shine Singapore” ของคุณน้อยแก่น หรือ nejimeji แห่ง instagram (พอดีผมติดตามพี่เค้าอยู่ครับ) เรียกว่าดูแล้วอยากไปเลยทีเดียว
เราสองคนเดินทางในวันที่ 12-16 เมษายน 2557 ซื้อตั๋วเดินทางก่อนตั้งนานนะ แต่มาเตรียมตัวหาข้อมูลอื่นๆอาทิตย์สุดท้ายเลย หานู้นหานี่กันให้วุ่น สุดท้ายเป้คนละใบ เก็บกล้องดิจิตอลวางไว้ในตู้ตามฟอร์ม แล้วเอากล้องฟิล์มไปลุย 3 ตัว ด้วยความหวาดหวั่นว่าจะรอดไหมเนี่ย ฟิล์มล้วนๆ ถ้าพลาดก็อดได้รูปเลยนะ ภรรยาผมบอกไม่เป็นไร เรามีไอโฟนเคลียร์เครื่องให้มีที่ว่างเยอะๆแล้วเอาไปถ่ายโลด โอเคตามนั้น
อุปกรณ์กล้องมีดังนี้ครับ
1. Nikon FM2N > ภรรยาแบก
2. Olympus OM-2N >ข้าพเจ้าเอง
3. LOMO LC-W > ข้าพเจ้าอีก
ส่วนฟิล์มหลังจากเก็บสะสมมานานเลยขนไป 16 ม้วน กะว่าเอาไปขายที่นู้นเลย 555
1.Agfa vista plus 400
2.Agfa vista plus 200
3.Tudorcolor xlx 200
4.Efiniti UXi super 200
5.Kodak coplorplus 200
6.Era 100
7.Solaris 100
8.Perutz 200
9.Myheart 200
10.Fuji 100 japan
11.zen 100
12.Solution 200
13.Fuji Natura 1600
14.Fuji c200
15.Kodak Ultramax 400
16.Lucky red 200
บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ว่าเราสองคนชอบถ่ายภาพ แต่ไม่ได้ถ่ายเก่งเลย เป็นมือใหม่สายกล้องฟิล์มกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นภาพที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้ อาจจะสว่างบ้างมืดบ้าง ก็ขออภัยกันไว้ก่อนเลยครับ และทุกภาพไม่ได้แต่งนะครับ ย่อแล้วใส่ตัวหนังสือเป็นอันจบ เป็นอีกเรื่องของกล้องฟิล์มครับที่ผมชอบ
โอเคลุย
ออกเดินทางที่สุวรรณภูมิประมาณ บ่ายสองกว่าๆครับ
บินราวๆ 2ชั่วโมงกว่าๆ ก็เริ่มเห็นเกาะสิงคโปร์ สภาพอากาศดีเลยทีเดียว แต่เวลาเค้าเร็วกว่าบ้านเราชั่วโมงนึง ไปถึงบ้านเค้าก็เย็นมากแล้วครับ เข้าสู่สนามบิน Changi (ตกลงอ่านว่า ชางงีใช่มั้ย อ่านว่าชางฮีมาตลอด) ผมก็ออกเดินหา ซิมสิงคโปร์ก่อนเลย เพราะว่ามาเที่ยวคราวนี้อยากใช้เน็ตด้วยและถ้าจะหวังพึ่งเฉพาะ WIFI เห็นทีคงไม่รอดแน่ ก่อนมาหาข้อมูลเล็กน้อยว่าไปซื้อ ซิม ที่ 7 แล้วบอกให้เค้าเติมเงินเติมแพคเกตเน็ตให้ด้วยถูกดีไม่กี่เหรียญ แต่เนื่องด้วยภาษาอังกฤษที่อ่อนด้อยของผมอาจจะได้ซาลาเปามาแทนซิม เห็นมีบางคนบอกซื้อซิมที่สนามบินเล้ยยย 38 เหรียญ ใส่ปุ้บเล่นเน็ตได้ฟรี 1 GB ใน 7 วัน เออแล้วผมก็เจอแฮะ
มันเป็นของ Singtel สีแดงๆ ราคา 38 เหรียญ โทรได้เล่นเน็ตได้ ก็เอาวะซื้อก็ซื้อกะว่าใช้เน็ตได้แล้วก็จะได้แชร์ Hotspot ให้ภรรยาด้วยเลยน่าจะคุ้ม ก็เอาได้มา 1 อันใส่ไอโฟน 5s ลองโทรหาเพื่อนที่อยู่ที่นี่ดู ก็โทรได้ แต่มันบอกอย่าโทรมาบ่อยเพราะมันเสียตังด้วยถ้ารับสาย เกิดมาเพิ่งเคยเห็น รับสายเสียตังค์!
โอเค รายการต่อไป เค้าบอกเดินทางที่นี่ต้องนั่ง MRT กับรถเมล์ โดยใช้ EZY LINK บัตรสารพัดประโยชน์ ก็เอาๆเดินลง MRT ไปหาซื้อ มันเป็นบัตรที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ ซื้อของได้ ก็เออสะดวกดีแฮะ ผมซื้อ 2 ใบ ราคาใบละ 12 เหรียญ โดยเค้าจะยึด ไปก่อนเลย 5 เหรียญ และปล่อยให้เราใช้ได้ 7 เหรียญ มีอายุบัตร 5 ปี ผมเลยไปเติมเงินลงบัตรกันอีกคนละ 20 เหรียญ กะว่าจะนั่งรถไฟกันให้ทั่วประเทศเลย
คืนแรกเราจะไปพักกันที่ 85 Beach gaden hotel อยู่ใกล้ๆ MRT สถานี Bugis ก็หาในไอโฟนว่าอยู่ตรงไหน แล้วก็นั่ง MRT ไป ก็ไม่ยากนี่นา นั่งไปเรื่อยๆ 2-3 สถานี รถไฟดันวิ่งกลับสนามบินซะงั้น มาดูอีกทีมันต้องลงต่อที่สถานี Tanah Merah ก่อนยิงยาว ก็ต้องนั่งกลับมาใหม่ แล้วเปลี่ยนขบวนที่ Tanah Merah แล้วยิงยาวไป Bugis เลย
เห็นชื่อโรงแรมเขียนว่า Beach gaden มันต้องติดทะเลแหงๆ พอมาถึง คุณพระ! ติดเลยร้านอาหารจีนเป็นตับ มีสวนโล่งๆให้หายใจอยู่หน้าตึกนิดนึง ขึ้นไปชั้นสอง เช็คอินแล้วเดินเข้าไปในห้อง คุณพระ! อีกครั้ง หาหน้าต่างไม่เจอ ไม่มี ไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องแคบๆเดี่ยวใหญ่คับห้อง ปลายตีนเป็นกระจกกั้นห้องน้ำ มีอ่างล่างหน้าอยู่นอกห้อง ที่เวลาใช้ต้องบินเอวหลบตู้ข้างๆ มีทีวี แต่หารีโมทไม่เจอ เลยเดินไปถามพนักงานว่า ไอว้อท จะดูทีวี พี่มีรีโมทไหม ผมหาไม่เจอ เค้าตอบมาประมาณว่า back TV back TV อ๋อวางไว้หลังทีวี ผมเดินกลับมาดูใหม่ หลังทีวี อืมมมมไม่มี เค้าเลยเดินมาเองเลย ชี้ให้ดูหลังทีวี ว่านี่ไง ปุ่มเปิดปิด ปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเปลี่ยนช่อง ให้กดเอาเลยที่ “หลังทีวี” โอเค….ตกลงพี่ไม่มีรีโมทนั่นเอง
ซักพักแอร์มันไม่เย็นซักที เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิติดที่ผนัง พอกดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยเดินไปถามพี่เค้าใหม่ เค้าบอกสั้นๆว่า “Lock” โอเค…….
เดินกลับมาจะอาบน้ำ หาผ้าเช็ดตัวไม่เจอ เดินไปถามอีก เค้าบอกอ่อลืมไป ลืมเอาไปให้ ได้มาสองผืน อาบน้ำเสร็จ ปิดทีวีที่หลังทีวี ปิดไฟ นอนแบบทีเดียวรวดถึงเช้าเลย
13.04.57-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พอเช้าปุ้บ มันไม่มีหน้าต่างไง เลยไม่แน่ใจว่ามันจะแดดออกหรือฝนตก ได้ยินมาว่าที่นี่มันฝนตกบ่อย เลยเอาร่มมาด้วย ภรรยาผมก็เตรียมใส่เสื้อแขนยาวเลย เพราะเผื่อว่าฝนตกแล้วเดี๋ยวหนาว ปรากฎว่าเดินออกมา แดดเปรี้ยงเลย ร้อนและอับมากๆ นี่แหละครับ ผลของการไม่มีหน้าต่าง และการขี้เกียจเดินลงมาดูอากาศข้างล่าง
“คนสิงคโปร์ตื่นสาย” เพื่อนผมบอกไว้ เราลงมากัน 7 โมงกว่าปรากฎว่าถนนโล่งสุดๆ ไม่มีคนเดินกันเลย
วันนี้เช้าเราวางแผนว่าจะไปแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตของเค้าคือ รูปปั้น สิงโตน้ำ หรือ Merlion ก่อนเลย แต่จะไม่นั่งรถจะใช้เดินชิลๆกันประมาณ กิโลกว่าๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และจะฝากเป้ไว้ที่ โรงแรมนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาตอนเที่ยงเพื่อย้ายที่พัก
โอเคมาเดินกัน
อาคารบ้านเค้าในย่านที่พักครับ
เห็นม่ะรถโล่งมาก
เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงสถานี Esplanade ก็เจอสวนใหญ่ๆให้ได้เดินถ่ายรูปเพลินๆครับ
อากาศแถวๆสวนจะดีหน่อยครับไม่ร้อนมาก
มองไปไกลๆจะเห็นโรงละคร Esplanade ครับ
บางคนเรียกทุเรียน บางคนเรียกตาแมลงวัน
ไม่ได้แวะครับเดินต่อไป Merlion เลย
ชอบนะครับที่ประเทศเค้าใส่ใจเรื่องต้นไม้ มันช่วยได้เยอะเลย ส่วนเค้าจะไปกว้านซื้อมาจากประเทศอะไรบ้างก็อีกเรื่องครับ ได้ยินว่าซื้อมาปลูกเยอะเลยทีเดียวไม่รู้จริงหรือเปล่า
หลุดจากสวนมาก็จะเจอกลุ่มตึกสูงในย่านธุรกิจของเค้าแล้วครับ
มีตึกอะไรบ้างไหนขอดูหน่อย
พอเดินลอดสะพานมาก็จะเจอกับ อ่าวเล็กๆของเค้าครับ เรียกว่า Marina bay แป็บเดียวเจอทะเลล่ะง่ายจัง
และในที่สุดก็ได้มาเห็น “สิงโตอ้วก” ในตำนานซะที
ตรงนี้นักท่องเที่ยวบานเลยครับ ต้องเข้าคิวกันถ่ายรูปเลยทีเดียว
รูปข้างบน เมอไลอ้อน
รูปข้างล่าง เบลอไลอ้อน
ดันลืมปรับระยะโฟกัสของเจ้า LOMO
ถ้ามองเลยอ่าว Marina bay ออกไปจะเจอกับตึกรูปทรงประหลาดที่มีหลายชื่อเรียกเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น บานาน่าโบ้ท ปลาดุก เรือ เพียบอ่ะ แต่ผมขอเรียกว่า ตึกที่รองรีดละกัน ดูแล้วเหมือนที่รองรีดผ้า ที่ภรรยาใช้มากๆ
แต่ชื่อจริงๆคือ อาคาร Marina bay sands ครับ
พอดีพระอาทิตย์ขึ้นทางนู้น เลยย้อนแสงมืดตึ้บ
ทางด้านซ้ายของ Marina bay sands คืออาคาร Art Sciance Museum ครับ
ถัดไปทางซ้ายคือชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer ครับ
เดินถ่ายรูปกันจนร้อน และเริ่มหิว ต้องหาอะไรกินแล้วละครับ
เดินลอดสะพานกลับไปหาถนนก่อนเลย
อ่านในคู่มืออีกเล่มนึงที่เพิ่งซื้อมาวันเดียวก่อนเดินทาง เค้าบอกว่ามีร้านอาหารเช้าชื่อดังอยู่ใกล้ MRT สถานี Raffles Place ชื่อร้าน Kaya Toast เดินไปแป็ปเดียวก็ถึง เราสองคนก็เดินลากท้องร้องไป เดินหาอยู่นานมากแต่ไม่เจอ ไปถามทางคนแถวนั้นเค้าก็ชี้มือให้เดินไปเรื่อยๆ พอไปถึง ไม่เจอร้าน แต่เจอ food center มีร้านนึงขายอาหารเช้าคล้ายๆกันอยู่เป็นคนจีน เลยสั่งขนมปัง กาแฟ ไข่ลวกมากินกันสองคน มองดูราคาน้ำเปล่า โอ้! ขวดละ 2 เหรียญ ก็ประมาณ 52 บาทไทย (ค่าเงินตอนผมแลกประมาณ 1 เหรียญ เท่ากับ 26 บาท) สัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ซื้อน้ำเปล่ากินเด็ดขาด จะกินน้ำที่โรงแรมแจกเท่านั้น
นั่งกินเสร็จไม่อื่มเลย เลยไปเดินหา 7 กะซดมาม่าเนี่ยแหละ ปรากฎว่าเจอมาม่าไทยตั้งตระหง่านขายอยู่ในร้าน เลยจัดไปคนละกล่องแล้วไปนั่งกินในสวนเล็กๆแถว MRT กินไปก็นั่งดูสวนผนังตึกที่บ้านเค้าไป
กินอิ่มก็หาข้อมูลเที่ยวต่อ พอดีเจอสถานที่นึงน่าไปมาก แต่ต้องนั่งรถเมล์ไป ทำไงดีล่ะไม่เคยนั่งด้วยไม่รู้ยากไหม ก่อนอื่นก็นั่ง MRT ที่สถานี Raffles Place ไปลงที่ สถานี HarbourFront แล้วต่อรถเมล์สาย 145 ก็เออลองดู ไปนั่งรอรถที่หน้าอาคารชื่อ VIVO CITY ก็นั่งดูเค้าขึ้นกัน อ๋อขึ้นข้างหน้า แล้วใช้บัตร EZY LINK แตะที่เครื่อง พอตอนลง ให้ลงข้างหลัง แล้วเอาบัตรมาแตะอีกที โอเคๆเป็นล่ะๆ
พอ 145 มาผมขึ้นเลย เอาบัตรแตะเลย แล้วเดินไปนั่ง ปรากฎ คนขับเรียกมาแตะใหม่บอกว่าให้แตะที่ที่แป้นของเครื่อง ไม่ใช่แตะที่หน้าจอของเครื่อง ! หน้าแตก แขกไม่รับเย็บเลย
เอาฟิล์มใส่กล้อง ไปท่องเมืองสิงค์
วันนี้ขอเล่าเรื่องการเดินทางไปยังดินแดนที่เพื่อนฝูงหลายคนชอบไปกันจังงงงง ไม่รู้มันมีอะไรดีนักหนาประเทศสิงคโปร์เนี่ย พอดีผมกับภรรยาเป็นบุคคลชอบเที่ยวกันอยู่แล้ว และรู้กันว่าเทศกาลที่อยากจะหายตัวไปจากเมืองไทยมากที่สุดก็คือ สงกรานต์ ด้วยไม่ชอบการเล่นน้ำที่สนุกกันจนเลยเถิด เลยวางแผนกันว่าต้องหนีเที่ยวให้ได้
ก็มานึกว่าไปไหนดีที่ใกล้ๆ ไม่แพง และยังไม่เคยไป เลยเริ่มออกหาหนังสือท่องเที่ยวตามร้านหนังสือต่างๆ จนในที่สุดก็ได้มาเจอหนังสือ “come rain come shine Singapore” ของคุณน้อยแก่น หรือ nejimeji แห่ง instagram (พอดีผมติดตามพี่เค้าอยู่ครับ) เรียกว่าดูแล้วอยากไปเลยทีเดียว
เราสองคนเดินทางในวันที่ 12-16 เมษายน 2557 ซื้อตั๋วเดินทางก่อนตั้งนานนะ แต่มาเตรียมตัวหาข้อมูลอื่นๆอาทิตย์สุดท้ายเลย หานู้นหานี่กันให้วุ่น สุดท้ายเป้คนละใบ เก็บกล้องดิจิตอลวางไว้ในตู้ตามฟอร์ม แล้วเอากล้องฟิล์มไปลุย 3 ตัว ด้วยความหวาดหวั่นว่าจะรอดไหมเนี่ย ฟิล์มล้วนๆ ถ้าพลาดก็อดได้รูปเลยนะ ภรรยาผมบอกไม่เป็นไร เรามีไอโฟนเคลียร์เครื่องให้มีที่ว่างเยอะๆแล้วเอาไปถ่ายโลด โอเคตามนั้น
อุปกรณ์กล้องมีดังนี้ครับ
1. Nikon FM2N > ภรรยาแบก
2. Olympus OM-2N >ข้าพเจ้าเอง
3. LOMO LC-W > ข้าพเจ้าอีก
ส่วนฟิล์มหลังจากเก็บสะสมมานานเลยขนไป 16 ม้วน กะว่าเอาไปขายที่นู้นเลย 555
1.Agfa vista plus 400
2.Agfa vista plus 200
3.Tudorcolor xlx 200
4.Efiniti UXi super 200
5.Kodak coplorplus 200
6.Era 100
7.Solaris 100
8.Perutz 200
9.Myheart 200
10.Fuji 100 japan
11.zen 100
12.Solution 200
13.Fuji Natura 1600
14.Fuji c200
15.Kodak Ultramax 400
16.Lucky red 200
บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ว่าเราสองคนชอบถ่ายภาพ แต่ไม่ได้ถ่ายเก่งเลย เป็นมือใหม่สายกล้องฟิล์มกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นภาพที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้ อาจจะสว่างบ้างมืดบ้าง ก็ขออภัยกันไว้ก่อนเลยครับ และทุกภาพไม่ได้แต่งนะครับ ย่อแล้วใส่ตัวหนังสือเป็นอันจบ เป็นอีกเรื่องของกล้องฟิล์มครับที่ผมชอบ
โอเคลุย
ออกเดินทางที่สุวรรณภูมิประมาณ บ่ายสองกว่าๆครับ
บินราวๆ 2ชั่วโมงกว่าๆ ก็เริ่มเห็นเกาะสิงคโปร์ สภาพอากาศดีเลยทีเดียว แต่เวลาเค้าเร็วกว่าบ้านเราชั่วโมงนึง ไปถึงบ้านเค้าก็เย็นมากแล้วครับ เข้าสู่สนามบิน Changi (ตกลงอ่านว่า ชางงีใช่มั้ย อ่านว่าชางฮีมาตลอด) ผมก็ออกเดินหา ซิมสิงคโปร์ก่อนเลย เพราะว่ามาเที่ยวคราวนี้อยากใช้เน็ตด้วยและถ้าจะหวังพึ่งเฉพาะ WIFI เห็นทีคงไม่รอดแน่ ก่อนมาหาข้อมูลเล็กน้อยว่าไปซื้อ ซิม ที่ 7 แล้วบอกให้เค้าเติมเงินเติมแพคเกตเน็ตให้ด้วยถูกดีไม่กี่เหรียญ แต่เนื่องด้วยภาษาอังกฤษที่อ่อนด้อยของผมอาจจะได้ซาลาเปามาแทนซิม เห็นมีบางคนบอกซื้อซิมที่สนามบินเล้ยยย 38 เหรียญ ใส่ปุ้บเล่นเน็ตได้ฟรี 1 GB ใน 7 วัน เออแล้วผมก็เจอแฮะ
มันเป็นของ Singtel สีแดงๆ ราคา 38 เหรียญ โทรได้เล่นเน็ตได้ ก็เอาวะซื้อก็ซื้อกะว่าใช้เน็ตได้แล้วก็จะได้แชร์ Hotspot ให้ภรรยาด้วยเลยน่าจะคุ้ม ก็เอาได้มา 1 อันใส่ไอโฟน 5s ลองโทรหาเพื่อนที่อยู่ที่นี่ดู ก็โทรได้ แต่มันบอกอย่าโทรมาบ่อยเพราะมันเสียตังด้วยถ้ารับสาย เกิดมาเพิ่งเคยเห็น รับสายเสียตังค์!
โอเค รายการต่อไป เค้าบอกเดินทางที่นี่ต้องนั่ง MRT กับรถเมล์ โดยใช้ EZY LINK บัตรสารพัดประโยชน์ ก็เอาๆเดินลง MRT ไปหาซื้อ มันเป็นบัตรที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ ซื้อของได้ ก็เออสะดวกดีแฮะ ผมซื้อ 2 ใบ ราคาใบละ 12 เหรียญ โดยเค้าจะยึด ไปก่อนเลย 5 เหรียญ และปล่อยให้เราใช้ได้ 7 เหรียญ มีอายุบัตร 5 ปี ผมเลยไปเติมเงินลงบัตรกันอีกคนละ 20 เหรียญ กะว่าจะนั่งรถไฟกันให้ทั่วประเทศเลย
คืนแรกเราจะไปพักกันที่ 85 Beach gaden hotel อยู่ใกล้ๆ MRT สถานี Bugis ก็หาในไอโฟนว่าอยู่ตรงไหน แล้วก็นั่ง MRT ไป ก็ไม่ยากนี่นา นั่งไปเรื่อยๆ 2-3 สถานี รถไฟดันวิ่งกลับสนามบินซะงั้น มาดูอีกทีมันต้องลงต่อที่สถานี Tanah Merah ก่อนยิงยาว ก็ต้องนั่งกลับมาใหม่ แล้วเปลี่ยนขบวนที่ Tanah Merah แล้วยิงยาวไป Bugis เลย
เห็นชื่อโรงแรมเขียนว่า Beach gaden มันต้องติดทะเลแหงๆ พอมาถึง คุณพระ! ติดเลยร้านอาหารจีนเป็นตับ มีสวนโล่งๆให้หายใจอยู่หน้าตึกนิดนึง ขึ้นไปชั้นสอง เช็คอินแล้วเดินเข้าไปในห้อง คุณพระ! อีกครั้ง หาหน้าต่างไม่เจอ ไม่มี ไม่มีหน้าต่าง เป็นห้องแคบๆเดี่ยวใหญ่คับห้อง ปลายตีนเป็นกระจกกั้นห้องน้ำ มีอ่างล่างหน้าอยู่นอกห้อง ที่เวลาใช้ต้องบินเอวหลบตู้ข้างๆ มีทีวี แต่หารีโมทไม่เจอ เลยเดินไปถามพนักงานว่า ไอว้อท จะดูทีวี พี่มีรีโมทไหม ผมหาไม่เจอ เค้าตอบมาประมาณว่า back TV back TV อ๋อวางไว้หลังทีวี ผมเดินกลับมาดูใหม่ หลังทีวี อืมมมมไม่มี เค้าเลยเดินมาเองเลย ชี้ให้ดูหลังทีวี ว่านี่ไง ปุ่มเปิดปิด ปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเปลี่ยนช่อง ให้กดเอาเลยที่ “หลังทีวี” โอเค….ตกลงพี่ไม่มีรีโมทนั่นเอง
ซักพักแอร์มันไม่เย็นซักที เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิติดที่ผนัง พอกดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยเดินไปถามพี่เค้าใหม่ เค้าบอกสั้นๆว่า “Lock” โอเค…….
เดินกลับมาจะอาบน้ำ หาผ้าเช็ดตัวไม่เจอ เดินไปถามอีก เค้าบอกอ่อลืมไป ลืมเอาไปให้ ได้มาสองผืน อาบน้ำเสร็จ ปิดทีวีที่หลังทีวี ปิดไฟ นอนแบบทีเดียวรวดถึงเช้าเลย
13.04.57-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พอเช้าปุ้บ มันไม่มีหน้าต่างไง เลยไม่แน่ใจว่ามันจะแดดออกหรือฝนตก ได้ยินมาว่าที่นี่มันฝนตกบ่อย เลยเอาร่มมาด้วย ภรรยาผมก็เตรียมใส่เสื้อแขนยาวเลย เพราะเผื่อว่าฝนตกแล้วเดี๋ยวหนาว ปรากฎว่าเดินออกมา แดดเปรี้ยงเลย ร้อนและอับมากๆ นี่แหละครับ ผลของการไม่มีหน้าต่าง และการขี้เกียจเดินลงมาดูอากาศข้างล่าง
“คนสิงคโปร์ตื่นสาย” เพื่อนผมบอกไว้ เราลงมากัน 7 โมงกว่าปรากฎว่าถนนโล่งสุดๆ ไม่มีคนเดินกันเลย
วันนี้เช้าเราวางแผนว่าจะไปแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตของเค้าคือ รูปปั้น สิงโตน้ำ หรือ Merlion ก่อนเลย แต่จะไม่นั่งรถจะใช้เดินชิลๆกันประมาณ กิโลกว่าๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และจะฝากเป้ไว้ที่ โรงแรมนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาตอนเที่ยงเพื่อย้ายที่พัก
โอเคมาเดินกัน
อาคารบ้านเค้าในย่านที่พักครับ
เห็นม่ะรถโล่งมาก
เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงสถานี Esplanade ก็เจอสวนใหญ่ๆให้ได้เดินถ่ายรูปเพลินๆครับ
อากาศแถวๆสวนจะดีหน่อยครับไม่ร้อนมาก
มองไปไกลๆจะเห็นโรงละคร Esplanade ครับ
บางคนเรียกทุเรียน บางคนเรียกตาแมลงวัน
ไม่ได้แวะครับเดินต่อไป Merlion เลย
ชอบนะครับที่ประเทศเค้าใส่ใจเรื่องต้นไม้ มันช่วยได้เยอะเลย ส่วนเค้าจะไปกว้านซื้อมาจากประเทศอะไรบ้างก็อีกเรื่องครับ ได้ยินว่าซื้อมาปลูกเยอะเลยทีเดียวไม่รู้จริงหรือเปล่า
หลุดจากสวนมาก็จะเจอกลุ่มตึกสูงในย่านธุรกิจของเค้าแล้วครับ
มีตึกอะไรบ้างไหนขอดูหน่อย
พอเดินลอดสะพานมาก็จะเจอกับ อ่าวเล็กๆของเค้าครับ เรียกว่า Marina bay แป็บเดียวเจอทะเลล่ะง่ายจัง
และในที่สุดก็ได้มาเห็น “สิงโตอ้วก” ในตำนานซะที
ตรงนี้นักท่องเที่ยวบานเลยครับ ต้องเข้าคิวกันถ่ายรูปเลยทีเดียว
รูปข้างบน เมอไลอ้อน
รูปข้างล่าง เบลอไลอ้อน
ดันลืมปรับระยะโฟกัสของเจ้า LOMO
ถ้ามองเลยอ่าว Marina bay ออกไปจะเจอกับตึกรูปทรงประหลาดที่มีหลายชื่อเรียกเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น บานาน่าโบ้ท ปลาดุก เรือ เพียบอ่ะ แต่ผมขอเรียกว่า ตึกที่รองรีดละกัน ดูแล้วเหมือนที่รองรีดผ้า ที่ภรรยาใช้มากๆ
แต่ชื่อจริงๆคือ อาคาร Marina bay sands ครับ
พอดีพระอาทิตย์ขึ้นทางนู้น เลยย้อนแสงมืดตึ้บ
ทางด้านซ้ายของ Marina bay sands คืออาคาร Art Sciance Museum ครับ
ถัดไปทางซ้ายคือชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer ครับ
เดินถ่ายรูปกันจนร้อน และเริ่มหิว ต้องหาอะไรกินแล้วละครับ
เดินลอดสะพานกลับไปหาถนนก่อนเลย
อ่านในคู่มืออีกเล่มนึงที่เพิ่งซื้อมาวันเดียวก่อนเดินทาง เค้าบอกว่ามีร้านอาหารเช้าชื่อดังอยู่ใกล้ MRT สถานี Raffles Place ชื่อร้าน Kaya Toast เดินไปแป็ปเดียวก็ถึง เราสองคนก็เดินลากท้องร้องไป เดินหาอยู่นานมากแต่ไม่เจอ ไปถามทางคนแถวนั้นเค้าก็ชี้มือให้เดินไปเรื่อยๆ พอไปถึง ไม่เจอร้าน แต่เจอ food center มีร้านนึงขายอาหารเช้าคล้ายๆกันอยู่เป็นคนจีน เลยสั่งขนมปัง กาแฟ ไข่ลวกมากินกันสองคน มองดูราคาน้ำเปล่า โอ้! ขวดละ 2 เหรียญ ก็ประมาณ 52 บาทไทย (ค่าเงินตอนผมแลกประมาณ 1 เหรียญ เท่ากับ 26 บาท) สัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ซื้อน้ำเปล่ากินเด็ดขาด จะกินน้ำที่โรงแรมแจกเท่านั้น
นั่งกินเสร็จไม่อื่มเลย เลยไปเดินหา 7 กะซดมาม่าเนี่ยแหละ ปรากฎว่าเจอมาม่าไทยตั้งตระหง่านขายอยู่ในร้าน เลยจัดไปคนละกล่องแล้วไปนั่งกินในสวนเล็กๆแถว MRT กินไปก็นั่งดูสวนผนังตึกที่บ้านเค้าไป
กินอิ่มก็หาข้อมูลเที่ยวต่อ พอดีเจอสถานที่นึงน่าไปมาก แต่ต้องนั่งรถเมล์ไป ทำไงดีล่ะไม่เคยนั่งด้วยไม่รู้ยากไหม ก่อนอื่นก็นั่ง MRT ที่สถานี Raffles Place ไปลงที่ สถานี HarbourFront แล้วต่อรถเมล์สาย 145 ก็เออลองดู ไปนั่งรอรถที่หน้าอาคารชื่อ VIVO CITY ก็นั่งดูเค้าขึ้นกัน อ๋อขึ้นข้างหน้า แล้วใช้บัตร EZY LINK แตะที่เครื่อง พอตอนลง ให้ลงข้างหลัง แล้วเอาบัตรมาแตะอีกที โอเคๆเป็นล่ะๆ
พอ 145 มาผมขึ้นเลย เอาบัตรแตะเลย แล้วเดินไปนั่ง ปรากฎ คนขับเรียกมาแตะใหม่บอกว่าให้แตะที่ที่แป้นของเครื่อง ไม่ใช่แตะที่หน้าจอของเครื่อง ! หน้าแตก แขกไม่รับเย็บเลย