กองพันยานเกราะรถถังของสหรัฐฯ เปลี่ยนไป
จากการที่อิสราเอลมีการปรับการจัดกำลังกองพันทหารม้าใหม่ ในบทความเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2013 (ย้อนกลับไปอ่านกันได้ที่
http://monsoonphotonews.blogspot.com/2013/12/blog-post.html ) คราวนี้ลองมาดูของสหรัฐอเมริกากันบ้าง
รถถัง M1 Abrams ของสหรัฐฯ
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีรถถัง M1 อับราม อยู่ถึงกว่า 7 พันคัน แต่ก็มีแค่ประมาณ 20 เปอร์เซนต์เท่านั้นที่ใช้ประจำการใช้งานอยู่จริงคือราวจำนวน 1,288 คัน นั่นคือ 92 กองร้อยยานเกราะรถถัง M1 (กองร้อยละ 14 คัน)
ซึ่งใอนาคตจะไม่มีกองพันยานเกราะรถถังเพิ่มขึ้นอีก แต่จะเป็นการจัดกำลังใหม่ โดยผนวกกองพันยานเกราะเข้าไปในกองพลน้อยยานเกราะ ซึ่งในแต่ละกองพันยานเกราะจะประกอบด้วย 2 กองร้อยรถถังและ 2 กองร้อยทหารราบ
ในขณะเดียวกันกองทัพก็ทำการลดขนาดของกองทัพลงด้วย จาก 16 กองพลน้อยยานเกราะเหลือแค่ 10 กองพลน้อยยานเกราะ นั่นคือในอนาคตกองร้อยยานเกราะรถถัง M1จะถูกลดลงไปอีก 24 กองร้อย ซึ่งก็จะเหลือรถถัง M1 ในประจำการแค่ 952 คัน
แต่กองกำลังป้องกันชาติ (National Guard) ยังคงกองพลน้อยยานเกราะจำนวน 7 กองพลเหมือนเดิม ( 28 กองร้อยยานเกราะรถถัง M1)
เพราะฉะนั้นในอนาคต หากดุลยภาพทางทหารในภูมิภาคบ้านเราเปลี่ยนไปในทางเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์สหรัฐ ประเทศไทยอาจจะได้รถถัง M1 ของสหรัฐมาประจำการในกองทัพ ก็มีทางเป็นไปได้ เพราะจากจำนวนรถถัง M1 ที่สหรัฐฯ มีอยู่นั้น ใช้จริงๆ แค่ 7%
รถถัง T-84 Oplot ล็อตแรกจำนวน 5 คัน
นอกจากนี้รถถัง T-84 Oplot ของยูเครนที่เราจ่ายเงินซื้อไปแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับไม่ครบตามจำนวนที่สั่ง อีกทั้งไทยเราก็ยังไม่มีแผนงานที่แน่นอนหรือชัดแจ้งในการสร้าง หรือผลิตรถถังเอง ซึ่งหากสหรัฐฯ ต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำตลาดอาวุธของไทย ก็จะต้องเสนอเงื่อนไขพิเศษให้กับมหามิตร(ที่เขาชอบกล่าวอ้าง) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขาในภูมิภาคนี้
สำหรับรถถัง M1 อับราม เองก็มีโครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเทอร์โบชาฟเป็นดีเซลแล้ว
บางคนหรือหลายๆคน อาจจะไม่เห็นด้วย และมองกว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามในภูมิภาคบ้านเราค่อนข้างน้อย แต่ก็ขอนำพระราชนิพนธ์แห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มาย้ำเตือนกันว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จะอาจสู้ริปูสลาย”
ตัวอย่างที่เห็นกันชัดเจนก็คือกรณีประเทศยูเครน ที่มีปัญหาภายในอยู่ดีๆ กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศกับรัสเซียไปซะงั้น
http://monsoonphotonews.blogspot.com/2014/04/blog-post.html
จริงไหมครับว่าสหัฐอาจจะให้รถถังM1เราเพราะสหัฐลดจำนวนกองพันยานเกราะลง
จากการที่อิสราเอลมีการปรับการจัดกำลังกองพันทหารม้าใหม่ ในบทความเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2013 (ย้อนกลับไปอ่านกันได้ที่ http://monsoonphotonews.blogspot.com/2013/12/blog-post.html ) คราวนี้ลองมาดูของสหรัฐอเมริกากันบ้าง
รถถัง M1 Abrams ของสหรัฐฯ
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีรถถัง M1 อับราม อยู่ถึงกว่า 7 พันคัน แต่ก็มีแค่ประมาณ 20 เปอร์เซนต์เท่านั้นที่ใช้ประจำการใช้งานอยู่จริงคือราวจำนวน 1,288 คัน นั่นคือ 92 กองร้อยยานเกราะรถถัง M1 (กองร้อยละ 14 คัน)
ซึ่งใอนาคตจะไม่มีกองพันยานเกราะรถถังเพิ่มขึ้นอีก แต่จะเป็นการจัดกำลังใหม่ โดยผนวกกองพันยานเกราะเข้าไปในกองพลน้อยยานเกราะ ซึ่งในแต่ละกองพันยานเกราะจะประกอบด้วย 2 กองร้อยรถถังและ 2 กองร้อยทหารราบ
ในขณะเดียวกันกองทัพก็ทำการลดขนาดของกองทัพลงด้วย จาก 16 กองพลน้อยยานเกราะเหลือแค่ 10 กองพลน้อยยานเกราะ นั่นคือในอนาคตกองร้อยยานเกราะรถถัง M1จะถูกลดลงไปอีก 24 กองร้อย ซึ่งก็จะเหลือรถถัง M1 ในประจำการแค่ 952 คัน
แต่กองกำลังป้องกันชาติ (National Guard) ยังคงกองพลน้อยยานเกราะจำนวน 7 กองพลเหมือนเดิม ( 28 กองร้อยยานเกราะรถถัง M1)
เพราะฉะนั้นในอนาคต หากดุลยภาพทางทหารในภูมิภาคบ้านเราเปลี่ยนไปในทางเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์สหรัฐ ประเทศไทยอาจจะได้รถถัง M1 ของสหรัฐมาประจำการในกองทัพ ก็มีทางเป็นไปได้ เพราะจากจำนวนรถถัง M1 ที่สหรัฐฯ มีอยู่นั้น ใช้จริงๆ แค่ 7%
รถถัง T-84 Oplot ล็อตแรกจำนวน 5 คัน
นอกจากนี้รถถัง T-84 Oplot ของยูเครนที่เราจ่ายเงินซื้อไปแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับไม่ครบตามจำนวนที่สั่ง อีกทั้งไทยเราก็ยังไม่มีแผนงานที่แน่นอนหรือชัดแจ้งในการสร้าง หรือผลิตรถถังเอง ซึ่งหากสหรัฐฯ ต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำตลาดอาวุธของไทย ก็จะต้องเสนอเงื่อนไขพิเศษให้กับมหามิตร(ที่เขาชอบกล่าวอ้าง) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขาในภูมิภาคนี้
สำหรับรถถัง M1 อับราม เองก็มีโครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเทอร์โบชาฟเป็นดีเซลแล้ว
บางคนหรือหลายๆคน อาจจะไม่เห็นด้วย และมองกว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามในภูมิภาคบ้านเราค่อนข้างน้อย แต่ก็ขอนำพระราชนิพนธ์แห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มาย้ำเตือนกันว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จะอาจสู้ริปูสลาย”
ตัวอย่างที่เห็นกันชัดเจนก็คือกรณีประเทศยูเครน ที่มีปัญหาภายในอยู่ดีๆ กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศกับรัสเซียไปซะงั้น
http://monsoonphotonews.blogspot.com/2014/04/blog-post.html