ความรู้สึกและแง่คิดจากละครคิวบิก

(คำเตือน : กระทู้นี้ยาวมากถึงมากที่สุด… และอาจสร้างความรำคาญใจให้บางท่านได้)


เราเคยเขียนไว้ในกระทู้ความรู้สึกหลังจากดูละครคิวบิกวันที่ 2 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นเชิงว่ากระทู้นั้นเป็นกระทู้ส่งท้าย ซึ่งในตอนแรกเราก็ได้ตั้งใจไว้แบบนั้นจริงๆว่าจะกลับไปนั่งดูละครย้อนหลังทีเดียวจบแบบเงียบๆ(พอดียังไม่มาโซพอทีจะยอมเสียสุขภาพจิตเป็นรายสัปดาห์) พยายามปล่อยวางความรู้สึกด้านลบและเอ็นจอยกับละครแบบที่ละครมันอยากสื่อให้เราเข้าใจเพราะยังไงเราก็ชอบนิยายเรื่องคิวบิกมากจึงอยากดูละครแม้จะเป็นเวอร์ชั่น CUBIC Suck ก็ตาม (ประมาณ Vampire Suck ที่ล้อเลียนเรื่อง Twilight อ่ะนะคิดได้แบบนี้เวลาดูละครก็มีความสุขดี) แต่กระนั้นก็มีเหตุการณ์อยู่สองสามเหตุการณ์ที่ทำเอาเราปรี๊ดสุดๆ จนทนไม่ไหวจริงๆ ก็คือ


วันที่ 22 มีนาคม เราได้มีโอกาสไปอบรมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งซึ่งกำลังจะออกอากาศผ่านดิจิตอลทีวีช่องหนึ่ง โดยพิธีกรและทีมงานเป็นผู้จัดทำรายการเกี่ยวกับเทคโนโลยี  App. และ gadgets ของโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันฉายอยู่ที่ช่อง 9 ตอนเปิดงานพิธีกรเขาได้เล่าให้ฟังว่ารายการที่ปัจจุบันฉายอยู่ช่อง 9 นั้นก่อนหน้านี้เขาเคยได้นำรายการไปเสนอกับทางช่อง 3

และผู้ใหญ่ทางช่องก็ให้คอมเม้นท์ว่า… “รายการของคุณฉลาดไป”
ตอนนั้นเราหันไปคุยกับรุ่นน้องที่ไปด้วยกันทันทีว่า “ก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมละครคิวบิกถึงได้ออกมาฉลาดน้อยแบบนี้น่ะนะ”

มันเป็นทัศนคติที่ฟังแล้วรู้สึกตลกร้ายกันเลยทีเดียว โอเค… เดี๋ยวติ่งช่อง 3 จะหาว่าเราเป็นติ่งช่องหลากสีมาดิสเครดิตกัน ในงานเดียวกันนั่นแหละ พิธีกรคนเดิมก็เล่าต่อว่าหลังจากนั้นเขาได้มีโอกาสไปสนิทกับผู้ใหญ่ของช่อง 7 ไม่ก็ภรรยาของผู้ใหญ่ทางช่องคนนึงนี่ล่ะ  เขาเลยลองแย็บๆเสนอรายการไปดู คนคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า... “น้อง(ชื่อพิธีกร)รู้ไหม... คนไทยน่ะ โง่”

เงิบกันทั้งห้องประชุม

“แต่พี่จะโง่กว่าถ้าทำอะไรที่เขาไม่ชอบ”

โอเค...ฟังขึ้น ถึงจะฟังดูแย่แต่นี่ก็คือความเป็นจริง เป็นหลักการตลาดที่เราทำความเข้าใจได้ แต่ที่เราไม่เข้าใจจริงๆคือ ทัศนคติของทางผู้บริหารทีวีหรือผู้จัดที่ว่าสติปัญญาของพวกเราคนดูอาจจะไม่มากพอที่จะรับรู้เรื่องราวบางอย่างได้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นพวกเขามโนขึ้นว่าคนดูเป็นแบบนั้น หรือเป็นเพราะว่าคนดูอย่างเราๆนี่แหละทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเราเป็นแบบนั้น

และละครเรื่องคิวบิกก็เป็นตัวอย่างคำตอบที่ดีของข้อสงสัยนี้

ทั้งๆที่ตอนแรกๆละครเรื่องนี้โดนถล่มยับแต่สักพักกระแสละครเริ่มดีขึ้นด้วยคำฮิตที่เห็นบ่อยเกือบทุกกระทู้คือ
ฉากนั้นฉากนี้ฟิน จิกหมอน เคมีพุ่ง น้ำหมาก เอ๊ย น้ำลายไหล

เราก็ได้แต่คิด... บางทีทางช่องกับผู้จัดคงจะพูดถูกจริงๆนั่นแหละนะ ยังไงซะฉากกุ๊กกิ๊กน่ารัก หวานๆฟินๆระหว่างพระนางก็ขายให้คนไทยได้เสมอ และบางทีอาจจะมากพอทีทำให้หลายๆคนสามารถลืมข้อบกพร่องอื่นๆในผลงานได้เลยทีเดียว ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดเพราะรสนิยมของคนเรามันไม่เหมือนกัน เราเองก็ยอมรับว่าฉากฟินมันน่ารักจริงๆ(ขัดแย้งกับตัวเองทุกที นาคไม่ใช่แบบนี้ แต่แบบนี้ก็น่ารักอ่ะ 55) แต่ในฐานะคนดูที่อยากเห็นผลงานที่มีความฟินมาพร้อมกับคุณภาพสักหน่อยรู้สึกว่านี่มันช่างเป็นกับดักทางความคิดที่น่ากลัวจริงๆ

เพราะมันคือการสร้างความเคยชิน สร้างทัศนะคติที่บิดเบี้ยวต่อไปเรื่อยๆ

บทป่วยเหรอ กำกับป่วยเหรอ โปรดักชั่นป่วยเหรอ นักแสดงแสดงยังไม่ถึงเหรอ ช่างมันขอแค่ทีมงานมีฉากฟินๆ เข้าพระเข้านาง เคมีพุ่งๆให้ฉันได้จิ้นจิกหมอนฟินฉันก็พอใจละ

บทตรรกะเบี้ยวก็ช่าง กำกับไม่ดีก็ช่าง โปรดักชั่นไม่ต้องเก็บงานละเอียดมากนักก็ได้เปลือง นักแสดงคนนี้ฉันอยากดันแต่ฝีมือยังไม่ถึงก็ช่างมัน ใส่ฉากหวานๆฟินๆไปเดี๋ยวคนดูก็รับได้แล้ว

ถ้าเราตั้งมาตรฐานไว้ต่ำอย่างนี้ ต่อไปละครไทยดีๆคงมีแต่ในนิยาย

แต่บางทีนี่อาจเป็นแค่ทัศนคติสำหรับช่องฟรีทีวีก็ได้ เพราะทันทีที่เราลองไปจิ้มดู วุ่นนักรักเต็มบ้าน ตอนแรกถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปิติ...ละครไทยโปรดักชั่นดีๆยังมีอยู่ ถึงจะดูไปแค่ตอนเดียวแต่เทียบกับความรู้สึกหลังจากดูละครคิวบิกวันแรกแล้วมันต่างกันคนละโยชน์จริงๆ([Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วันนั้นเราก็ร้องไห้ แต่ร้องเพราะมันแค้นจัดจนน้ำตาร่วง 55) เห็นได้ชัดว่าความใส่ใจในผลงานมันเทียบกันไม่ติด ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากเรื่องทุน เวลาหรืออะไรก็ตามแต่ ก็อย่างว่าล่ะนะของฟรีได้แค่นี้ก็โอละกระมัง



เรื่องที่สอง... ละครทำภาพลักษณ์นิยายเสียหาย

ตั้งแต่ CUBIC Suck ของยูม่าออกอากาศ จะมีคนดูอยู่สองพวก คือ คนที่อ่านนิยายมาแล้ว กับ คนที่ไม่ได้อ่านนิยาย ฝ่ายแรกส่วนมากคงรับไม่ได้แต่ก็มีส่วนน้อยที่รับได้ แต่พวกที่สองน่าจะแบ่งได้อีกคือ บางคนก็ชอบ ตลกดี น้ำไม่เน่า ไม่มีตบๆจูบๆ แย่งสามี อันนี้โอเคเลยยิ่งชอบแล้วไปหาซื้อนิยายมาอ่านด้วยยิ่งแจ๋ว แต่มันก็มีอีกส่วนที่หัวเราะแล้วว่าละครปัญญาอ่อนนั่นอ่ะนะ แน่ใจว่านี่นางเอกฉลาดแล้ว มาเฟียเหรอวะนั่น นิยายดังได้ไงวะ ประเภทนี้แหละค่ะที่ทำร้ายจิตใจเราที่สุด เจ็บไปสุดขั้วหัวใจ แค้นผู้จัดมากที่ทำผลงานออกมาให้คิดแบบนี้ได้ เพราะคนในส่วนนี้เขาไม่ได้มีความประทับใจกับละครอยู่แล้วคงไม่สนใจจะไปหานิยายมาอ่าน แล้วเขาก็จะติดภาพคิวบิกพลาสติกไปในหัวตลอด พอได้ยินนึกถึงแต่ “เรื่องปัญญาอ่อนนั่นอ่ะนะ...” ยกเว้นแต่ว่าเขาจะสงสัยมากว่านิยายมันดังได้ยังไงจนไปหามาอ่านแต่ก็คงจะเป็นส่วนน้อย

อยากบอกว่าคนที่ไม่เคยอ่านนิยายว่า... นิยายมันไม่เหมือนในละครนะคะ โอเค...ว่าโครงเรื่องมันใช่ บางฉากแทบจะก็อปคำพูดมาแบบเป๊ะๆแต่ที่มันไม่ใช่คือฟีลลิ่งอ่ะค่ะ คาแรกเตอร์ด้วย ถ้าใครไม่ชอบมาเฟียลูกกวาดแบบในละคร สนใจมาเฟียดาร์กช็อกโกแลตในนิยายไหมคะ  ลองชิมดูก่อนได้นะคะ http://writer.dek-d.com/satancrow/story/view.php?id=520480 (แอบโฆษณาซะงั้น 55)



เรื่องสุดท้ายที่ทำให้เราปรี๊ดก็คือ... ติ่ง

ค่ะ... บอกไว้เลยว่าเราเองก็เป็นติ่งนักร้องเกาหลีวงหนึ่งที่แฟนคลับเยอะมากแต่แอนตี้แฟนก็เยอะมากเช่นกัน เราก็สงสัยมาตลอดว่าไอ่พวกแฟนขับเนี่ยมันจะมีทำเพื่อ แล้วทำอีท่าไหนถึงมาชิงชังเขาได้จนกระทั่งได้เจอเองกับตัวจากละครเรื่องคิวบิกนี่แหละค่ะ รู้ซึ้งเลยว่าสาเหตุหนึ่งมันเกิดได้จากการที่ติ่งมีอาการล้นเกินไป ในที่นี้เราไม่ได้พาดพิงถึงติ่งทุกคนนะคะ สำหรับเรามันมีแค่ติ่งคนหนึ่งของดาราคนหนึ่ง(น่าจะเป็นติ่งดาราแล้วล่ะนะสังเกตจากหลายๆคอมเม้นต์ของเขา ตอนแรกนึกว่าหน้าม้าช่องหรือค่ายซะอีก) ซึ่งหลายๆท่านที่เคยโพสวิจารณ์ละครคิวบิกในแง่ลบช่วงแรกๆก่อนที่กระแสละครจะดีขึ้นอาจจะเคยโดนบุคคลผู้นี้ทำตัวราวกับหมาบ้าไปเกรียนแตกใส่แทบทุกจะกระทู้

โอเค...ในฐานะติ่งเหมือนกันเราเข้าใจได้ถึงอารมณ์อย่างปกป้องสุดที่รักของเรา แต่ถ้ามากเกินไปคนอื่นๆจากที่เฉยๆอาจจะรำคาญจนกลายเป็นเกลียดได้นะคะ บอกเลยว่าร่ำๆจะทำใจกับละครได้แล้วเจอเกรียนมาแบบนั้นนี่ความรู้สึกติดลบเลยค่ะ จากนั้นมันก็เหมือนเกิดการปะทะกันระหว่างติ่งนิยายกับติ่งละคร ซึ่งในนั้นก็ยังแบ่งเป็นติ่งช่อง ติ่งค่าย ติ่งดาราอีกที คิดดูแล้วละครเรื่องนี้ก็เป็นตำนานนะคะ หาไม่ง่ายที่จะเจอเรื่องที่มีคนชอบกับคนเกลียดในอัตราส่วนเท่าๆกันน่ะนะ

และด้วยเหตุผลที่ว่ามาทำทั้งหมดให้เราเกิดอคติกับละครในแง่ลบแบบขั้นรุนแรง

แทบจะเรียกตัวเองได้ว่าเป็นแอนตี้แฟนละครเรื่องนี้ได้เลยทีเดียว... แบบใครเปิดที่ไหนจะไม่มีเราอยู่ที่นั่นแน่ๆอ่ะ ขนาดไปซื้อหนังสือได้แบบ box (เพราะเข้าใจผิดว่ามันลดมากกว่าแบบแยกเล่ม)ยังยกกล่องให้เพื่อนแทนเลยเอาไว้แต่หนังสือ 55 และนี่เป็นสิ่งเดียวที่อยากขอบคุณละครเรื่องคิวบิกก็คือมันที่ทำให้หนังสือนิยายเรื่องคิวบิก ขายดี เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น แค่นั้นล่ะค่ะ

ผลของการเป็นเป็นแอนตี้แฟนคือ ทั้งๆที่ปกติเวลาเราดูหนังหรือละครเราไม่เคยสนใจเลยว่าทีมงานทีมไหน นักแสดงชื่ออะไร เราจะสนใจโครงเรื่อง บทบาทที่นักแสดงแสดง และโปรดักชั่นโดยรวมเสียมากกว่า ถ้าหากว่าของเขาดีจริงเราก็จะไปตามดูงานแสดงอื่นๆของเขาต่ออย่างนักแสดงแบบป๋าจอนนี่ เดปป์ และลีโอนาโด ดีคาปรีโอประมาณนั้น แต่ยกเว้นละครเรื่องคิวบิกนี่แหละค่ะที่สำหรับเรามันแย่มากจนต้องจำชื่อไว้เป็นบทเรียน... ยูม่า อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน

เราคิดว่ายูม่าตาถึงนะคะที่เลือกนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นละคร เสียแค่ฝีมือไม่ถึงเท่านั้นเอง เลยไม่สามารถสื่อแก่นแท้ของนิยายเรื่องคิวบิกออกมาได้ มีข่าวหลายกระแสบอกมาว่ายูม่าโดนฟิกตัวนักแสดงจากทางช่อง หรือโดนสั่งปรับบท อันนี้ก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องเสียใจแทนพวกคุณด้วยที่ต้องเป็นแพะรับหนี้คำด่าที่คุณไม่ได้ก่อ อย่างไรซะก็ถือว่าเป็นบทเรียนว่าการจะเอานิยายที่กระแสตอบรับดีมากจากนักอ่านมาทำเป็นละครมันมาพร้อมกับกระแสวิจารณ์ที่มากพอๆกัน

ในสายตาเรา ยูม่าประสบความสำเร็จนะคะในการทำละครคิวบิกเป็นละครตลก คิดดูขนาดฉากเครียดๆ ไล่ยิงกันตายยังทำให้ขำได้ เมพไหมล่ะ
ประสบความสำเร็จในการแหวกพล็อตเรื่องที่แหวกแนวตลาด กลับมาเป็นละครตลาดได้ เก่งจริงๆ
ยิ่งประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเมื่อสามารถทำให้อัจฉริยะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้ ไม่ว่าจะทั้งฤทัยนาคหรือหย่งเหวิน ตามคำกล่าวที่ว่า อัจฉริยะกับคนบ้ามันต่างกันแค่เส้นกั้นบางๆ ยูม่าแค่ข้ามเส้นกั้นนั้นไปมันก็เท่านั้นเอง เหอะๆ

และอย่างที่เราเคยบอกมาตลอดว่ารับได้เสมอกับการปรับบท แต่การเปลี่ยนคาแรกเตอร์นี่เรารับไม่ไหวจริงๆ คนแต่ละคนบุคลิกนิสัยต่างกัน การกระทำย่อมต่างกัน ผลของการกระทำจึงต่างกัน ดังนั้นพอเปลี่ยนนิสัยตัวละครหลักที่เป็นตัวดำเนินเรื่องราวอย่างฤทัยนาคแล้วยังฝืนเดินเรื่องไปตามโครงเรื่องของนิยายตรรกะมันเลยเบี้ยวดูเชื่อไม่ได้ในหลายๆส่วนของละคร ดังนั้น ฉากระเบิดตึกเมื่อวานที่หลายๆคนถล่มกันว่าเปลี่ยนฤทัยนาคให้กลายเป็นสาวคลั่งรักงี่เง่าทำไม เราเองก็รับไม่ได้นะคะกับการเปลี่ยนบทแบบนี้ แต่เราคิดว่ามันเป็นตรรกะที่เข้ากับตัวละครฤทัยมิ้นที่สุดแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้ฤทัยนาคไม่มีทางทำหรอก แต่ถ้าเป็นฤทัยมิ้นของยูม่านางทำแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ (คหสต.นะคะ)

สรุปก็คือยูม่าประสบความสำเร็จในการทำนิยายคิวบิก ให้เป็นละคร คิวม่า (เห็นมีคนทั่วไปชอบก็คงประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในฐานะละครกระมัง)
เราจะขอจดจำนักแสดงทุกคนในฐานะ หลินบอม ฤทัยมิ้น จงน็อต หย่งต๊ะ ฯลฯ ของละครเรื่องคิวม่า ไม่ใช่ หลินหลานเซ่อ ฤทัยนาค จงซิน หย่งเหวิน แดนนี่ นันทกา เหม่ยจิง ฯลฯ ในนิยายเรื่องคิวบิก

พวกคุณแสดงได้ดีแล้ว ทำได้ดีแล้วตามความพยายามและความสามารถของคุณตามบทบาทของคิวม่า แค่มันไม่ใช่คิวบิกและไม่อาจเป็นคิวบิกได้มันก็เท่านั้นเอง เหอะๆ

//สำหรับเรื่องภาค Final ถ้าคิดว่าดีก็ทำไปค่ะ ถ้านำคำวิจารณ์ทั้งด้านบวกและลบไปปรับปรุงผลงานเราก็พร้อมให้โอกาศเสมอ ยกเว้นแต่ว่าถ้าทำภาคต่อแล้วยังออกมากะโหลกกะลาแบบภาคนี้อีกก็เกินเยียวยาแล้วล่ะค่ะ
//ออ... สุดท้ายก็ไม่ได้ดูละครย้อนหลังนะคะเพราะเน็ตเน่ามาก(ดูตอนสุดท้ายถึงวันที่ 3 กระมัง) ฉะนั้นไม่ต้องมาไล่ไม่ให้เค้าดูนะ
//ความรู้สึกส่วนตัวเหรอ... จบเสียที!!! ไม่มีภาคต่อก็ดีนะ แค่ภาคนี้ก็ทำร้ายติ่งนิยายต้องซดน้ำใบบัวบกเป็นว่าเล่นละ 55
//ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านงามๆที่กรุณาอดทนอ่านมาจนถึงตอนนี้... แสดงความคิดเห็นกันได้ตามสบายนะครับแต่ขอแบบสร้างสรรค์หน่อย ไม่เอาเกรียนนะครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่