ข่าวจาก ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง(TCIJ)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์ www.facebook.com/tcijthai
--------------------------------------------------------------------------------------
ที่ดินสยามสแควร์มูลค่าสูงลิบ บีบผู้ค้าจ่ายค่าเช่าสูงลิบ นับหมื่นจนถึงกว่าสองแสนบาท ยังไม่นับกรณีไล่อุเทนถวายที่ยังไม่จบ พร้อมขึ้นค่าเช่ากรมพละสูงถึง50เท่า ขณะที่เมื่อกว่า40ปีก่อน สร้างผลประโยชน์จนมีการทุจริตถึงขั้นนิสิตต้องออกมาประท้วงขับไล่ผู้บริหาร แต่ผ่านมาก็ยังไล่รื้อผู้อาศัยจำนวนมากออกไปจากพื้นที่เพื่อสร้างผลประโยชน์ในที่ดิน ขณะที่มีข้อกังขาว่า เพราะอะไรจุฬาฯจึงไม่ต้องเสียภาษี
มูลค่าที่ดินบริเวณสยามสแควร์ที่สูงมาก ดังที่ศูนย์ข่าว TCIJ รายงานมาก่อนหน้านี้ว่า อาจสูงถึงตารางวาละ 2 ล้านบาทในปี 2558 นั้น ทำให้การทำธุรกิจการค้าในย่านนี้มีมูลค่าสูงตามค่าเช่าพื้นที่ไปด้วย จากการสำรวจของ ศูนข่าว TCIJ พบว่า ในการเช่าอาคารเพื่อทำธุรกิจในสยามสแควร์ที่มีทั้งเช่าตรงกับสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ หรือเช่าช่วงต่อจากผู้เช่ารายก่อน มีอัตราค่าเช่าตั้งแต่ 70,000-250,000 บาท/เดือน แปรผันตามขนาดพื้นที่หรือทำเล ซึ่งมีตั้งแต่เช่าทั้งอาคารหรือแบ่งเช่าเป็นชั้น ๆ โดยมีห้องหรืออาคารบางแห่งติดประกาศให้เช่าโดยผู้ที่เช่าทำธุรกิจรายก่อน แต่เมื่อทำการสอบถามไปยังสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ พบว่า ผู้เช่าไม่มีการแจ้งให้ทางสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ทราบว่า ได้ยุติกิจการและปล่อยเช่าช่วงพื้นที่ต่อ ทางสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ เองก็ไม่มีข้อมูลว่าในพื้นที่สยามสแควร์มีผู้เช่ารายใดบ้างที่ได้ปล่อยให้เช่าช่วงพื้นที่ไปแล้ว
และเมื่อเป็นทำเลทอง บริเวณตามตรอกช่องว่างระหว่างอาคารบางจุด จึงมีเอกชนมาลงทุนเช่าพื้นที่ โดยใช้โครงเหล็กกั้นเป็นห้อง เช่น ซอยข้างร้านมาริน่า เอชเค มีราคาค่าเช่าตั้งแต่ประมาณ 15,000 -24,000 บาท/เดือน หรือซอยที่เคยเป็นโครงการ Good little space ใกล้กับถนนอังรีดูนังต์ ปัจจุบันเป็นลานจอดจักรยานยนต์ ของบริษัท เจนก้องไกล จำกัด โดยช่วงแรกเริ่มโครงการมีค่าเช่า 12,000 บาท แต่ภายหลังก็มีการปรับลดลง เนื่องจากไม่มีคนเช่าและไม่มีลูกค้าเข้าไปจับจ่ายในพื้นที่ ทำให้ผู้ค้าทยอยออกจากพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนปิดตัวในที่สุด
นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งอันเกิดขึ้นจากการอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ 21 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลอุเทนถวาย หลังถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอคืนพื้นที่ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในฐานะเจ้าของที่ดิน ก็ยังคงเป็นปัญหาที่หาข้อยุติไม่ได้จนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นประเด็นที่สังคมสนใจขยายไปสู่ประเด็นอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะความพยายามของจุฬาฯ ในการยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินของหน่วยงานราชการต่าง ๆ การไล่รื้อเอกชนและผู้เช่าเก่าแก่ เพื่อนำที่ดินทั้งหมดมาใช้ในแนวทางพัฒนาธุรกิจการพาณิชย์
มุ่งพัฒนาที่ดินสู่ผลประโยชน์ทางธุรกิจตั้งแต่อดีต
แม้เจตนารมณ์การใช้ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะได้ระบุไว้ตาม พ.ร.บ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย พ.ศ.2482 จะถูกประกาศอย่างชัดเจนว่า “เพื่อเป็นสถานศึกษาและค้นคว้าศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อจะส่งเสริมวิชาชีพชั้นสูงและทะนุบำรุงวัฒนธรรมแห่งชาติสืบไป” แต่ในเวลาต่อมากลับพบว่า ได้มีการนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจเพิ่มเติมตามแนวคิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน “ยุคพัฒนา” ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา
ที่ดินบริเวณแยกปทุมวัน เริ่มกลายเป็นที่ดินทำเลทอง มีการก่อสร้างศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่แทนที่ “เมืองเก่า” บริเวณเจริญกรุง เยาวราช พาหุรัดแต่เดิม จุฬาเริ่มต้นทำโครงการปทุมวันสแควร์ (บริเวณสยามสแควร์ในปัจจุบัน) บนพื้นที่ 63 ไร่ บริเวณแยกปทุมวัน ริมถนนพญาไทและพระราม 1 ซึ่งบริหารโดย บริษัท South East Asia (ปัจจุบันคือ Seacon Home ) เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาให้เป็นศูนย์การค้าแบบเปิดโล่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ สูง 3-4 ชั้น ประมาณ 610 คูหา มีอาคารขนาดใหญ่บ้าง เช่น โรงภาพยนตร์ โรงโบว์ลิ่ง มีการวางผังอาคาร ถนน ที่จอดรถและระบบสาธารณูปโภคไว้อย่างดี ธุรกิจที่เข้ามาเปิดดำเนินการหลากหลาย อาทิ ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้า ร้านตัดผม และร้านอาหาร ส่วนใหญ่ย้ายมาจากย่าน “เมืองเก่า”
นอกจากนั้น การที่ประเทศไทยได้จัดเอเชี่ยนเกมส์ ติดต่อกัน 2 ครั้งในปี 2509 และ 2513 โดยมีสนามศุภชลาศัยเป็นศูนย์กลางของการแข่งขัน (ที่ดินดังกล่าวเป็นของจุฬาฯ กรมพลศึกษา เป็นผู้เช่า) นำมาสู่การปรับปรุงสาธารณูปโภคบริเวณแยกปทุมวันอีกเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งมีส่วนเสริมทำให้ที่ดินของจุฬาฯ มีมูลค่าสูงขึ้นตามลำดับ พร้อม ๆ กับการไล่รื้อชุมชนแออัดที่เข้ามาอาศัยที่ดินของจุฬาฯ ด้วย
จาก “คอร์รัปชั่น” สู่ “สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ”
การก้าวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของจุฬาฯ ในยุคเผด็จการ ที่มีจอมพลประภาส จารุเสถียร หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพล ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ดูจะราบรื่นเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2513 เมื่อ “นายฉันท์แก่น” ซึ่งเป็นนามปากกาของประสาร มฤคพิทักษ์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ เขียนบทความลงในจุฬาสาร ฉบับเดือนสิงหาคม 2513 เปิดเผยว่า มีการทุจริตเกี่ยวกับผลประโยชน์เรื่องที่ดินและเงินของมหาวิทยาลัย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายท่านมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้นิสิตจุฬาฯ จำนวนราว 5,000 คน รวมตัวกันชุมนุมตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2513 และต่อมาได้เดินขบวนไปพบนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการสอบสวนและลงโทษผู้ทุจริตในกรณีดังกล่าว ข้อเรียกร้องของนักศึกษาคือให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยลาออก
เหตุการณ์ครั้งนั้นนำไปสู่การที่จุฬาฯ ต้องปรับตัวเพื่อให้มีความ “โปร่งใส” มากขึ้น มีการจัดตั้งหน่วยงาน “สำนักงานจัดการผลประโยชน์” ในปี 2514 มีหน้าที่ดูแลสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยนอกเขตการศึกษา จัดการให้เช่า เก็บค่าเช่าและค่าธรรมเนียมตามระเบียบ จัดทำทะเบียนและบัญชีทรัพย์สิน ดำเนินคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะกรรมการจัดการผลประโยชน์ ซึ่งมีฐานะเป็นอนุกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตลอดจนพิจารณาและให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานจัดการผลประโยชน์ และยังมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบของหน่วยงานนี้เรื่อยมา แต่ก็ยังไม่สอดคล้องกับการจัดการผลประโยชน์อย่างมี “ประสิทธิภาพ” ทางจุฬาฯ จึงได้เริ่มโครงการพัฒนาการบริหารทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะจัดหารายได้จากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเขตการศึกษา โดยระบุว่า “ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมที่สุด” ผลจากโครงการพัฒนาดังกล่าว ทำให้เกิดระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานฯ พ.ศ.2518 ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2518 จนถึงปัจจุบัน
ไล่รื้อชุมชนเพื่อพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์
แม้ที่ดินกว่าพันไร่ในพื้นที่เขตปทุมวันใจกลางกรุงเทพมหานคร จะเป็นที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2482 ตามพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร พ.ศ.2482 แต่จุฬาฯ ในขณะนั้นก็ยังไม่ได้มีการก่อสร้างอาคารเรียน และการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์ พื้นที่จำนวนมากยังคงเป็นที่อาศัยของคนในชุมชนเมืองและเป็นบริเวณทิ้งขยะด้วยซ้ำไป เช่นพื้นที่บริเวณสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับการขยายตัวมากขึ้นของกรุงเทพฯ หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีการอพยพของผู้คนเข้าสู่การทำงานในเมืองมากขึ้น พื้นที่ของจุฬาฯ ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จึงกลายเป็นแหล่งอาศัยของแรงงานเหล่านั้น จนกลายเป็น “ชุมชนแออัด” เมื่อจุฬาฯ เริ่มโครงการพัฒนาพื้นที่ บริเวณเหล่านี้จึงเป็นพื้นที่ที่ถูกไล่รื้อเวนคืนก่อนเป็นอันดับแรก ๆ
มุมมองต่อการไล่รื้อของจุฬาฯ อาจมองได้หลายมุม โดยในมุมของ รศ.ดร.พนา ทองมีอาคม อดีตอาจารย์และผู้บริหารคนหนึ่งของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์กับมติชน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 ว่า เดิมทีพื้นที่รอบ ๆ จุฬาฯ เป็นพื้นที่เสื่อมโทรม ชุมชนแออัด และแหล่งอบายมุข ทั้งสถานบริการ บ่อน ตู้ม้า เป็นต้น ซึ่งการที่จุฬาฯ นำพื้นที่คืนมาก็เพื่อสร้างคณะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ รวมถึงพื้นที่มาบุญครองปัจจุบันก็เคยเป็นชุมชนแออัดเช่นกัน สำหรับ รศ.ดร.พนา สิ่งที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ กระทำ คือการพัฒนาเพื่อรักษาพื้นที่
อย่างไรก็ตาม อีกมุมมองจากความทรงจำของครอบครัวหนึ่งที่ต้องออกจากพื้นที่ของจุฬา ฯเพื่อ เปิดทางให้กับคณะรัฐศาสตร์นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเรื่องเล่าของ รศ.ดร.พนา โดยลูกหลานของครอบครัวนี้ เล่าว่า
“ครอบครัวเราอาศัยอยู่ระหว่างซอยจุฬาลงกรณ์ 15 กับ 17 ตอนนั้นการเผาไล่ที่เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนก็เตรียมรับมือด้วยเช่นกัน มีการเตรียมตัวกันพร้อม และมีการนัดหมายกันด้วยว่า ถ้ามีการเผาจริง ๆ แล้ว จะไปรวมตัวกันที่ไหน ป๋าจำได้คร่าว ๆ ว่าเป็นอนุสาวรีย์อะไรสักอย่างหนึ่ง และเมื่อมีการเผาจริง ๆ แม้ว่าพวกเราจะรวมตัวกันได้ หลังจากนั้นมีการนำไม้เก่า ๆ มาปักเอาไว้เพื่อเตรียมสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ แต่จุฬาก็ได้นำตำรวจ เจ้าหน้าที่ รวมทั้งนิสิตส่วนหนึ่ง มาไล่ที่พวกเราต่อไป เพื่อไม่ให้กลับมาอีก หรือบริเวณสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบันก็เป็นที่ทิ้งขยะ มีการตั้งชุมชนรอบ ๆ เมื่อทางจุฬาฯ จะเอาพื้นที่คืนก็มีการเผาไล่ที่เช่นเดียวกัน นี่เป็นวิธีปกติที่เขาใช้”
ขึ้นค่าเช่าสูงทำผู้เช่าถอดใจ ซ้ำดันราคาสินค้าแพงหูฉี่
การไล่รื้อดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการพัฒนาที่ดินของจุฬาฯ ที่ก้าวไปไม่หยุด โดยนอกจากการไล่รื้อชุมชนที่อยู่อาศัยแล้ว ผู้เช่าในย่านการค้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน การขอคืนพื้นที่ด้วยการเพิ่มราคาค่าเช่าต่อผู้เช่าเดิมของจุฬาฯ สร้างความกดดันให้ผู้ค้าบางราย จนสู้ไม่ไหวจำต้องถอนตัวออกจากพื้นที่ที่เคยทำธุรกิจมายาวนานไปในที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจร้านหนังสือที่จำต้องปิดตัวไปหลายราย นับตั้งแต่อดีต ร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม ร้านหนังสือประวัติศาสตร์ แหล่งจุดประกายความคิดที่ต้องปิดตัวเองไปเพราะสู้ค่าเช่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นสูงมากไม่ได้ หรือล่าสุดคือร้านหนังสือโอเดียนสโตร์ที่ทำธุรกิจขายหนังสือมายาวนาน ก็จำเป็นต้องคืนพื้นที่ให้จุฬาฯ เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหวด้วยเช่นกัน
ผู้เช่ารายหนึ่งให้ข้อมูลแก่ศูนย์ข่าว TCIJ เกี่ยวกับสัญญาเช่าของสำนักทรัพย์สินจุฬาฯ ว่า ในการต่อสัญญาเช่าแต่ละปีจะมีระยะเวลาไม่เท่ากัน โดยผู้เช่าจะไม่ได้รู้เลยว่าหลักการเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจุฬาฯ จะเป็นผู้กำหนดเท่านั้น อย่างกรณีปีล่าสุด ทางจุฬาฯ ยื่นสัญญามาให้ผู้เช่ารายนี้ในเดือนพฤศจิกายน และกำหนดให้นำเงินไปจ่ายในเดือนถัดไปคือธันวาคมทันที โดยระบุวิธีการจ่ายเงินมาเลยว่า สัญญาเช่า 3 ปี 20 ล้านบาท ในปีแรกต้องจ่ายก่อน 10 ล้านบาท หรือเดือนละกว่า 9 แสนบาท ทั้งที่ในความเป็นจริง ถ้าคำนวณเฉลี่ยจาก 3 ปี ค่าเช่าจะอยู่ที่เดือนละราว 6 แสนบาท
จุฬาฯมุ่งพัฒนา'ขุมทรัพย์ที่ดิน'ต่อเนื่อง ไล่'อุเทน-กรมพละ'ขึ้นค่าเช่าผู้ค้าถอดใจ
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์ www.facebook.com/tcijthai
--------------------------------------------------------------------------------------
ที่ดินสยามสแควร์มูลค่าสูงลิบ บีบผู้ค้าจ่ายค่าเช่าสูงลิบ นับหมื่นจนถึงกว่าสองแสนบาท ยังไม่นับกรณีไล่อุเทนถวายที่ยังไม่จบ พร้อมขึ้นค่าเช่ากรมพละสูงถึง50เท่า ขณะที่เมื่อกว่า40ปีก่อน สร้างผลประโยชน์จนมีการทุจริตถึงขั้นนิสิตต้องออกมาประท้วงขับไล่ผู้บริหาร แต่ผ่านมาก็ยังไล่รื้อผู้อาศัยจำนวนมากออกไปจากพื้นที่เพื่อสร้างผลประโยชน์ในที่ดิน ขณะที่มีข้อกังขาว่า เพราะอะไรจุฬาฯจึงไม่ต้องเสียภาษี
มูลค่าที่ดินบริเวณสยามสแควร์ที่สูงมาก ดังที่ศูนย์ข่าว TCIJ รายงานมาก่อนหน้านี้ว่า อาจสูงถึงตารางวาละ 2 ล้านบาทในปี 2558 นั้น ทำให้การทำธุรกิจการค้าในย่านนี้มีมูลค่าสูงตามค่าเช่าพื้นที่ไปด้วย จากการสำรวจของ ศูนข่าว TCIJ พบว่า ในการเช่าอาคารเพื่อทำธุรกิจในสยามสแควร์ที่มีทั้งเช่าตรงกับสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ หรือเช่าช่วงต่อจากผู้เช่ารายก่อน มีอัตราค่าเช่าตั้งแต่ 70,000-250,000 บาท/เดือน แปรผันตามขนาดพื้นที่หรือทำเล ซึ่งมีตั้งแต่เช่าทั้งอาคารหรือแบ่งเช่าเป็นชั้น ๆ โดยมีห้องหรืออาคารบางแห่งติดประกาศให้เช่าโดยผู้ที่เช่าทำธุรกิจรายก่อน แต่เมื่อทำการสอบถามไปยังสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ พบว่า ผู้เช่าไม่มีการแจ้งให้ทางสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ทราบว่า ได้ยุติกิจการและปล่อยเช่าช่วงพื้นที่ต่อ ทางสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ เองก็ไม่มีข้อมูลว่าในพื้นที่สยามสแควร์มีผู้เช่ารายใดบ้างที่ได้ปล่อยให้เช่าช่วงพื้นที่ไปแล้ว
และเมื่อเป็นทำเลทอง บริเวณตามตรอกช่องว่างระหว่างอาคารบางจุด จึงมีเอกชนมาลงทุนเช่าพื้นที่ โดยใช้โครงเหล็กกั้นเป็นห้อง เช่น ซอยข้างร้านมาริน่า เอชเค มีราคาค่าเช่าตั้งแต่ประมาณ 15,000 -24,000 บาท/เดือน หรือซอยที่เคยเป็นโครงการ Good little space ใกล้กับถนนอังรีดูนังต์ ปัจจุบันเป็นลานจอดจักรยานยนต์ ของบริษัท เจนก้องไกล จำกัด โดยช่วงแรกเริ่มโครงการมีค่าเช่า 12,000 บาท แต่ภายหลังก็มีการปรับลดลง เนื่องจากไม่มีคนเช่าและไม่มีลูกค้าเข้าไปจับจ่ายในพื้นที่ ทำให้ผู้ค้าทยอยออกจากพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนปิดตัวในที่สุด
นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งอันเกิดขึ้นจากการอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ 21 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลอุเทนถวาย หลังถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอคืนพื้นที่ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในฐานะเจ้าของที่ดิน ก็ยังคงเป็นปัญหาที่หาข้อยุติไม่ได้จนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นประเด็นที่สังคมสนใจขยายไปสู่ประเด็นอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะความพยายามของจุฬาฯ ในการยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินของหน่วยงานราชการต่าง ๆ การไล่รื้อเอกชนและผู้เช่าเก่าแก่ เพื่อนำที่ดินทั้งหมดมาใช้ในแนวทางพัฒนาธุรกิจการพาณิชย์
มุ่งพัฒนาที่ดินสู่ผลประโยชน์ทางธุรกิจตั้งแต่อดีต
แม้เจตนารมณ์การใช้ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะได้ระบุไว้ตาม พ.ร.บ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย พ.ศ.2482 จะถูกประกาศอย่างชัดเจนว่า “เพื่อเป็นสถานศึกษาและค้นคว้าศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อจะส่งเสริมวิชาชีพชั้นสูงและทะนุบำรุงวัฒนธรรมแห่งชาติสืบไป” แต่ในเวลาต่อมากลับพบว่า ได้มีการนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจเพิ่มเติมตามแนวคิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน “ยุคพัฒนา” ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา
ที่ดินบริเวณแยกปทุมวัน เริ่มกลายเป็นที่ดินทำเลทอง มีการก่อสร้างศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่แทนที่ “เมืองเก่า” บริเวณเจริญกรุง เยาวราช พาหุรัดแต่เดิม จุฬาเริ่มต้นทำโครงการปทุมวันสแควร์ (บริเวณสยามสแควร์ในปัจจุบัน) บนพื้นที่ 63 ไร่ บริเวณแยกปทุมวัน ริมถนนพญาไทและพระราม 1 ซึ่งบริหารโดย บริษัท South East Asia (ปัจจุบันคือ Seacon Home ) เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาให้เป็นศูนย์การค้าแบบเปิดโล่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ สูง 3-4 ชั้น ประมาณ 610 คูหา มีอาคารขนาดใหญ่บ้าง เช่น โรงภาพยนตร์ โรงโบว์ลิ่ง มีการวางผังอาคาร ถนน ที่จอดรถและระบบสาธารณูปโภคไว้อย่างดี ธุรกิจที่เข้ามาเปิดดำเนินการหลากหลาย อาทิ ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้า ร้านตัดผม และร้านอาหาร ส่วนใหญ่ย้ายมาจากย่าน “เมืองเก่า”
นอกจากนั้น การที่ประเทศไทยได้จัดเอเชี่ยนเกมส์ ติดต่อกัน 2 ครั้งในปี 2509 และ 2513 โดยมีสนามศุภชลาศัยเป็นศูนย์กลางของการแข่งขัน (ที่ดินดังกล่าวเป็นของจุฬาฯ กรมพลศึกษา เป็นผู้เช่า) นำมาสู่การปรับปรุงสาธารณูปโภคบริเวณแยกปทุมวันอีกเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งมีส่วนเสริมทำให้ที่ดินของจุฬาฯ มีมูลค่าสูงขึ้นตามลำดับ พร้อม ๆ กับการไล่รื้อชุมชนแออัดที่เข้ามาอาศัยที่ดินของจุฬาฯ ด้วย
จาก “คอร์รัปชั่น” สู่ “สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ”
การก้าวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของจุฬาฯ ในยุคเผด็จการ ที่มีจอมพลประภาส จารุเสถียร หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพล ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ดูจะราบรื่นเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2513 เมื่อ “นายฉันท์แก่น” ซึ่งเป็นนามปากกาของประสาร มฤคพิทักษ์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ เขียนบทความลงในจุฬาสาร ฉบับเดือนสิงหาคม 2513 เปิดเผยว่า มีการทุจริตเกี่ยวกับผลประโยชน์เรื่องที่ดินและเงินของมหาวิทยาลัย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายท่านมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้นิสิตจุฬาฯ จำนวนราว 5,000 คน รวมตัวกันชุมนุมตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2513 และต่อมาได้เดินขบวนไปพบนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการสอบสวนและลงโทษผู้ทุจริตในกรณีดังกล่าว ข้อเรียกร้องของนักศึกษาคือให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยลาออก
เหตุการณ์ครั้งนั้นนำไปสู่การที่จุฬาฯ ต้องปรับตัวเพื่อให้มีความ “โปร่งใส” มากขึ้น มีการจัดตั้งหน่วยงาน “สำนักงานจัดการผลประโยชน์” ในปี 2514 มีหน้าที่ดูแลสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยนอกเขตการศึกษา จัดการให้เช่า เก็บค่าเช่าและค่าธรรมเนียมตามระเบียบ จัดทำทะเบียนและบัญชีทรัพย์สิน ดำเนินคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะกรรมการจัดการผลประโยชน์ ซึ่งมีฐานะเป็นอนุกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตลอดจนพิจารณาและให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานจัดการผลประโยชน์ และยังมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบของหน่วยงานนี้เรื่อยมา แต่ก็ยังไม่สอดคล้องกับการจัดการผลประโยชน์อย่างมี “ประสิทธิภาพ” ทางจุฬาฯ จึงได้เริ่มโครงการพัฒนาการบริหารทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะจัดหารายได้จากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเขตการศึกษา โดยระบุว่า “ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมที่สุด” ผลจากโครงการพัฒนาดังกล่าว ทำให้เกิดระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสำนักงานฯ พ.ศ.2518 ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2518 จนถึงปัจจุบัน
ไล่รื้อชุมชนเพื่อพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์
แม้ที่ดินกว่าพันไร่ในพื้นที่เขตปทุมวันใจกลางกรุงเทพมหานคร จะเป็นที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2482 ตามพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร พ.ศ.2482 แต่จุฬาฯ ในขณะนั้นก็ยังไม่ได้มีการก่อสร้างอาคารเรียน และการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์ พื้นที่จำนวนมากยังคงเป็นที่อาศัยของคนในชุมชนเมืองและเป็นบริเวณทิ้งขยะด้วยซ้ำไป เช่นพื้นที่บริเวณสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับการขยายตัวมากขึ้นของกรุงเทพฯ หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีการอพยพของผู้คนเข้าสู่การทำงานในเมืองมากขึ้น พื้นที่ของจุฬาฯ ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จึงกลายเป็นแหล่งอาศัยของแรงงานเหล่านั้น จนกลายเป็น “ชุมชนแออัด” เมื่อจุฬาฯ เริ่มโครงการพัฒนาพื้นที่ บริเวณเหล่านี้จึงเป็นพื้นที่ที่ถูกไล่รื้อเวนคืนก่อนเป็นอันดับแรก ๆ
มุมมองต่อการไล่รื้อของจุฬาฯ อาจมองได้หลายมุม โดยในมุมของ รศ.ดร.พนา ทองมีอาคม อดีตอาจารย์และผู้บริหารคนหนึ่งของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์กับมติชน เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 ว่า เดิมทีพื้นที่รอบ ๆ จุฬาฯ เป็นพื้นที่เสื่อมโทรม ชุมชนแออัด และแหล่งอบายมุข ทั้งสถานบริการ บ่อน ตู้ม้า เป็นต้น ซึ่งการที่จุฬาฯ นำพื้นที่คืนมาก็เพื่อสร้างคณะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ รวมถึงพื้นที่มาบุญครองปัจจุบันก็เคยเป็นชุมชนแออัดเช่นกัน สำหรับ รศ.ดร.พนา สิ่งที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ กระทำ คือการพัฒนาเพื่อรักษาพื้นที่
อย่างไรก็ตาม อีกมุมมองจากความทรงจำของครอบครัวหนึ่งที่ต้องออกจากพื้นที่ของจุฬา ฯเพื่อ เปิดทางให้กับคณะรัฐศาสตร์นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเรื่องเล่าของ รศ.ดร.พนา โดยลูกหลานของครอบครัวนี้ เล่าว่า
“ครอบครัวเราอาศัยอยู่ระหว่างซอยจุฬาลงกรณ์ 15 กับ 17 ตอนนั้นการเผาไล่ที่เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนก็เตรียมรับมือด้วยเช่นกัน มีการเตรียมตัวกันพร้อม และมีการนัดหมายกันด้วยว่า ถ้ามีการเผาจริง ๆ แล้ว จะไปรวมตัวกันที่ไหน ป๋าจำได้คร่าว ๆ ว่าเป็นอนุสาวรีย์อะไรสักอย่างหนึ่ง และเมื่อมีการเผาจริง ๆ แม้ว่าพวกเราจะรวมตัวกันได้ หลังจากนั้นมีการนำไม้เก่า ๆ มาปักเอาไว้เพื่อเตรียมสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ แต่จุฬาก็ได้นำตำรวจ เจ้าหน้าที่ รวมทั้งนิสิตส่วนหนึ่ง มาไล่ที่พวกเราต่อไป เพื่อไม่ให้กลับมาอีก หรือบริเวณสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบันก็เป็นที่ทิ้งขยะ มีการตั้งชุมชนรอบ ๆ เมื่อทางจุฬาฯ จะเอาพื้นที่คืนก็มีการเผาไล่ที่เช่นเดียวกัน นี่เป็นวิธีปกติที่เขาใช้”
ขึ้นค่าเช่าสูงทำผู้เช่าถอดใจ ซ้ำดันราคาสินค้าแพงหูฉี่
การไล่รื้อดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการพัฒนาที่ดินของจุฬาฯ ที่ก้าวไปไม่หยุด โดยนอกจากการไล่รื้อชุมชนที่อยู่อาศัยแล้ว ผู้เช่าในย่านการค้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน การขอคืนพื้นที่ด้วยการเพิ่มราคาค่าเช่าต่อผู้เช่าเดิมของจุฬาฯ สร้างความกดดันให้ผู้ค้าบางราย จนสู้ไม่ไหวจำต้องถอนตัวออกจากพื้นที่ที่เคยทำธุรกิจมายาวนานไปในที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจร้านหนังสือที่จำต้องปิดตัวไปหลายราย นับตั้งแต่อดีต ร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม ร้านหนังสือประวัติศาสตร์ แหล่งจุดประกายความคิดที่ต้องปิดตัวเองไปเพราะสู้ค่าเช่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นสูงมากไม่ได้ หรือล่าสุดคือร้านหนังสือโอเดียนสโตร์ที่ทำธุรกิจขายหนังสือมายาวนาน ก็จำเป็นต้องคืนพื้นที่ให้จุฬาฯ เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหวด้วยเช่นกัน
ผู้เช่ารายหนึ่งให้ข้อมูลแก่ศูนย์ข่าว TCIJ เกี่ยวกับสัญญาเช่าของสำนักทรัพย์สินจุฬาฯ ว่า ในการต่อสัญญาเช่าแต่ละปีจะมีระยะเวลาไม่เท่ากัน โดยผู้เช่าจะไม่ได้รู้เลยว่าหลักการเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจุฬาฯ จะเป็นผู้กำหนดเท่านั้น อย่างกรณีปีล่าสุด ทางจุฬาฯ ยื่นสัญญามาให้ผู้เช่ารายนี้ในเดือนพฤศจิกายน และกำหนดให้นำเงินไปจ่ายในเดือนถัดไปคือธันวาคมทันที โดยระบุวิธีการจ่ายเงินมาเลยว่า สัญญาเช่า 3 ปี 20 ล้านบาท ในปีแรกต้องจ่ายก่อน 10 ล้านบาท หรือเดือนละกว่า 9 แสนบาท ทั้งที่ในความเป็นจริง ถ้าคำนวณเฉลี่ยจาก 3 ปี ค่าเช่าจะอยู่ที่เดือนละราว 6 แสนบาท