ความแตกต่างด้าน โปรเซสเซอร์
Processor
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Galaxy Note 3 (Exynos, Snapdragon 800) กับ Galaxy S5 (Snapdragon 801) นั้นคงต้องฟันธงเลยว่า “แตกต่าง แต่ไม่มาก” จริงอยู่ว่า Snapdagon 801 นั้นมีความเร็วสูงกว่า Snapdragon 800 อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิม ทำให้อานิสงค์ของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากสัญญาณนาฬิกาที่เพิ่มขึ้นเสียมากกว่า นอกจากนี้ Snapdragon 801 ยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR3 (933MHz) ทำให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Snapdragon 800 (LPDDR3 800MHz)
RAM
ความแตกต่างที่ทุกคนเห็นได้ชัด คือ Galaxy Note 3 (RAM 3GB) และ Galaxy S5 (RAM 2GB) หลายๆ คนอาจจะมองว่าต่างกันครึ่งนึงเลยนะ แล้วจะส่งผลชัดเจนไหม อันนี้ก็คงต้องบอกว่าส่งผลชัดเจนแน่นอนครับ เพราะการทำงานของ Android นั้นเป็นแบบ *nix คือแม้ว่าจะ Kill Process ไปหมดแล้ว ระบบก็จะพยายามใส่อะไรเข้ามาใช้งาน ทำให้หน่วยความจำถูกใช้จนเต็มตลอดเวลา (อันนี้แปลว่าดี) ส่วนโปรเซสตัวไหนไม่ใช้ก็จะ Kill ทิ้งไปเป็นระยะ
แต่อันนั้นมันทางทฤษฏีครับ ในทางปฏิบัติจริง โทรศัพท์ Samsung เราอุดมไปด้วย App ที่ไม่ได้ใช้ แต่ถูกโหลดขึ้นมาพร้อมระบบปฏิบัติการเยอะพอสมควร (ใครที่ยังใช้ Galaxy Note รุ่นแรกคงจะทราบดี) ทำให้สำหรับ Samsung แล้วนั้นมี RAM ยิ่งเยอะยิ่งดีต่อไปครับ
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ Android 4.4 มีระบบ Project Svelte ที่ลดอัตราการบริโภคแรมของ Android OS ลงไป ทำให้ช่วยได้เยอะพอสมควรครับ และเนื่องจากทั้ง Note 3 และ S5 นั้นยังเป็นโทรศัพท์เพิ่งออกใหม่ ปัญหาเรื่องแรมคงจะยังไม่เห็นจนกว่าจะอีกราวๆ 1 – 2 ปีข้างหน้าโน่นล่ะครับ เมื่อระบบปฏิบัติการตัวใหม่ๆ เริ่มจะมีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ตอนนั้น RAM 2GB อาจจะไม่พอจริงๆ ก็ได้
Camera
กล้องของ Galaxy Note 3 นั้น เอ้อ…. จะพูดยังไงดีล่ะ ก็เป็นกล้อง 13 Megapixel พร้อมแฟลชแบบ LED คุณภาพก็ดีนะครับ แต่ไม่มีสตอรี หรืออะไรหวือหวาเป็นพิเศษ ยังคงใช้ BSI ตามปรกติ เหมือนตามเทรนด์กล้องสมาร์ทโฟนระดับบนๆ รุ่นอื่นๆ คุณภาพของภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดี (ไปดูภาพตัวอย่างเปรียบเทียบกล้องมือถือได้ที่นี่)
ส่วนกล้องของ Galaxy S5 จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทาง Samsung เข้าไปร่วมพัฒนา ใช้ชื่อว่า ISOCELL เชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าโมดูลกล้องที่ผ่านๆ มาของ Samsung (มีเรื่องของการถ่ายรูปแบบต่างๆ เพิ่ม ซึ่งจะกล่าวต่อในบทของ Software) งานนี้คงจะเถียงกันยาก จนกว่าจะเริ่มมีรูปถ่ายโดย Galaxy S5 จากคนที่มีฝีมือในระดับช่างกล้องมาลองเล่นกัน โดยส่วนตัวไม่กล้าวิจารณ์คุณภาพกล้องมากนัก เนื่องจากยังไม่ได้ลองนำไปถ่ายภาพสวยๆ อย่างทะเล ยอดเขา ครับ
Sensor
อันนี้จะว่าเป็นจุดแข็งของ Galaxy S ยุคใหม่ โดยเริ่มมาตั้งแต่ S4 ก็ว่าได้ โดยข้างในโทรศัพท์นั้นจะมี Sensor ที่ทำงานเบื้องหลังเต็มไปหมด โดยปีที่แล้ว Samsung เปิดตัวสารพัด Sensor แบบเงียบๆ หลายตัวบน Galaxy S4 ครับ ไม่ว่าจะเป็น Gesture Sensor สำหรับการทำ Air Gesture, Barometer สำหรับการใช้ S-Health และอื่นๆ อีกหลายตัวด้วยกัน มาถึงปีนี้ของเล่นใหม่ก็คือ Fingerprint Scanner และ Heartrate Sensor นั่นเอง
สำหรับ Fingerprint นั้นคงไม่ใช่ของใหม่นัก เมื่อ iPhone 5s ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงตัวแรกที่ใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วน Heartrate Sensor นั้นถือว่าใหม่พอสมควรสำหรับวงการนี้ โดยเฉพาะมือถือรุ่นท็อปอย่าง Galaxy S5 แน่นอนว่าคำถามเดิมๆ ยังคงอยู่คือ “ใส่ Sensor มาเยอะขนาดนี้ จะได้ใช้ถึงครึ่งนึงไหมน่ะ?” เพราะว่าหลายๆ ตัวจะใช้งานร่วมกับ S-Health แปลว่าถ้าไม่ได้ฟิตเนส หรือบางคนเล่นฟิตเนส แต่มีอุปกรณ์ครบอยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นทำงานซ้ำซ้อนกันไปแทน
Water + Dust Proof
สำหรับจุดเด่น (ถือโอกาสรับสงกรานต์เลยทีเดียว) ของ Galaxy S5 ก็คือกันน้ำ แต่จริงๆ แล้วทาง Samsung ก็บอกมาเหมือนกันว่าจริงๆ ที่กันเนี่ย เอาไว้กรณีอุบัติเหตุ ทำเครื่องตกน้ำ หรืออะไรก็ตามที ส่วนการเอาไปแช่ในน้ำเป็นเวลา 30 นาที มันก็ได้ (ตามมาตรฐาน) แต่ก็ไม่แนะนำ โดยส่วนตัวที่มีเพื่อนใช้สมาร์ทโฟนรุ่นกันน้ำที่น้ำเข้าไปแล้วก็คงจะต้องเตือนว่า
สมาร์ทโฟนรุ่นที่กันน้ำ มักจะไม่รับเคลมเมื่อน้ำเข้า (ต้องอ่านเงื่อนไขตัวเล็กๆ ในการรับประกัน)
เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ซีลยางมักเสื่อมสภาพ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำเข้าไปในตัวเครื่อง และพังได้
ถ้าเกิดอุบัติเหตุ แบบนานๆ ครั้ง ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่บ่อย แต่ถ้าใครใส่เข้าฟิตเนส เสร็จเอาสมาร์ทโฟนไปอาบน้ำด้วยต่อ (… ทำไมไม่เก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ จะเอามาอาบน้ำด้วยทำไมเนี่ย) ก็มีความเสี่ยงว่าสมาร์ทโฟนที่กันน้ำได้ ก็อาจจะน้ำเข้าได้เช่นกันครับ
ที่มาข้อมูลจาก http://www.mxphone.net/110414-editor-letter-should-i-get-note-3-or-s5/
เห็นหลายคนลังเลว่าจะเอาตัวไหน คิดว่าบทความนี้อธิบายได้ครอบคลุมใช้ได้เลยค่ะ
แค่นี้ก็ยากเกิน ไว้ความต่างด้านซอฟแวร์จะแชร์ในกระทู้หน้าแล้วกันคร่า
จะเลือกอะไรระหว่างโน้ต3 กับ s5
Processor
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Galaxy Note 3 (Exynos, Snapdragon 800) กับ Galaxy S5 (Snapdragon 801) นั้นคงต้องฟันธงเลยว่า “แตกต่าง แต่ไม่มาก” จริงอยู่ว่า Snapdagon 801 นั้นมีความเร็วสูงกว่า Snapdragon 800 อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิม ทำให้อานิสงค์ของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากสัญญาณนาฬิกาที่เพิ่มขึ้นเสียมากกว่า นอกจากนี้ Snapdragon 801 ยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR3 (933MHz) ทำให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Snapdragon 800 (LPDDR3 800MHz)
RAM
ความแตกต่างที่ทุกคนเห็นได้ชัด คือ Galaxy Note 3 (RAM 3GB) และ Galaxy S5 (RAM 2GB) หลายๆ คนอาจจะมองว่าต่างกันครึ่งนึงเลยนะ แล้วจะส่งผลชัดเจนไหม อันนี้ก็คงต้องบอกว่าส่งผลชัดเจนแน่นอนครับ เพราะการทำงานของ Android นั้นเป็นแบบ *nix คือแม้ว่าจะ Kill Process ไปหมดแล้ว ระบบก็จะพยายามใส่อะไรเข้ามาใช้งาน ทำให้หน่วยความจำถูกใช้จนเต็มตลอดเวลา (อันนี้แปลว่าดี) ส่วนโปรเซสตัวไหนไม่ใช้ก็จะ Kill ทิ้งไปเป็นระยะ
แต่อันนั้นมันทางทฤษฏีครับ ในทางปฏิบัติจริง โทรศัพท์ Samsung เราอุดมไปด้วย App ที่ไม่ได้ใช้ แต่ถูกโหลดขึ้นมาพร้อมระบบปฏิบัติการเยอะพอสมควร (ใครที่ยังใช้ Galaxy Note รุ่นแรกคงจะทราบดี) ทำให้สำหรับ Samsung แล้วนั้นมี RAM ยิ่งเยอะยิ่งดีต่อไปครับ
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ Android 4.4 มีระบบ Project Svelte ที่ลดอัตราการบริโภคแรมของ Android OS ลงไป ทำให้ช่วยได้เยอะพอสมควรครับ และเนื่องจากทั้ง Note 3 และ S5 นั้นยังเป็นโทรศัพท์เพิ่งออกใหม่ ปัญหาเรื่องแรมคงจะยังไม่เห็นจนกว่าจะอีกราวๆ 1 – 2 ปีข้างหน้าโน่นล่ะครับ เมื่อระบบปฏิบัติการตัวใหม่ๆ เริ่มจะมีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ตอนนั้น RAM 2GB อาจจะไม่พอจริงๆ ก็ได้
Camera
กล้องของ Galaxy Note 3 นั้น เอ้อ…. จะพูดยังไงดีล่ะ ก็เป็นกล้อง 13 Megapixel พร้อมแฟลชแบบ LED คุณภาพก็ดีนะครับ แต่ไม่มีสตอรี หรืออะไรหวือหวาเป็นพิเศษ ยังคงใช้ BSI ตามปรกติ เหมือนตามเทรนด์กล้องสมาร์ทโฟนระดับบนๆ รุ่นอื่นๆ คุณภาพของภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดี (ไปดูภาพตัวอย่างเปรียบเทียบกล้องมือถือได้ที่นี่)
ส่วนกล้องของ Galaxy S5 จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทาง Samsung เข้าไปร่วมพัฒนา ใช้ชื่อว่า ISOCELL เชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าโมดูลกล้องที่ผ่านๆ มาของ Samsung (มีเรื่องของการถ่ายรูปแบบต่างๆ เพิ่ม ซึ่งจะกล่าวต่อในบทของ Software) งานนี้คงจะเถียงกันยาก จนกว่าจะเริ่มมีรูปถ่ายโดย Galaxy S5 จากคนที่มีฝีมือในระดับช่างกล้องมาลองเล่นกัน โดยส่วนตัวไม่กล้าวิจารณ์คุณภาพกล้องมากนัก เนื่องจากยังไม่ได้ลองนำไปถ่ายภาพสวยๆ อย่างทะเล ยอดเขา ครับ
Sensor
อันนี้จะว่าเป็นจุดแข็งของ Galaxy S ยุคใหม่ โดยเริ่มมาตั้งแต่ S4 ก็ว่าได้ โดยข้างในโทรศัพท์นั้นจะมี Sensor ที่ทำงานเบื้องหลังเต็มไปหมด โดยปีที่แล้ว Samsung เปิดตัวสารพัด Sensor แบบเงียบๆ หลายตัวบน Galaxy S4 ครับ ไม่ว่าจะเป็น Gesture Sensor สำหรับการทำ Air Gesture, Barometer สำหรับการใช้ S-Health และอื่นๆ อีกหลายตัวด้วยกัน มาถึงปีนี้ของเล่นใหม่ก็คือ Fingerprint Scanner และ Heartrate Sensor นั่นเอง
สำหรับ Fingerprint นั้นคงไม่ใช่ของใหม่นัก เมื่อ iPhone 5s ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงตัวแรกที่ใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วน Heartrate Sensor นั้นถือว่าใหม่พอสมควรสำหรับวงการนี้ โดยเฉพาะมือถือรุ่นท็อปอย่าง Galaxy S5 แน่นอนว่าคำถามเดิมๆ ยังคงอยู่คือ “ใส่ Sensor มาเยอะขนาดนี้ จะได้ใช้ถึงครึ่งนึงไหมน่ะ?” เพราะว่าหลายๆ ตัวจะใช้งานร่วมกับ S-Health แปลว่าถ้าไม่ได้ฟิตเนส หรือบางคนเล่นฟิตเนส แต่มีอุปกรณ์ครบอยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นทำงานซ้ำซ้อนกันไปแทน
Water + Dust Proof
สำหรับจุดเด่น (ถือโอกาสรับสงกรานต์เลยทีเดียว) ของ Galaxy S5 ก็คือกันน้ำ แต่จริงๆ แล้วทาง Samsung ก็บอกมาเหมือนกันว่าจริงๆ ที่กันเนี่ย เอาไว้กรณีอุบัติเหตุ ทำเครื่องตกน้ำ หรืออะไรก็ตามที ส่วนการเอาไปแช่ในน้ำเป็นเวลา 30 นาที มันก็ได้ (ตามมาตรฐาน) แต่ก็ไม่แนะนำ โดยส่วนตัวที่มีเพื่อนใช้สมาร์ทโฟนรุ่นกันน้ำที่น้ำเข้าไปแล้วก็คงจะต้องเตือนว่า
สมาร์ทโฟนรุ่นที่กันน้ำ มักจะไม่รับเคลมเมื่อน้ำเข้า (ต้องอ่านเงื่อนไขตัวเล็กๆ ในการรับประกัน)
เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ซีลยางมักเสื่อมสภาพ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำเข้าไปในตัวเครื่อง และพังได้
ถ้าเกิดอุบัติเหตุ แบบนานๆ ครั้ง ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่บ่อย แต่ถ้าใครใส่เข้าฟิตเนส เสร็จเอาสมาร์ทโฟนไปอาบน้ำด้วยต่อ (… ทำไมไม่เก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ จะเอามาอาบน้ำด้วยทำไมเนี่ย) ก็มีความเสี่ยงว่าสมาร์ทโฟนที่กันน้ำได้ ก็อาจจะน้ำเข้าได้เช่นกันครับ
ที่มาข้อมูลจาก http://www.mxphone.net/110414-editor-letter-should-i-get-note-3-or-s5/
เห็นหลายคนลังเลว่าจะเอาตัวไหน คิดว่าบทความนี้อธิบายได้ครอบคลุมใช้ได้เลยค่ะ
แค่นี้ก็ยากเกิน ไว้ความต่างด้านซอฟแวร์จะแชร์ในกระทู้หน้าแล้วกันคร่า