ขอคำปรึกษาค่ะ ลูกน้องมาขอยืมเงิน 80000 จะช่วยยังไงดี T T

ขออนุญาต tag ปัญหาชีวิต เพราะเรากลุ้มค่ะ คิดไม่ออกว่าจะทำไงดี

สวัสดีค่ะ จะขออธิบายสักยืดยาวหน่อยนะคะ เพื่อให้เพื่อนสมาชิกจะได้นำมาประมวลเหตุผลได้

บริษัทที่เราทำอยู่เป็นกิจการครอบครัว พี่น้อง3คนช่วยกันบริหาร เป็นกิจการแบบกึ่งอุตสาหกรรม มีพนักงานราวๆ 200คน
เงินเดือนของพนักงานโดยทั่วไปคือแรงงานขั้นต่ำ300บาท พนักงานโดยรวมไม่ต้องใช้วุฒิสูง แค่ ม.3 ก็เข้าทำงานได้
สรุปคือพนักงานจะเป็นคนประมาณตาสีตาสาจาก ตจว มาทำงานในเมืองนั่นเอง

พี่ของเราให้คนงาน "ยืมเงิน" ของบริษัท ไปใช้ธุระส่วนตัว โดยที่ไม่ปรึกษาพี่น้องคนอื่นมาหลายปีแล้ว
เหตุผลหลักๆคือ สงสาร และเหตุผลที่ พนง มาขอยืมกันส่วนใหญ่คือ ขอไปสร้างบ้าน จ่ายค่าเทอมลูก พาญาติไปหาหมอรักษา

เมื่อปลายปีที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ แจ๊กพอตแตก พอดีพี่ไม่อยู่ไปธุระ ตจว หลายวัน
เราอยู่เฝ้าบริษัท พวก พนง ที่เคยยืมเงินเป็นประจำเกิดอาการเงินขาดมือ ทนไม่ไหวเลยมาขอยืมจากเรา
เราก็งงแบบ อะไรฟระ มีมาขอกันแบบนี้ด้วยเหรอ เลขาก็บอกว่า เค้าขึ้นมาขอกันเป็นประจำค่ะ แล้วก็ยื่นสมุดบัญชีให้ดู
อิชั้นเห็นแล้วก็รีบคว้าเครื่องคิดเลข กดๆตัวเลขรวมกัน ปรากฎว่าเงินที่ พนง มา "ขอยืม" ติดตัวแดงเป็นหลักล้าน!!!
นี่ยังไม่รวมหนี้สูญ ยืมแล้วหายไปเลยอีกหลายแสน
กรูแทบจะเป็นลมคาสมุดบัญชี...
แคนั้นยังไม่พอ...พอเปิดตรวตดูโดยละเอียด บางคนติดหนี้เป็นแสน ขอผ่อนคืนเดือนละ 800 แถมบางเดือนขอผลัด ไม่จ่ายซะด้วย
เทอมขอผ่อนจ่าย พนักงานเป็นคนกำหนดเอง ผ่อนแบบนี้ 10 ปียังไม่หมดเลย

พอพี่กลับมา เราก็เรียกประชุม 3 พี่น้อง
เราบอกว่าอย่างนี้มันเกินไปไหม เงินพวกนี้อย่างน้อยสมควรเอาไปเป็นโบนัสให้ พนง ที่ขยันทำงานมากกว่า ไม่ใช่ปล่อยให้พวกชุดมือเปิบมาขอกันแบบนี้
พี่ก็รู้ว่าเค้าผิด และเค้าก็ไม่เคยบวกตัวเลขที่คนยืมเงินไป พอบอกจำนวนเค้าก็อึ้งเหมือนกัน
สรุปว่า เราอาสาทำหน้าที่คุมบัญชีหนี้พนักงาน ซึ่งทุกๆคนก็เห็นด้วย
และเราก็เริ่ม "เร่งรัดหนี้" โดยการแจ้ง พนง ว่า ต่อไปนี้ไม่มีการให้ยืมเงินอีกต่อไป
อย่างมากคือให้เบิกล่วงหน้าจากวงเงินของเงินเดือนงวดหน้า ซึ่งจะหักออกทันทีในงวดต่อไป (แล้วแต่เราจะพิจารณาด้วยว่าจะให้หรือไม่)
จากนั้นเราก็เรียกลูกหนี้ทุกคนขึ้นมาคุย ให้เซ็นรับสภาพหนี้ และขอหักเงินเพิ่มตามความเหมาะสมของแต่ละคน ให้จ่ายสม่ำเสมอไม่มีผัดผ่อน เพื่อให้หนี้หมดเร็วขึ้น
เมื่อคุยกับ พนง สิ่งที่เรารับรู้คือ คนเหล่านี้ไม่มีวินัยทางการเงินกันเลย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา จำนวน พนง ที่มาขอยืมเงิน ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
บางคนก็เลิกการกู้ บางคนก็ออกไปกู้ที่อื่น และยังมีการมาขอผัดผ่อนเพื่อไปจ่ายดอกที่อื่น ซึ่งเราก็ยืนกรานว่า ไม่ให้ เพราะ พนง คนอื่นจะทำตามทันที พนง ก็เลิกขึ้นมาขอผลัดหนี้
นั่นคือเรื่องของปลายปีที่แล้วค่ะ

มาเข้าเรื่องของเมื่อวานนี้
มี พนง คนนึง สมมติชื่อ นา
นาเป็น พนง เก่าแก่ ทำมาเกือบ 20 ปี อายุ 50 กว่าๆ โดยรวมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบใช้ได้
นิสัยแบบชาวบ้านบ้านนอก เป็นคนซื่อๆตรงๆ และไม่มีความรู้
นามีการมายืมเงินกับพี่สาวตั้งแต่ปีไหนไม่ทราบ รู้แต่ในสมุดบัญชีมียอดยกมาจากเล่มเก่า 26,500 บาท เมื่อ มิย 2555
และมีการยืมเพิ่มเติม กพ 2556 จำนวน 41,000 บาท และ ตค 2556 อีก 80,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 147,500 บาท
เหตุผลที่ขอยืมเงิน เอาไปสร้างบ้าน
นามีการคืนเงินให้ตลอดทุกเดือน โดยเฉลี่ยเดือนละ 1000 บาท ตอนนี้เหลือ 114,000 บาท
เมื่อเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว (ซึ่งเป็นช่วงที่นาขอยืมเงินก้อนสุดท้ายกับพี่ของเรา) เค้าขอลางานชั่วคราวไปทำงานเย็บผ้าที่บ้าน
เหตุผลคือ บริษัทไม่มีงาน ไม่มีโอที เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่พอใช้ ซึ่งพี่สาวเราก็ให้เค้าไป โดยที่นาไม่ได้ลาออกเป็นทางการ

เมื่อวานนี้เลขามาแจ้งเราว่า วันนี้นาจะมาขอพบ จะเอากับข้าวเที่ยงมาให้หลายอย่าง เนื่องจากทำกับข้าวขายด้วย
และ จะมาพร้อมกับโฉนดที่ดิน 1 แผ่น ไอ้เราก็คิดในใจ งานเข้าแล้วสิเรา
บ่าย นาก็เข้ามาคุย จะมาขอยืมเงิน 80,000 บาท บอกว่าจะเอาไปใช้หนี้นอกระบบซึ่งกู้มาสร้างบ้านต่อ ตอนนี้จ่ายดอกอยู่เดือนละ 7000 บาท
เค้าบอกว่าอยากรวมหนี้ให้เป็นก้อนเดียวเพราะผ่อนดอกไม่ไหว (มารวมหนี้ทางนี้เพราะใจดีไม่คิดดอกนี่เอง)
ปัจจัยอื่นๆที่ลำบากเรื่องการเงินคือ ลูกสาวพึ่งคลอดลูกได้สองเดือน นาต้องเลี้ยงลูกและหลานเนื่องจากพ่อเด็กไม่รับผิดชอบส่งเสีย
ต้องส่งค่าแชร์อีกเดือนละ 3000 งวดสุดท้าย พย 2557
เราให้นาทำรายรับรายจ่ายมาให้ดู ซึ่งแน่นอนว่า เธอทำไม่เป็น น้องเลขาก็ช่วยทำให้
ออกมาเป็นเช่นนี้ค่ะ
รายรับ: เย็บผ้า 7,000, ขายกับข้าว 6,000 = 13000 บาท
รายจ่าย: ค่าไฟ 1,900, ค่าน้ำ 320, ค่าเช่าที่ดิน 1,400, ดอกเบี้ยนอกระบบ 7,000, ค่ากับข้าว 3,000, ข้าวสาร 950, แชร์ 3000 = 17,570

เบื้องต้น เราปฏิเสธการเอาโฉนดที่ดินมาวาง (เธอเอามาวางเฉยๆ ไม่มีการโอนชื่อ) ถึงจะมีการโอนเราก็ไม่เอา เราบอกว่ามันจะกลายเป็นแบบอย่างให้ พนง คนอื่นทำตาม
แล้วเราก็อธิบายให้นาฟังว่า หลังจากที่นาออกไปได้มีการเปลี่ยนกฎเรื่องการยืมเงิน ซึ่งเธอไม่เคยรับรู้มาก่อนจนถึงวันนี้
และเราก็บอกว่า หนทางเดียวที่เราพอจะช่วยได้คือ ให้เธอหยุดส่งเงินกับเราเดือนละ 1,000 ไปชั่วคราวสัก 6 เดือน (ซึ่งเธอก็ส่งมาตลอดทุกเดือนตั้งแต่ลางาน)
สีหน้าของนาในตอนนั้น เรารู้สึกได้เลยค่ะว่าเธอชาไปทั้งตัว มันเป็นคำตอบที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้รับ
นาบอกว่าตอนนี้เครียดมาก เงินไม่พอใช้ หนักใจกับหนี้นอกระบบ ถ้าตัวนี้หมดก็จะช่วยเธอได้มาก เธอก็ขอร้องเราว่าช่วยหนูด้วยเถอะ
เราก็บอกว่า ขอเวลาไปคิดก่อนนะ เงินมันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

หลังจากนั้นเราก็มาปรึกษากับพี่ๆว่าเอาไงดี
คนที่เคยให้นายืมเงินก็บอกว่าให้ไปเถอะ คนนี้ซื่อไม่น่าโกง ขนาดลางานไปทำที่อื่นยังเวียนมาส่งให้
แฟนของพี่นั่งฟังอยู่ เค้าแย้งขึ้นมาว่าไม่สมควรให้ มันไม่มีหลักประกันอะไรเลย ให้นาเอาโฉนดไปวางที่ธนาคารเองสิ
พี่ตอบกลับทันทีว่า คนระดับนี้ความรู้แค่นี้เค้าทำไม่เป็นหรอก แค่คิดว่าต้องเดินเข้าธนาคารก็ทำไม่เป็นแล้ว ไม่งั้นบ้านเราจะมี อิออน อีซี่เพย์ ฯลฯ กันเกลื่อนเมืองไปทำไม
ถามพี่อีกคน แกบอกว่า คิดเอาเอง กรูไม่รู้ว่ะ แต่มีเสนอว่าถ้าจะให้เงินก้อนนี้ก็โทรไปเคลียร์กับเจ้าหนี้โดยตรง อย่าให้เงินผ่านมือนา
เราเลยคิดคร่าวๆขึ้นมาว่า ถ้าให้นายืมต้องอยู่ใต้ข้อเสนอนี้
1) ต้องจ่างเงินคืนบริษัทจาก 1,000 เป็นเดือนละ 5,000 บาท ห้ามขาดส่ง ซึ่งถ้าคำนวนจากหนี้เก่า 114,000 บาท ส่งเดือนละ 1,000 ต้องผ่อนราวๆ 9.5 ปีหนี้ถึงหมด แต่หนี้ใหม่ 194,000 ส่งเดือนละ 5,000 3ปีกว่าๆหมด
2) นาต้องกลับมาทำงานที่บริษัท
3) ส่งแชร์หมด ให้เอาอีก 3,000 ค่าแชร์มาโปะ เป็นเดือนละ 8,000 บาท
4) ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ห้ามให้ พนง คนอื่นทราบ
5) ไม่มีการให้ยืมอีกตลอดกาล

ประเด็นที่เป็นปัญหากับเรามากที่สุดมีดังนี้ค่ะ
1) ถ้าหยิบยื่นเงิน 80,000 ให้นา มันจะกลายเป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีต่อพนักงานคนอื่น เพราะกฎก็ออกมาแล้วว่าไม่มีการให้ยืมเงินอีกต่อไป
2) แอบกลัวหนี้สูญเหมือนกันค่ะ
3) แต่ถ้านาเดือดร้อนจริงๆ เราไม่ยื่นมือช่วย ถ้าเธอเกิดคิดสั้น เดือดร้อน เป็นอะไรขึ้นมา เราคงจะรู้สึกผิดไปจนวันตายเลยค่ะ

มีข้อเสนอ/แนะนำอย่างไร ขอความกรุณาด้วยค่ะ ช่วยดี/ไม่ช่วยดี ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่