อาทิตย์อับแสง (บทที่ 22) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 22)



ข่าวที่ออกมาแพร่สะพัด ซุบซิบกันดังลั่นสนั่นธนาคาร แต่ภูเก็ตทำเป็นไม่ได้ยินไม่สนใจ ทีท่านิ่ง มีรอยยิ้มประปราย จนไม่มีใครจับความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงได้เช่นเคย

“อีเจ๊จะย้ายไปคุมอีกฝ่าย” สาธิณีกระซิบกับในทีม “เห็นว่าชีพยายามสุดฤทธิ์ที่จะดันไอ้ณัฐขึ้นแทนเต็มที่”

“แต่ไอ้นั่นบารมีไม่พอ ประสบการณ์ไม่ถึง ทำงานไม่ถึงปีเลย” ลูกทีมอีกคนเสริม แล้วต่อด้วย

“แต่ถ้าจะมีการย้ายก็ไม่น่าจะปีนี้ น่าจะปีหน้ามากกว่า” ยังมีอีกคนที่รู้จริง

เพียงแต่ว่าภูเก็ตก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะใส่ใจนัก คงคล้ายกับที่เขาไม่สนใจเมื่อเย็นวันนั้น เขาจัดแจงสอดซองจดหมายสีครีมนวลลงในตู้จดหมายของห้องพัก

ซองสีครีมทำจากกระดาษชั้นดีจ่าหน้าซองถึง…คุณเกษรา

ในยุคอินเตอร์เน็ทและชีวิตบนโทรศัพท์มือถือเช่นนี้ เขาก็ยังเชื่อในวิธีกาสื่อสารโดยวิธีการเดิม ที่ไม่เพียงแต่เป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย แต่ยังดูเป็นทางการ และแม้จะเป็นเช่นนั้น ภูเก็ตก็ยังไม่วายตามด้วยข้อความสั้นๆ ทางโทรศัพท์ ย้ำอีกทีว่า

มีความประสงค์จะไม่ต่อสัญญาเช่า และจะย้ายออกทันทีที่สัญญาสิ้นสุด

ดวงตาคมปรายมองปฏิทินที่ตังอยู่บนโต๊ะพนักงานต้อนรับของคอนโด ไม่ต้องดูก็รู้ เขาเหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนเท่านั้น

หลังจากนั้น…เวลาความคุ้นเคยทั้งหมดคงจบสิ้นแล้ว สิ้นสุดเสียที









เสียงกดออดหลายทีย้ำซ้ำไปมาทำให้ในที่สุดคุณมัลลิกาต้องบอกกับเด็กจุ๋มที่กำลังเป็นลูกมือในการเช็ดตัวหญิงชราร่างผอมบางที่นอนครึ่งหลับครึ่งตื่นใต้ผ้าห่มผืนใหญ่

“ไปดูซิว่าใคร ถ้ามาหาป้าก็บอกไปว่าป้าไม่อยู่ และถ้าเป็นพวกแฟนคลับของหนูปีบก็บอกไปเหมือนเช่นเคย”

เช่นเคย…คือข้ออ้าง เหตุผล และหลายที…ความจริง ที่ทุกคนในบ้านจำจนขึ้นใจ

‘เกดไม่อยู่ ไม่ได้มาหลายอาทิตย์แล้ว’

‘ผิดบ้านแล้วค่ะ’

และอื่นๆ ที่พีทซี่ล้วนแต่ซักซ้อมให้เสร็จสรรพ และเด็กจุ๋มก็ท่องจนขึ้นใจ และพลิกแพลงใช้อย่างคล่องแคล่วทุกครั้งไป

เพียงแต่ว่าคราวนี้ เสียงวิ่งจากหน้าบ้านดังตึงตังลั่น ก่อนที่เด็กสาวจะเปิดประตูห้องเข้ามารายงาน

“คุณภูเก็ตมาค่ะ หนูบอกไปแล้วว่าป้ายุ่งอยู่ แต่เขาบอกว่ารอได้ หนูเลยให้รอที่เฉลียงข้างนอก”

คำบอกนั่นทำให้คุณมัลลิกาถอนหายใจ นี่ยังดีที่เป็นภูเก็ต

คุณมัลลิกามองออกมานอกหน้าต่างจากห้องนอนชั้นล่าง เห็นว่า เขาผู้นั้น…รอ จริง

ร่างสูงไม่ได้หลบภายใต้ร่มเงาของเฉลียงเล็กหน้าบ้าน แต่เขายืนนิ่ง ใต้ร่มเงาของต้นปีบสูง ดวงหน้าสงบ ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ

เพียงแต่ว่าเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน รอยยิ้มก็พลันกระจ่างเต็มใบหน้าคมคายของผู้ชายรูปงาม

“ผมมาเยี่ยมครับ”

คำบอกสั้น เหมือนเดิมเช่นทุกครั้งที่มาหา จนกลายเป็นเรื่องปรกติเสียแล้ว เพราะภูเก็ตมักจะแวะเวียนมาทุกๆ สอง สามอาทิตย์ด้วยเหตุผลเดียวกันว่า

‘มาหาลูกค้าที่แปดริ้ว เลยแวะมาเยี่ยม’

จริงเท็จแค่ไหนก็ยากที่จะหยั่งรู้ แต่การพูด และสิ่งที่เขาแสดงออก ก็ทำให้เป็นจริงได้ทุกครั้ง และทุกครั้งที่มาเยือน เขาก็อยู่ไม่นาน มาพอดีกับเวลา…ไม่เช้านัก ไม่เย็นจนเกินไป แล้วก็ลากลับในเวลาอันควร

ทุกอย่างพอดิบ พอดี จนคุณมัลลิกาอยากจะคิดว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ แกล้งตีสนิทชิดเชื้อ แกล้งแวะเวียนให้ตายใจ

เพื่อผลประโยชน์ที่หลายคนใคร่ได้มานัก

แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังมีท่าทีเช่นเดิม การกระทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะมากกว่าความเป็น…เพื่อน

เป็น…ผู้เช่าห้อง

ผู้ดูแลบัญชีและธุรกรรมลงทุน

ไม่ได้ต้องการอะไรเกินเลยไปกว่าหน้าที่และความจำเป็น

หากเพียงแต่ว่า หลายคราที่แวะเวียนมา เขาก็มักจะอาสาท่องกลอนไพเราะเสนาะหู ตามใจ…คุณยาย ไม่ต่างจากหน้าที่ประจำของ…หนูปีบ ยามอยู่บ้าน

นิจจาเอ๋ยเคยเห็นอยู่เย็นเช้า
จะแลเปล่าเปลี่ยวใจเมื่อผายผัน
สงสารแก้วแววตาวิลาวัณย์
จะโศกศัลย์เสียใจอาลัยลาน


[“พระอภัยมณี” ประพันธ์โดย สุนทรภู่]


‘คุณยายจะได้เพลิน’

นายธนาคารรูปงามมักอ้างเช่นนั้น ท่องผิดท่อถูก แต่เขาก็เพียรท่องไป จะลากลับก็เมื่อคนตั่งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อหลับไปแล้ว

‘ผมขอตัวครับ’

เสียงอ่อนน้อมมักบอกกับคุณมัลลิกาเช่นนั้น การลาเรียบง่าย ไม่เคยแม้แต่พูดถึงเกษรา ท้าวสาวความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเพื่อน หรือฉันท์อื่นใด

และเมื่อเป็นเช่นนั้น นานวันเข้า คุณมัลลิกาจึงเห็นเขาเป็นหนึ่งในบรรดาคนคุ้นเคยที่บัดนี้เหลือน้อยนักในชีวิต

เพียงแต่วันนี้ สีหน้าของคนที่มักยิ้มสะพรั่งราวต้นปีบที่ออกดอกเต็มต้น กลับนิ่งจนเกือบเฉยเมิน ไร้รอยยิ้มตระการตาที่คุ้นเคย

“ผมลาครับ” คำบอกเรียบๆ ไม่ต่างจากสีหน้า

การลา…ผิดแผกไปจากเดิม น่าใจหาย จนคุณมัลลิกาทัก

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ครับ” คำปฏิเสธทันที แล้วเสริม “แค่เรื่องงาน”

“แล้วเรื่องที่พัก ที่อยู่”

“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณคุณป้าที่เป็นห่วง ต่อไปผมคงไม่รบกวนหนูปีบแล้ว” เสียงเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกอื่นใด

“หนูปีบรู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ”

การรับคำ ไม่ได้เป็นการยอมรับ หากเพียงแค่ว่า…ตอบ ตามมารยาทเสียมากกว่า

ข้อนี้ทั้งคนพูดและคนรับฟังย่อมรู้

“คุณภู”

การเรียกของหญิงชราทำให้อีกฝ่ายหยุดกึก หันมาอีกครั้ง ทีท่านอบน้อม และอีกแล้วที่เขาเอ่ยสั้นๆ

“ครับ?”

“นายธนาคารที่หนูปีบเป็นข่าวด้วย ไม่ใช่คุณใช่ไหม”

“ไม่ใช่ผมครับ” คำยอมรับในความจริงเรียบง่ายและทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ จริงใจ

“ใคร?”

“หนูปีบโตแล้ว ต่อให้คนๆ นั้นเป็นใคร ผมก็คิดว่าหนูปีบตัดสินใจดีที่สุดแล้ว”

ภูเก็ตให้ความเห็นเช่นนั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่แน่ใจเอาเสียเลย

เพราะแม้ว่าคุณมัลลิกาจะถาม “คนๆ นั้นเป็นคนดีหรือเปล่า”

แต่เขาก็เพียงก้มหน้าบอก

“ผมคิดว่าหนูปีบไม่น่าจะมองคน…ผิด”

ชายหนุ่มเปิดประตูรถยนต์คันเล็ก ถอนหายใจยาวเหยียด มือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยแน่น จนเห็นเป็นรอยนูน เขาเหลือบมองกระจกหลังเมื่อเข้านั่งประจำที่คนขับก่อนจะหันก้มมองหนังสือพิมพ์ที่วางบนเบาะข้างๆ

เกษรา…และนายธนาคาร

ข่าวสะพัดไม่เพียงแค่ในฉบับนี้ แต่ยังมีอีกหลายฉบับ แล้วไหนจะการสนทนาบนอินเตอร์เน็ทที่ว่ากล่าวกันไปต่างๆ นาๆ

ข่าว…ถูกลือมาเดือนกว่าๆ

เพียงแต่ว่า ภูเก็ตยังไม่เคยเห็นกับตา อาจจะเป็นเพราะเกษรายังไม่เคยพา…ณัฐมาที่คอนโด

ถ้าพามา ก็ต้องมีพนักงานที่เขาสนิทด้วยกระซิบบอก

หากทว่าทุกอย่าง…เงียบ

หรือเกษรากลัว…ใคร

หรือว่า…ท่านเจ้าสัว

แล้วเจ้าสัวรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ถ้ารู้…จะว่าอย่างไร

ภูเก็ตขับรถยุโรปคันเก่าพามันเข้ามาในกรุงเทพ ที่พอมาถึงก็เป็นเวลาย่ำค่ำเสียแล้ว และแทนที่จะกลับเข้าคอนโดที่พักเช่นเคย เขาเลือกที่จะมานั่งในไนท์คลับของโรงแรมหรู หากเพราะอาการกระสับกระส่ายทำให้ในที่สุดเขาตัดสินใจออกมา แล้วไปหาที่ดื่มในผับเล็กๆ

ความคิดหลายอย่างแล่นเข้ามา พร้อมๆ กับ…ผู้หญิง

ผู้หญิงที่เข้ามาหานั้นพอมี จนเป็นความเคยชิน เพราะไม่ว่าที่ไหนที่เขาไปก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ภูเก็ตก็จะทำความรู้จักทุกครั้งไป บางคน ถ้าพอใจ เขาก็…พากลับ

มีไม่กี่คน…ที่คบหากันเป็นเดือนๆ

พอเบื่อก็เลิกรา

ไม่มีใคร…ถึงปี

และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ในคืนนี้ ภูเก็ตไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ การพูดคุยตามมารยาท เท่าที่จำเป็น…เท่านั้น

จนเกือบเที่ยงคืนกว่า เขาก็กลับมาถึงคอนโดที่พัก ให้พยายามเดินตัวตรงเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าร่างเขาก็ยิ่งโซเซเท่านั้น สายตาที่จับมองก็พร่ายิ่งนัก

พวงกุญแจในมือตกลงหล่นบนพื้นเป็นครั้งที่สาม และเป็นอีกครั้งที่นายธนาคารหนุ่มต้องก้มลงเก็บ

เพียงแต่ว่าครั้งนี้มือของเขาช้ากว่ามือเรียวที่คว้าพวงกุญแจนั้นได้ก่อน

“ภูเก็ต”

เสียงราวกระซิบอยู่ข้างหู ทำให้ชายหนุ่มที่พลันปิดตาแน่นิ่ง ตั้งสติก่อนจะหันไปยังอีกฝ่าย รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปาก หาดวงตาที่เปิดช้าๆ ของเขาฉ่ำชุ่ม แกมเศร้า แม้เมื่อเอ่ยเพียงในลำคอ

“ครับ”

“ทำไมคุณไม่โทรฯ กลับ”

“ผมให้ณัฐโทรฯ หาแล้ว มีปัญหาอะไรเหรอ”

“แต่ฉันโทรฯ หาคุณ” เสียงคาดคั้นหาเรื่อง

“ผมไม่ได้เป็นแบงก์เกอร์ของคุณแล้วนะคุณเกษรา” สุ่มเสียงเน้นหนักเป็นทางการ พยายามกลืนความน้อยใจบางอย่างลงในคอ

ใจ…ยังเจ็บไม่วายเมื่อสำลักความจริงว่า เจ้าหล่อนย้ายเงินลงทุนกับธนาคารแอลทัสที่มีอยู่ไปทีมบีของณัฐเสียหมด

แล้วไหน…ใจ ที่ยังคิดหลายเรื่องจนเขาจวนเจียน…ตัดใจ

“แต่ฉันเป็นลูกค้าของธนาคารของคุณ” หญิงสาวอ้างด้วยความจริง

“แล้วยังไง”

“เงินเดือนของคุณ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากฉัน” การทวงแจ่มจ้าชัดเจน

“สมัยก่อน…ใช่” เขาหัวเราะในลำคอ “แต่ตอนนี้ไม่ใช่ จะหาเรื่องผมยังไงก็ตามใจเถอะ” มือใหญ่คว้าพวงกุญแจคืน แล้วไขประตูห้องเปิด

“ภูเก็ต!”

“ผมขอร้อง…” สีหน้าเรียบเฉยยามหันกลับมา ไม่ต่างนักจากน้ำเสียง “ผมอาศัยอยู่ห้องของคุณอีกไม่นานนัก อย่างสร้างเรื่องอะไรให้ผมปวดหัวอีกเลย ที่ผมเคยทำให้คุณเกือบเสียงาน…ผมขอโทษ และเคยตั้งใจจะขอโทษด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที ครั้งนี้ผมหวังว่าคุณจะรับคำขอโทษของผม เลิกแล้วต่อกันนะครับคุณเกษรา ถ้าคุณมีอะไรกับผม ให้มาลงที่ผม อย่าไปลงที่ทีมของผม หรือคนที่แบงก์”

“นี่คุณเห็นฉันเป็นคนแบบไหน”

“ก็แบบที่คุณเป็น”

คำบอกของเขาทำให้เกษรากะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง พลันเธอหัวเราะเบาๆ “แล้วแบบไหนล่ะ”

“คุณอยากให้คนอื่นมองคุณแบบไหน หรือคิดว่าผมมองคุณแบบไหน…ก็แบบนั้น”

“ภูเก็ต…”

เสียงเบาระคนด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้คนที่กำลังหันหลังปิดประตูชะงัก

“ครับ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นคำถาม ชั่งใจ…ไม่หันกลับ

“คุณจะไปอยู่ที่ไหน”

เกษราย่อมรู้…ห้องพักหรูหรา ราคาดีแสนดี มีไม่กี่แห่ง

แต่คนที่มีเงิน มีชาติตระกูลเช่นนายธนาคารอย่างภูเก็ตย่อมมีที่ไป

แถมผู้หญิงของเขา สาวแก่แม่ม่ายมากหน้าหลายตาก็พร้อมสนับสนุน นายธนาคารรูปงาม คงมีสปอนเซอร์ให้เลือกมากมายนัก

“ผมเป็นคนไม่ชอบตื่นเช้า” ดวงหน้าครุ่นคิดเพียงนิด พร้อมรอยยิ้มบางๆ แตะบนสีหน้าเคร่งจริงจังที่หันให้อีกฝ่ายเห็นเพียงเสี้ยว “คงไม่ไปไกลจากที่ทำงานหรอก อ้อ…ผมตั้งใจจะขอโทษคุณหลายทีแล้ว แต่ไม่มีโอกาส วันนั้นผม ไม่ตั้งใจจะแกล้ง…”

“เรื่องมันนานมาแล้ว” เกษราตัดบท “ฉันลืมไปแล้ว”

“คุณลืมง่าย” เพียงแต่ว่าประโยคต่อไปอ่อนล้า “ผมซิมักไม่ลืมว่าทำอะไร หรือใคร…ทำ”

“ชีวิตเราต่างกันมั้ง อย่างฉัน…ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร”

“ต่างจากผม ผมมีมิตรไม่มาก ส่วนใหญ่ก็มีแต่ศัตรู” ประตูห้องแง้มออกเพียงนิด สีหน้าของคนที่อยู่หลังบานประตูไม้ใหญ่เคร่งขรึมจริงจัง “และถ้าเกิดใครเป็นศัตรูกับผมแล้ว ก็เป็นศัตรูกันถาวร ราตรีสวัสดิ์”

เสียงของเขาในประโยคหลังอ่อนลง หากเพียงเพราะประตูไม้ใบหนาที่ถูกปิดลง กลบเสียงทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

แม้แต่เสียงถอนหายใจของคนที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้อง




(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่