คืออยากสอบถามอะค่ะว่าทำไมถึงไม่ผ่าน ทั้งๆที่เราแค่อยากไปเที่ยวอเมริกาสักสามเดือนช่วงปิดเทอมหยุดยาวหกเดือนละก็จะกลับแค่นั้นเอง
ก่อนอื่นขอเล่ารายละเอียดนะคะ
ครั้งแรก-------
ด้วยความที่ไอ่เราก็อยากประหยัดตังค์(งกอะแหละ)ก็เลยตัดสินใจทำวีซ่าเอง สมัครเอง ยื่นเอง ซึ่งก็ดันพอดี๊พอดีกะที่สถานทูตเค้าเปลี่ยนระบบใหม่พอดี
ตอนแรกก็เริ่มตะหงิดๆละ นี่เจออุปสรรคตั้งแต่ยังไม่เริ่ม --" ก็เลยพยายามงมเองจนนัดวันสัมภาษณ์ได้ พอไปถึงวันนัดสัมภาษณ์ก็แต่งตัวอย่างเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตแขนยาว กระโปรงประมาณเข่า เอกสารก็เตรียมมาครบพร้อมดี ครั้งแรกทำที่สถานทูตในกรุงเทพเนี่ยแหละค่ะ ตอนไปก็นั่งบีทีเอสไปเดินผ่านแถวๆที่เค้าประท้วงกัน นี่ตื่นเต้นที่จะไปสัมภาษณ์ก็ตื่นเต้น กลัวโดนระเบิดก็กลัว เรานัดคิวสัมภาษณ์ไว้ตอนเก้าครึ่งไปถึงประมาณแปดครึ่งได้ แล้วพอไปถึงหลังจางยืนรอคิวได้สองชั่วโมง ซึ่งอยากบอกว่า ณ จุดนั้นนี่จะทนไม่ไหวแล้วเพราะยืนรอนานมากกกกกกกกกกกกกกกจนน่องแทบปริ แต่ก็เข้าใจเพราะเค้าต้องให้คนที่นัดคิวไว้ก่อนเก้าครึ่งไปก่อน ละทีนี้ตอนตรวจกระเป๋าสัญญาณก็ดันดัง! ปรากฏว่าลืมเอาหูฟังออก พี่ยามที่ตอนแรกมาเรียกคิวก็เข้ามาด่าเลยค่า แต่คนข้างหลังเราซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงวัยทำงานเค้าก็ลืมเหมือนกันแต่กลับไม่โดนด่าไรเลย ไม่รู้ว่าเพราะเค้าเห็นเราเป็นเด็กหรือไม่ชอบหน้าเราก็ไม่รู้(ณ ตอนนั้นนี่คือหน้าเราแบบไม่ไหวแล้ว คิ้วขมวดเป็นหนวดปลาหมึกอะ นึกออกมะ?) พอเข้าไปเค้าก็ตรวจเอกสารให้เรียบร้อย แต่เราไม่มีใบinvitationเพราะเรากะไปเที่ยวแล้วไปพักอยู่บ้านญาติที่โน่น คนสัมภาษณ์ก็เป็นฝรั่งพูดไทยได้ เค้าก็ถามๆเราว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม เรียนที่ไหน ปีอะไร เราก็ตอบเค้าไปว่า ไม่เคยเปลี่ยน จะไปเที่ยวสามเดือน ละพักที่บ้านญาติซึ่งเป็นน้าแท้ๆเราเอง แล้วน้าก็จะเป็นคนออกค่ารใช้จ่ายให้ เค้าก็ถามต่อว่าญาติชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร นอกเหนือจากนี้เค้าก็มีถามแค่ว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง เราก็ตอบว่าจีนประเทศเดียว แล้วก็ไม่ขอดูเอกสารอะไรแล้วบอกปฏิเสธเรา อารมณ์ตอนนั้นคือแบบเสียใจมากกกกก ทั้งที่เราก็ตอบตามความจริงทุกอย่าง และก็ไม่ได้มีเจตนาจะหนีวีซ่าเลย ซึ่งพอกลับมาทบทวนดูเราก็คิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะเราไม่มีใบ invitation ละก็เราเป็นคนเสียงเบา เวลาพูดก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ก็เลยไปทำครั้งที่สองต่อหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน
ทำครั้งที่สอง......
ครั้งนี้ยอมเสียตังค์ทำกะเอเจนซี่ซึ่งเค้าก็ไม่ได้รับรองว่าเราจะผ่าน แต่เค้าก็จะทำดูให้ ทำที่สถานทูตที่เชียงใหม่ค่ะ ครั้งนี้คือไปทำพร้อมกับคุณแม่ซึ่งทำงานเป็นข้าราชการด้วย เพราะเอเจนซี่เค้าบอกว่าถ้าคุณแม่ทำด้วยละพาลูกไปโอกาสผ่านน่าจะสูง ตอนแรกนัดคิววันสัมภาษณ์วันที่ต้องการไม่ได้ เพราะคุณน้าจะกลับก่อนวันนั้นและเราก็กะจะกลับไปพร้อมน้า ถ้าไม่ได้ไปพร้อมน้าคุณพ่อก็ไม่ยอมให้ไปเพราะต้องเดินทางคนเดียว จนทางเอเจนซี่เค้าติดต่อกลับมาว่านัดวันที่ต้องการได้แล้ว ตอนนั้นเราดีใจมากกกกกเพราะถ้าผ่านก็ไปได้เลย แล้วพอดีพึ่งกลับจากจีนมาก่อนวันสัมภาษณ์หนึ่งวันก็เลยต้องรีบบินต่อมาเชียงใหม่เลย วันสัมภาษณ์ก็ดูราบลื่นดี พี่ยามใจดี เข้าไปก็ไปนั่งรอข้างในสถานทูตไม่ต้องยืนรอให้เมื่อย พอเข้าไปข้างในก็จะมีคนสัมภาษณ์คนไทยถามเราก่อนสองสามคำถามไม่มีไรมาก จากนั้นก็ไปนั่งรอ แล้วคนสัมภาษณ์ที่เป็นฝรั่งก็เรียกไปสัมภาษณ์ต่อ เค้าก็ถามเราเหมือนเดิมว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม จะไปเที่ยวที่ไหน พักกี่เดือน เคยไปเที่ยวประเทศอะไรมาบ้าง แต่คราวนี้เราเปลี่ยนให้คุณแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ ละจะไปเที่ยวกันหนึ่งเดือน ไปเยี่ยมญาติด้วย เค้าก็ถามว่าทำไมตอนแรกบอกสามเดือน เราก็เลยตอบไปว่าตอนนั้นกะไปคนเดียวเพราะมหาลัยปิดเทอมหกเดือน แต่ครั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จะไปด้วยก็เลยไปแค่หนึ่งเดือน เพราะคุณพ่อคุณแม่เราต้องกลับมาทำงาน (เอาจริงๆก็คือต้องสตรอใส่บ้างอะค่ะ ก็เราพูดความจริงซื่อๆไปก็ไม่เชื่อ แต่ก็พยายามตอบให้ฟังดูมีเหตุมีผลมากที่สุด อ้อ!อีกอย่างคุณพ่อมีวีซ่าอเมริกาแล้วค่ะ คราวนี้เค้าขอเรียกดูเอกสารด้วย แล้วเค้าก็ถามเกี่ยวกับญาติเราอีก คราวนี้คีย์เสิร์ชหาข้อมูลญาติเราเลยทีเดียว แล้วก็ถามว่าญาติเราไปกี่ปีแล้ว ไปวีซ่าอะไร แล้วก็พิมๆอะไรไม่รู้สักพัก จากนั้นก็ให้เรากะแม่สแกนลายนิ้วมือกันอีกคนละรอบ แล้วก็ถามต่ออีกสองสามคำถามละก็บอกว่าไม่ผ่าน แต่ตอนนั้นคือเราอะปลงละ ขอยากขอเย็นเหลือเกิน แต่สงสารคุณแม่มากเพราะคุณแม่ต้องมาช่วยเราเตรียมเอกสารอีกเยอะแยะสารพัด แล้วก็ต้องมาเสียเงินค่าทำไปอีกหลายบาท (ค่าวีซ่าแพงโหดดดดดTT) ทีนี้เราก็กลับมาคิดดูอีกรอบว่าทำไมไม่ผ่าน ทั้งๆที่เราก็เป็นนิสิตนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็รับราชการ หรืออาจเป็นเพราะเราพึ่งไปทำละไม่ผ่านมา? หรือพึ่งมาหมุนบัญชีรึเปล่าคะ? แล้วเราก็พึ่งมารู้ทีหลังว่าญาติเราเค้าไปวีซ่าท่องเที่ยวแล้วไปแต่งงานที่นู่น ทำให้เราดูขาดความน่าเชื่อถือไหมคะ? แบบกลัวประวัติซ้ำรอยไรงี้ แต่เราถามเอเจนซี่ เค้าก็บอกว่าปกติเค้าก็จะพิจารณาจากตัวบุคคลเป็นคนๆไปงี้ ขอคำปรึกษาหน่อยค้าาา อีกหน่อยถ้าเราเรียนจบจะไปเรียนต่อที่นู่นจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าอะคะ T__________________T
ไปทำวีซ่าอเมริกามาสองครั้งละไม่ผ่าน TT
ก่อนอื่นขอเล่ารายละเอียดนะคะ
ครั้งแรก-------
ด้วยความที่ไอ่เราก็อยากประหยัดตังค์(งกอะแหละ)ก็เลยตัดสินใจทำวีซ่าเอง สมัครเอง ยื่นเอง ซึ่งก็ดันพอดี๊พอดีกะที่สถานทูตเค้าเปลี่ยนระบบใหม่พอดี
ตอนแรกก็เริ่มตะหงิดๆละ นี่เจออุปสรรคตั้งแต่ยังไม่เริ่ม --" ก็เลยพยายามงมเองจนนัดวันสัมภาษณ์ได้ พอไปถึงวันนัดสัมภาษณ์ก็แต่งตัวอย่างเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตแขนยาว กระโปรงประมาณเข่า เอกสารก็เตรียมมาครบพร้อมดี ครั้งแรกทำที่สถานทูตในกรุงเทพเนี่ยแหละค่ะ ตอนไปก็นั่งบีทีเอสไปเดินผ่านแถวๆที่เค้าประท้วงกัน นี่ตื่นเต้นที่จะไปสัมภาษณ์ก็ตื่นเต้น กลัวโดนระเบิดก็กลัว เรานัดคิวสัมภาษณ์ไว้ตอนเก้าครึ่งไปถึงประมาณแปดครึ่งได้ แล้วพอไปถึงหลังจางยืนรอคิวได้สองชั่วโมง ซึ่งอยากบอกว่า ณ จุดนั้นนี่จะทนไม่ไหวแล้วเพราะยืนรอนานมากกกกกกกกกกกกกกกจนน่องแทบปริ แต่ก็เข้าใจเพราะเค้าต้องให้คนที่นัดคิวไว้ก่อนเก้าครึ่งไปก่อน ละทีนี้ตอนตรวจกระเป๋าสัญญาณก็ดันดัง! ปรากฏว่าลืมเอาหูฟังออก พี่ยามที่ตอนแรกมาเรียกคิวก็เข้ามาด่าเลยค่า แต่คนข้างหลังเราซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงวัยทำงานเค้าก็ลืมเหมือนกันแต่กลับไม่โดนด่าไรเลย ไม่รู้ว่าเพราะเค้าเห็นเราเป็นเด็กหรือไม่ชอบหน้าเราก็ไม่รู้(ณ ตอนนั้นนี่คือหน้าเราแบบไม่ไหวแล้ว คิ้วขมวดเป็นหนวดปลาหมึกอะ นึกออกมะ?) พอเข้าไปเค้าก็ตรวจเอกสารให้เรียบร้อย แต่เราไม่มีใบinvitationเพราะเรากะไปเที่ยวแล้วไปพักอยู่บ้านญาติที่โน่น คนสัมภาษณ์ก็เป็นฝรั่งพูดไทยได้ เค้าก็ถามๆเราว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม เรียนที่ไหน ปีอะไร เราก็ตอบเค้าไปว่า ไม่เคยเปลี่ยน จะไปเที่ยวสามเดือน ละพักที่บ้านญาติซึ่งเป็นน้าแท้ๆเราเอง แล้วน้าก็จะเป็นคนออกค่ารใช้จ่ายให้ เค้าก็ถามต่อว่าญาติชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร นอกเหนือจากนี้เค้าก็มีถามแค่ว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง เราก็ตอบว่าจีนประเทศเดียว แล้วก็ไม่ขอดูเอกสารอะไรแล้วบอกปฏิเสธเรา อารมณ์ตอนนั้นคือแบบเสียใจมากกกกก ทั้งที่เราก็ตอบตามความจริงทุกอย่าง และก็ไม่ได้มีเจตนาจะหนีวีซ่าเลย ซึ่งพอกลับมาทบทวนดูเราก็คิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะเราไม่มีใบ invitation ละก็เราเป็นคนเสียงเบา เวลาพูดก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ก็เลยไปทำครั้งที่สองต่อหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน
ทำครั้งที่สอง......
ครั้งนี้ยอมเสียตังค์ทำกะเอเจนซี่ซึ่งเค้าก็ไม่ได้รับรองว่าเราจะผ่าน แต่เค้าก็จะทำดูให้ ทำที่สถานทูตที่เชียงใหม่ค่ะ ครั้งนี้คือไปทำพร้อมกับคุณแม่ซึ่งทำงานเป็นข้าราชการด้วย เพราะเอเจนซี่เค้าบอกว่าถ้าคุณแม่ทำด้วยละพาลูกไปโอกาสผ่านน่าจะสูง ตอนแรกนัดคิววันสัมภาษณ์วันที่ต้องการไม่ได้ เพราะคุณน้าจะกลับก่อนวันนั้นและเราก็กะจะกลับไปพร้อมน้า ถ้าไม่ได้ไปพร้อมน้าคุณพ่อก็ไม่ยอมให้ไปเพราะต้องเดินทางคนเดียว จนทางเอเจนซี่เค้าติดต่อกลับมาว่านัดวันที่ต้องการได้แล้ว ตอนนั้นเราดีใจมากกกกกเพราะถ้าผ่านก็ไปได้เลย แล้วพอดีพึ่งกลับจากจีนมาก่อนวันสัมภาษณ์หนึ่งวันก็เลยต้องรีบบินต่อมาเชียงใหม่เลย วันสัมภาษณ์ก็ดูราบลื่นดี พี่ยามใจดี เข้าไปก็ไปนั่งรอข้างในสถานทูตไม่ต้องยืนรอให้เมื่อย พอเข้าไปข้างในก็จะมีคนสัมภาษณ์คนไทยถามเราก่อนสองสามคำถามไม่มีไรมาก จากนั้นก็ไปนั่งรอ แล้วคนสัมภาษณ์ที่เป็นฝรั่งก็เรียกไปสัมภาษณ์ต่อ เค้าก็ถามเราเหมือนเดิมว่าเคยเปลี่ยนชื่อไหม จะไปเที่ยวที่ไหน พักกี่เดือน เคยไปเที่ยวประเทศอะไรมาบ้าง แต่คราวนี้เราเปลี่ยนให้คุณแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ ละจะไปเที่ยวกันหนึ่งเดือน ไปเยี่ยมญาติด้วย เค้าก็ถามว่าทำไมตอนแรกบอกสามเดือน เราก็เลยตอบไปว่าตอนนั้นกะไปคนเดียวเพราะมหาลัยปิดเทอมหกเดือน แต่ครั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จะไปด้วยก็เลยไปแค่หนึ่งเดือน เพราะคุณพ่อคุณแม่เราต้องกลับมาทำงาน (เอาจริงๆก็คือต้องสตรอใส่บ้างอะค่ะ ก็เราพูดความจริงซื่อๆไปก็ไม่เชื่อ แต่ก็พยายามตอบให้ฟังดูมีเหตุมีผลมากที่สุด อ้อ!อีกอย่างคุณพ่อมีวีซ่าอเมริกาแล้วค่ะ คราวนี้เค้าขอเรียกดูเอกสารด้วย แล้วเค้าก็ถามเกี่ยวกับญาติเราอีก คราวนี้คีย์เสิร์ชหาข้อมูลญาติเราเลยทีเดียว แล้วก็ถามว่าญาติเราไปกี่ปีแล้ว ไปวีซ่าอะไร แล้วก็พิมๆอะไรไม่รู้สักพัก จากนั้นก็ให้เรากะแม่สแกนลายนิ้วมือกันอีกคนละรอบ แล้วก็ถามต่ออีกสองสามคำถามละก็บอกว่าไม่ผ่าน แต่ตอนนั้นคือเราอะปลงละ ขอยากขอเย็นเหลือเกิน แต่สงสารคุณแม่มากเพราะคุณแม่ต้องมาช่วยเราเตรียมเอกสารอีกเยอะแยะสารพัด แล้วก็ต้องมาเสียเงินค่าทำไปอีกหลายบาท (ค่าวีซ่าแพงโหดดดดดTT) ทีนี้เราก็กลับมาคิดดูอีกรอบว่าทำไมไม่ผ่าน ทั้งๆที่เราก็เป็นนิสิตนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็รับราชการ หรืออาจเป็นเพราะเราพึ่งไปทำละไม่ผ่านมา? หรือพึ่งมาหมุนบัญชีรึเปล่าคะ? แล้วเราก็พึ่งมารู้ทีหลังว่าญาติเราเค้าไปวีซ่าท่องเที่ยวแล้วไปแต่งงานที่นู่น ทำให้เราดูขาดความน่าเชื่อถือไหมคะ? แบบกลัวประวัติซ้ำรอยไรงี้ แต่เราถามเอเจนซี่ เค้าก็บอกว่าปกติเค้าก็จะพิจารณาจากตัวบุคคลเป็นคนๆไปงี้ ขอคำปรึกษาหน่อยค้าาา อีกหน่อยถ้าเราเรียนจบจะไปเรียนต่อที่นู่นจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าอะคะ T__________________T