จขกท. พึ่งมีโอกาสได้ดู Need for Speed วันนี้ เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด เลยต้องรอให้ถึงวันหนังฉายจริง ไม่ได้ดูรอบพิเศษ
สารภาพเลยว่า หนังเรื่องนี้เคยคิดไว้ว่า อาจจะออกมาแป้กแน่ๆ เพราะจากประสบการณ์ของอาถรรพ์
"หนังที่สร้างจากเกม" มักจะออกมาแป้ก ประกอบกับ Trailer ที่ออกมานั้น ดูไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรมาก อารมณ์คล้ายๆ หนัง Racing เกรดบีหลายเรื่องที่มีแผ่นออกวางขายตามแผงทั่วไป
แต่พอได้ดู อารมณ์ตัวหนังจริงผิดกับ Trailer อย่างสิ้นเชิง
เนื้อเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เนื้อเรื่องของ Need for Speed เป็นเรื่องของพระเอก Tobey Marshall (Aaron Paul) กับกลุ่มเพื่อนเขา ที่ตัดสินใจทำงานโดยการประกอบรถให้กับ Dino Brewster (Dominic Cooper) และ Dino จะเสนอส่วนแบ่งจากการขายรถให้ ซึ่ง Tobey ต้องการเงินเพื่อที่จะนำมาจ่ายหนี้ของอู่รถ แต่แล้วในการแข่งรถครั้งนึง Pete ผู้ที่ Tobey ดูแลเสมือนน้องชายเขาก็ได้ถูก Dino คร่าชีวิตไป และเขาก็ยังได้ถูกจับเข้าคุกในความผิดที่ไม่ได้ก่อ และหลังจากออกจากคุก Tobey จึงกลับมาเข้าร่วมรายการแข่งรถใหญ่ เพื่อที่จะล้างแค้น Dino ให้กับ Pete
จากพล็อตเรื่องในข้างต้น ก็ดูคล้ายๆ กับหนังแนว Racing ทั่วๆ ไปเช่นกัน แต่ Need for Speed นำเสนอออกมาได้เข้มข้นและมีส่วนผสมของดราม่าที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ทำให้พล็อตเรื่องแบบบ้านๆ ออกมาค่อนข้างได้อารมณ์ในระดับหนึ่ง แม้ว่าพล็อตเรื่องกับบทโดยรวมมันอาจไม่ถึงกับได้อารมณ์ , แน่นหรือซับซ้อนซ่อนเงื่อนเทียบเท่ากับหนังรุ่นใหญ่อย่าง Fast & Furious ก็ตาม
ถ้าเปรียบ ตัวหนังนั้นก็ดูจะคล้ายๆ เครื่องยนต์รถ ในช่วงแรกๆ หนังอาจจะยังดูเนิบๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก (เหมือนเครื่องยนต์ที่ยังไม่ได้สตาร์ท) พอไปถึงช่วงที่พระเอกเริ่มปฏิบัติการ ก็ดูเข้มข้นขึ้น (เครื่องสตาร์ทแล้ว) พอต่อจากนั้น เริ่มมีอะไรมันส์ๆ ขึ้นเรื่อยๆ (เครื่องเริ่มอุ่น) พอถึงช่วงท้าย ความมันส์ ความลุ้นระทึกก็ทะลุเพดาน (เหมือนเครื่องที่เดินรอบสูง และเร่งเต็มอัตรา)
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้เสียคือบทหนังที่ดูอ่อนๆ (เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่อาจมีอาการสะดุดบ้างเล็กน้อย) พล็อตเรื่องที่ดูคล้ายๆ กับหนัง Racing ทั่วๆ ไป (เหมือนเครื่อง 2J ที่รถแข่งทั้งหลายใช้กันเกลื่อน) แต่พล็อตบ้านๆ นั้น ในหนังเรื่องนี้กลับนำเสนอได้เข้มข้น และน่าติดตาม (ซึ่งก็เหมือนเครื่อง 2J ตัวนี้ถูกปรับแต่งมาอย่างดี)
สิ่งที่ชอบ
- มุมกล้องของหนังที่ทำออกมาได้เยี่ยม ดูยิ่งใหญ่ และมุมกล้องบางมุมก็อารมณ์เกมแข่งรถ(ตามชื่อ) มากๆ (ส่วนตัวยกให้เป็นหนังแข่งรถที่มุมกล้องเยี่ยมที่สุดเลย)
- รถแต่ละคัน เรียกได้ว่าทำเอา จขกท.ตาลุกวาวเลยทีเดียว เพราะมันไม่ใช่รถญี่ปุ่น หรือมีแค่รถอเมริกัน แต่รถในหนังเรื่องนี้เป็นถึงระดับ Super Car กันเลยทีเดียว และเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มบาดใจอย่างยิ่ง
- ฉากบางฉากก็ได้อารมณ์จากเกม Need for Speed ภาคเก่าๆ ด้วย (อันนี้ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะครับ) หากใครเลยเล่น NFS ภาคเก่าๆ มาก่อน อย่างเช่น
-- ฉากซิ่งรถตอนกลางคืนช่วงแรก ได้กลิ่นอาย NFS Underground 1/2 นิดๆ
-- ฉากขับรถข้ามรัฐ อันนี้ภาพของ NFS : The Run ลอยเข้ามาในหัวเลย
-- ฉากซิ่งรถ+หนีตำรวจ อารมณ์เหมือน NFS : Hot Pursuit บวกกับภาค Most Wanted เลย
- ชอบฉากเติมน้ำมันกลางถนนขณะวิ่งมาก อันนี้อึ้งเลยว่า "คิดได้ยังไง" ได้อารมณ์เครื่องบินกำลังเติมน้ำมันกลางอากาศมาก
- สัญญาณอินเตอร์เน็ตดีมาก รถแต่ละคันติดต่อคุยกันได้ตลอด แม้กระทั่งคุยกับนักบิน ล้ำดี
- แม้ Tobey Marshall (Aaron Paul) คือพระเอกของหนังเรืองนี้ แต่ จขกท.กลับชอบ Benny (Scott Mescudi) เพื่อนพระเอกที่เป็นนักบินมากกว่า เพราะพี่แกขับอากาศยานได้เยอะจริงๆ ทั้งเครื่อง Cessna ยันเฮลิคอปเตอร์ แทบยังบินได้บ้าระห่ำมากๆ ชนิดที่นักบินจริงๆ ยังไม่กล้าทำเลยมั้ง
สิ่งที่ไม่ชอบ
- ลุงดีเจดูเวิ่นเว้อเยอะไปนิด แรกๆ ก็ดูโอเค แต่หลังๆ ดูมากไปหน่อย
- ช่วงแรกของหนังดูไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นมากนัก (แต่ถ้ากลางเรื่องไปเครื่องเริ่มอุ่นแล้ว)
- คอนเซ็ปเนื้อเรื่องดูบ้านๆ ไม่ค่อยต่างจากหนัง Racing ทั่วไปเท่าไร ถ้าคาดหวังว่าจะได้เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนระดับ Fast & Furious ก็อาจผิดหวังได้ครับ
- อยากให้ตอนแข่งรถมีเพลงประกอบมันส์ๆ เปิดให้ได้อารมณ์สักนิด เท่าที่ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะยังขาดเพลงแนวนี้
- ตำรวจหนังเรื่องนี้ไหงมีแต่แก่ๆ แฮะ ไม่มีตำรวจขาลุยมั่งเลย
สรุป
เป็นหนังจากเกมที่หนีจากอาถรรพ์ "หนังจากเกมมักแป้ก" ได้เรื่องนึงเลย และยังเติมเต็มบางอย่างที่หนังรุ่นใหญ่อย่าง Fast & Furious หลังๆ เริ่มหายไปหรือไม่มีอีกด้วย
8/10 ครับ
[CR] [Review] Need for Speed หนังเรื่องนี้ก็เปรียบสเหมือนเครื่องยนต์รถ (มี Spoil)
สารภาพเลยว่า หนังเรื่องนี้เคยคิดไว้ว่า อาจจะออกมาแป้กแน่ๆ เพราะจากประสบการณ์ของอาถรรพ์ "หนังที่สร้างจากเกม" มักจะออกมาแป้ก ประกอบกับ Trailer ที่ออกมานั้น ดูไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรมาก อารมณ์คล้ายๆ หนัง Racing เกรดบีหลายเรื่องที่มีแผ่นออกวางขายตามแผงทั่วไป
แต่พอได้ดู อารมณ์ตัวหนังจริงผิดกับ Trailer อย่างสิ้นเชิง
เนื้อเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากพล็อตเรื่องในข้างต้น ก็ดูคล้ายๆ กับหนังแนว Racing ทั่วๆ ไปเช่นกัน แต่ Need for Speed นำเสนอออกมาได้เข้มข้นและมีส่วนผสมของดราม่าที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ทำให้พล็อตเรื่องแบบบ้านๆ ออกมาค่อนข้างได้อารมณ์ในระดับหนึ่ง แม้ว่าพล็อตเรื่องกับบทโดยรวมมันอาจไม่ถึงกับได้อารมณ์ , แน่นหรือซับซ้อนซ่อนเงื่อนเทียบเท่ากับหนังรุ่นใหญ่อย่าง Fast & Furious ก็ตาม
ถ้าเปรียบ ตัวหนังนั้นก็ดูจะคล้ายๆ เครื่องยนต์รถ ในช่วงแรกๆ หนังอาจจะยังดูเนิบๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก (เหมือนเครื่องยนต์ที่ยังไม่ได้สตาร์ท) พอไปถึงช่วงที่พระเอกเริ่มปฏิบัติการ ก็ดูเข้มข้นขึ้น (เครื่องสตาร์ทแล้ว) พอต่อจากนั้น เริ่มมีอะไรมันส์ๆ ขึ้นเรื่อยๆ (เครื่องเริ่มอุ่น) พอถึงช่วงท้าย ความมันส์ ความลุ้นระทึกก็ทะลุเพดาน (เหมือนเครื่องที่เดินรอบสูง และเร่งเต็มอัตรา)
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้เสียคือบทหนังที่ดูอ่อนๆ (เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่อาจมีอาการสะดุดบ้างเล็กน้อย) พล็อตเรื่องที่ดูคล้ายๆ กับหนัง Racing ทั่วๆ ไป (เหมือนเครื่อง 2J ที่รถแข่งทั้งหลายใช้กันเกลื่อน) แต่พล็อตบ้านๆ นั้น ในหนังเรื่องนี้กลับนำเสนอได้เข้มข้น และน่าติดตาม (ซึ่งก็เหมือนเครื่อง 2J ตัวนี้ถูกปรับแต่งมาอย่างดี)
สิ่งที่ชอบ
- มุมกล้องของหนังที่ทำออกมาได้เยี่ยม ดูยิ่งใหญ่ และมุมกล้องบางมุมก็อารมณ์เกมแข่งรถ(ตามชื่อ) มากๆ (ส่วนตัวยกให้เป็นหนังแข่งรถที่มุมกล้องเยี่ยมที่สุดเลย)
- รถแต่ละคัน เรียกได้ว่าทำเอา จขกท.ตาลุกวาวเลยทีเดียว เพราะมันไม่ใช่รถญี่ปุ่น หรือมีแค่รถอเมริกัน แต่รถในหนังเรื่องนี้เป็นถึงระดับ Super Car กันเลยทีเดียว และเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มบาดใจอย่างยิ่ง
- ฉากบางฉากก็ได้อารมณ์จากเกม Need for Speed ภาคเก่าๆ ด้วย (อันนี้ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะครับ) หากใครเลยเล่น NFS ภาคเก่าๆ มาก่อน อย่างเช่น
-- ฉากซิ่งรถตอนกลางคืนช่วงแรก ได้กลิ่นอาย NFS Underground 1/2 นิดๆ
-- ฉากขับรถข้ามรัฐ อันนี้ภาพของ NFS : The Run ลอยเข้ามาในหัวเลย
-- ฉากซิ่งรถ+หนีตำรวจ อารมณ์เหมือน NFS : Hot Pursuit บวกกับภาค Most Wanted เลย
- ชอบฉากเติมน้ำมันกลางถนนขณะวิ่งมาก อันนี้อึ้งเลยว่า "คิดได้ยังไง" ได้อารมณ์เครื่องบินกำลังเติมน้ำมันกลางอากาศมาก
- สัญญาณอินเตอร์เน็ตดีมาก รถแต่ละคันติดต่อคุยกันได้ตลอด แม้กระทั่งคุยกับนักบิน ล้ำดี
- แม้ Tobey Marshall (Aaron Paul) คือพระเอกของหนังเรืองนี้ แต่ จขกท.กลับชอบ Benny (Scott Mescudi) เพื่อนพระเอกที่เป็นนักบินมากกว่า เพราะพี่แกขับอากาศยานได้เยอะจริงๆ ทั้งเครื่อง Cessna ยันเฮลิคอปเตอร์ แทบยังบินได้บ้าระห่ำมากๆ ชนิดที่นักบินจริงๆ ยังไม่กล้าทำเลยมั้ง
สิ่งที่ไม่ชอบ
- ลุงดีเจดูเวิ่นเว้อเยอะไปนิด แรกๆ ก็ดูโอเค แต่หลังๆ ดูมากไปหน่อย
- ช่วงแรกของหนังดูไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นมากนัก (แต่ถ้ากลางเรื่องไปเครื่องเริ่มอุ่นแล้ว)
- คอนเซ็ปเนื้อเรื่องดูบ้านๆ ไม่ค่อยต่างจากหนัง Racing ทั่วไปเท่าไร ถ้าคาดหวังว่าจะได้เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนระดับ Fast & Furious ก็อาจผิดหวังได้ครับ
- อยากให้ตอนแข่งรถมีเพลงประกอบมันส์ๆ เปิดให้ได้อารมณ์สักนิด เท่าที่ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะยังขาดเพลงแนวนี้
- ตำรวจหนังเรื่องนี้ไหงมีแต่แก่ๆ แฮะ ไม่มีตำรวจขาลุยมั่งเลย
สรุป
เป็นหนังจากเกมที่หนีจากอาถรรพ์ "หนังจากเกมมักแป้ก" ได้เรื่องนึงเลย และยังเติมเต็มบางอย่างที่หนังรุ่นใหญ่อย่าง Fast & Furious หลังๆ เริ่มหายไปหรือไม่มีอีกด้วย
8/10 ครับ